พระเจ้ามีจริงหรือ โลกที่เราอยู่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญหรือมีผู้สร้าง
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> บทความคริสเตียน > เผยอนาคต เส้นทางชีวิตมนุษย์และอวสานของโลกใบนี้ หน้า 7

หน้า 1 | หน้า 2 | หน้า 3 | หน้า 4 | หน้า 5 | หน้า 6 | หน้า 7 | หน้า 8

เผยอนาคต เส้นทางชีวิตมนุษย์และอวสานของโลกใบนี้ - หน้า 7

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

5. การเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูคริสต์

เวลาเราไปดูหนัง ดูละครหรือดูคอนเสิร์ต ก่อนการแสดงนั้นจะมีการเปิดไฟสลัว ๆ เพื่อให้มองเห็นทาง เราอาจจะได้ยินเสียงคนพูดคุยกันทั่วห้องประชุม แต่หากไฟในห้องประชุมดับลงเมื่อไร เราก็รู้ทันทีว่าเวลาสำคัญได้เริ่มขึ้นแล้ว การแสดงกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

“แต่พอความทุกข์ลำบากในวันเหล่านั้นหมดแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวทั้งหลายจะตกจากฟ้าสวรรค์ และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในฟ้าสวรรค์จะถูกทำให้หวั่นไหว เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะทุกข์โศก แล้วจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง แล้วพระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ทั้งหลายของพระองค์มาด้วยเสียงแตรที่ดังมาก และให้รวบรวมคนทั้งหมดที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้วจากทั้งสี่ทิศ ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น” มัทธิว 24:29 - 31

เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาทุกอย่างในท้องฟ้าจะ “มืดลง” ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง และเราก็รู้ทันทีว่าเวลาสำคัญได้เริ่มขึ้นแล้ว พระเยซูจะเสด็จมาด้วยแสงสว่างอย่างมาก พร้อมด้วยเสียงแตรที่ดังมาก ในวิวรณ์ 1:7 บอกว่า ทุกคนบนโลกนี้จะมองเห็นพระองค์ และในมัทธิว 24:27 บอกว่า “เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น” เราไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะโลกเรากลม ถ้าพระเยซูเสด็จมาด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งของโลกก็ไม่น่าจะมองเห็น

บางคนอาจจะคิดว่าเทคโนโลยีสมัยนี้น่าจะทำให้ทุกคนเห็นการกลับมาของพระเยซูได้หมด แต่อย่าลืมว่ามีหลายที่ที่เทคโนโลยีเข้าไม่ถึง หลาย ๆ คนจึงคิดว่าเป็นไปได้ที่พระองค์จะบินรอบโลกหรือเสด็จมาอย่างช้า ๆ อาจจะกินเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อให้ทุกส่วนของโลกหมุนมาเห็นพระองค์ แต่ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จมาด้วยวิธีใดก็ตาม สิ่งที่แน่ ๆ คือ เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 “มนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์” (วิวรณ์ 1:7)

ในกิจการ 1:10 – 11 กล่าวว่า “เมื่อพวกเขากำลังเขม้นมองดูฟ้า ในขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นไป มีชายสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา สองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น”” นั่นคือพระเยซูจะเสด็จลงมาในจุดเดิมที่พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไปนั้น แล้วสถานที่นั้นคือที่ไหน?

คำตอบอยู่ในเศคาริยาห์ 14:4 “ในวันนั้น พระบาทของพระองค์จะทรงยืนอยู่ที่ภูเขามะกอกเทศ ซึ่งอยู่หน้ากรุงเยรูซาเล็มด้านตะวันออก และภูเขามะกอกเทศนั้นจะแยกออกเป็น 2 ส่วน จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก โดยมีหุบเขากว้างมากคั่นอยู่ ภูเขากึ่งหนึ่งจึงจะถอยไปทางเหนือ และอีกกึ่งหนึ่งจะถอยไปทางใต้” พระเยซูจะเสด็จกลับมาบนภูเขามะกอกเทศ และเมื่อลงมาถึง ภูเขาก็จะแยกออกเป็น 2 ส่วน จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก

เผยอนาคต เส้นทางชีวิตมนุษย์และอวสานของโลกใบนี้

ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Dead_Sea_Transform, https://prophecytoday.uk/comment/editorial/item/2291-amos-and-zechariah-in-the-news.html

ข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ระบุว่า “อิสราเอลตั้งอยู่ในแนวรอยเลื่อน (Rift) dead Sea ซึ่งมีรอยแตกของเปลือกโลกหรือหินที่เรียกกันว่า Fault ได้แก่ Jordan Valley Fault ซึ่งทั้งรอยเลื่อนและรอยแตกเป็นแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว” รอยเลื่อนของอิสราเอลนั้นมีมากมายแต่ส่วนใหญ่จะเป็นเส้นยาวในแนวตั้ง (เหนือ - ใต้)

อย่างไรก็ตามมีบทความบางแห่งได้กล่าวว่า ในปี 1964 รัฐบาลของจอร์แดนต้องการสร้างโรงแรมบนภูเขามะกอกเทศ แต่ได้ค้นพบรอยเลื่อนของเปลือกโลกจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ด้วยเหตุนี้จึงต้องเปลี่ยนสถานที่ก่อสร้างโรมแรมในที่สุด โดยโรงแรมแห่งนี้ก็คือโรงแรม Seven Arches Hotel ซึ่งเจ้าของบทความอ้างว่านี่คือรอยเลื่อนที่สอดคล้องกับสิ่งที่ เศคาริยาห์ 14:4 ได้บอกเอาไว้ เราไม่รู้แน่ชัดว่ารอยเลื่อนแห่งนี้มีจริงหรือไม่เนื่องจากพบเห็นแต่เฉพาะบทความของคริสเตียนเท่านั้น และหากเกิดแผ่นดินไหวขึ้นย่อมจะส่งผลให้ “ภูเขากึ่งหนึ่งจึงจะถอยไปทางเหนือ และอีกกึ่งหนึ่งจะถอยไปทางใต้” ซึ่งเป็นไปตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ ดังนั้น เราจึงควรใช้วิจารณญาณเป็นอย่างมากหากจะนำข้อมูลดังกล่าวไปอ้างอิง

เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 นั้น สิ่งแรกที่พระองค์จะทำก็คือ “สงคราม” เพราะตอนนี้ประชาชาติต่าง ๆ ทั่วโลกที่นำโดย “ปฏิปักษ์พระคริสต์ (Antichrist)” กำลังโจมตีอิสราเอลอยู่ สงครามในครั้งนี้ก็คือ สงครามอารมาเกดโดน เมื่อ “ทูตสวรรค์องค์ที่หกเทชามแห่งความกริ้ว” ในวิวรณ์ 16:12 – 16 นั่นเอง

ในวิวรณ์ 19:11 – 15 กล่าวว่า “แล้วข้าพเจ้าเห็นสวรรค์เปิดออก และนี่แน่ะ มีม้าสีขาวตัวหนึ่ง พระองค์ผู้ทรงม้านั้นมีพระนามว่า “ซื่อสัตย์และสัตย์จริง” พระองค์ทรงพิพากษาและทรงต่อสู้ด้วยความชอบธรรม พระเนตรของพระองค์เหมือนอย่างเปลวไฟ และบนพระเศียรของพระองค์มีมงกุฎหลายอัน พระองค์ทรงมีพระนามจารึกไว้ซึ่งไม่มีใครรู้จักเลยนอกจากพระองค์เอง พระองค์ทรงฉลองพระองค์ที่ได้จุ่มในเลือด และพระนามที่เรียกพระองค์นั้นคือ “พระวาทะของพระเจ้า” กองทัพทั้งหลายในสวรรค์นุ่งห่มผ้าป่านเนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ขี่ม้าขาวตามเสด็จพระองค์ไป มีพระแสงคมกริบออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพื่อพระองค์จะทรงใช้มันฟาดฟันประชาชาติต่างๆ และพระองค์จะทรงครอบครองเขาทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก พระองค์จะทรงย่ำบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธรุนแรงของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด”

พระธรรมตอนนี้บอกว่า พระเยซูจะ “ขี่ม้าขาว” มา ในสมัยก่อน เมื่อนายพลโรมันจะออกรบ หากเขาขี่ม้าขาวกลับมาก็แสดงว่าได้รับชัยชนะแล้ว เพราะม้าขาวเป็นม้าแห่งชัยชนะ การที่พระเยซูขี่ม้าขาวมา ก็หมายถึง พระองค์ทรงได้รับชัยชนะแล้วนั่นเอง

วิวรณ์ 19:14 บอกว่า “กองทัพทั้งหลายในสวรรค์นุ่งห่มผ้าป่านเนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ขี่ม้าขาวตามเสด็จพระองค์ไป” แล้วกองทัพของพระองค์คือใคร? ก็คือผู้เชื่อที่ได้พบกับพระองค์บนท้องฟ้า (Rapture) ซึ่งตอนนี้ทุกคนได้ “กายใหม่” ไม่ใช่ร่างกายแบบมนุษย์ทั่ว ๆ ไป

วิวรณ์ 19:12 บอกว่า “พระเนตรของพระองค์เหมือนอย่างเปลวไฟ” นี่ไม่ใช่กุมารเยซูในวันคริสมาสที่เราคุ้นเคย แต่เป็นสิงห์แห่งยูดาห์ มีเพียง 2 ทางที่เราจะพบกับพระเยซู นั่นก็คือ “บนกางเขนในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด” หรือ “บนบัลลังก์ในฐานะผู้พิพากษา” คำถามคือเราจะเลือกพบพระองค์แบบไหน?

สงครามครั้งนี้คงใช้เวลาไม่นานไม่เหมือนสงครามที่เราเคยเห็นมา นี่เป็นสงครามระหว่าง “มนุษย์ผู้ถูกสร้าง” กับ “พระเจ้าพระผู้สร้าง” ในเศคาริยาห์ 14:12 ได้บรรยายสภาพคนเหล่านั้นที่ทำสงครามกับกองทัพของพระเยซูว่า “ต่อไปนี้เป็นภัยพิบัติซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงใช้โจมตีบรรดาชนชาติทั้งหลายที่มาทำสงครามกับเยรูซาเล็ม คือ เนื้อของเขาจะเน่าเสียเมื่อเขายังยืนอยู่ได้ ตาของเขาจะเน่าคาเบ้าตา และลิ้นของเขาจะเน่าคาปาก” สงครามจึงจบลงที่ “ปฏิปักษ์พระคริสต์ (Antichrist)” และ “ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ” ถูกโยนลงไปในบึงไฟที่ลุกด้วยกำมะถันพร้อมกับงานเลี้ยงฉลองของเหล่านกทั้งหลายที่ได้กินซากศพของมนุษย์อย่างอิ่มหนำ (วิวรณ์ 19:17 - 21)

6. พันปี

หลังจากสงครามจบลง ต่อไปก็จะเป็นการทรงพิพากษาประชาชาติทั้งหลาย เหมือนในมัทธิว 25:31 – 46 ที่บอกว่าประชาชาติจะมาชุมนุมกันต่อหน้าพระองค์ แล้วจะแยกระหว่างผู้เชื่อกับผู้ที่ไม่เชื่อ เหมือนแยกแกะออกจากแพะ ฝูงแกะอยู่ทางขวา ฝูงแพะอยู่ทางซ้าย โดยผู้เชื่อจะได้รับรางวัลคือ “ราชอาณาจักร” (ข้อ 34) ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อจะต้อง “ถูกลงโทษเป็นนิตย์” (ข้อ 46) หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่อาณาจักร 1,000 ปี ตามที่ วิวรณ์ 20:1 – 6 ได้กล่าวเอาไว้

“แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านถือลูกกุญแจของบาดาลลึก และถือโซ่เส้นใหญ่ในมือของท่าน และท่านจับพญานาคที่เป็นงูดึกดำบรรพ์ผู้ซึ่งเป็นมารและซาตาน แล้วมัดมันไว้หนึ่งพันปี แล้วโยนมันลงไปในบาดาลลึกนั้น ใส่กุญแจและประทับตราไว้ เพื่อไม่ให้มันล่อลวงประชาชาติต่างๆ ได้อีกต่อไป จนครบหนึ่งพันปี หลังจากนั้นจะต้องปล่อยมันออกมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายบัลลังก์ และผู้ที่นั่งอยู่บนนั้นได้รับมอบอำนาจในการพิพากษา ข้าพเจ้าเห็นดวงวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกตัดศีรษะเพราะการเป็นพยานถึงพระเยซู และเพราะพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้บูชาสัตว์ร้ายหรือรูปของมัน และไม่ได้รับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของเขา เขาทั้งหลายกลับมีชีวิตขึ้นอีกและครอบครองร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาหนึ่งพันปี (ส่วนคนอื่นๆ ที่ตายไปแล้วไม่ได้กลับมีชีวิตขึ้นอีกจนกว่าจะครบหนึ่งพันปี) นี่แหละคือการเป็นขึ้นจากตายครั้งแรก ใครที่มีส่วนในการเป็นขึ้นจากตายครั้งแรกก็เป็นสุขและบริสุทธิ์ ความตายครั้งที่สองจะไม่มีอำนาจเหนือเขาทั้งหลาย แต่เขาจะเป็นปุโรหิตของพระเจ้าและของพระคริสต์ และจะครอบครองร่วมกับพระองค์หนึ่งพันปี”

ผู้เชื่อในช่วงกลียุค 7 ปี ที่ถูกฆ่าตายจะเป็นขึ้นมาอีกครั้ง “นี่แหละคือการเป็นขึ้นจากตายครั้งแรก” และเขาจะมีชีวิตนิรันดร์ ส่วนคนที่ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ จะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากสิ้นสุด 1,000 ปี เพื่อการพิพากษารับโทษเป็นนิจนิรันดร์ หรือที่เรียกว่า “ความตายครั้งที่ 2” นั่นเอง

ทำไมพระเจ้าถึงขังซาตานไว้ 1,000 ปี? ทำไมพระเจ้าไม่พิพากษาและให้มันอยู่ในนรกไปเลย? คำตอบก็คือ เพราะพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานบำเหน็จให้แก่ผู้ที่รับใช้พระองค์ ในลูกา 19:11 – 21 เรื่องคำอุปมาเงิน 10 มินา คนที่ได้กำไร 10 มินา กับ 5 มินา พระเยซูทรงให้รางวัลเป็นการครอบครองเมือง 10 เมือง กับ 5 เมือง ซึ่งก็คือการครอบครองเมืองในช่วง 1,000 ปี นี้ และเป็นการทำตามสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญากับเราว่าจะได้ครอบครองร่วมกับพระองค์

จะเป็นช่วงเวลาที่มีแต่สันติสุข โลกจะสงบสุข จะไม่มีการประท้วง ไม่มีการต่อต้านใด ๆ เพราะพระเยซูจะทรงปกครองด้วยคทาเหล็ก (วิวรณ์ 19:15) เมื่อมารซาตานถูกคุมขัง จึงไม่มีการรบราฆ่าฟันกัน ไม่มีการทำร้ายกัน สัตว์ต่าง ๆ และคนก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติ เหมือนกับที่บอกไว้ในอิสยาห์ 11: 6 – 9 “สุนัขป่ากับลูกแกะจะอาศัยอยู่ด้วยกัน เสือดาวจะนอนเคียงข้างแพะ ลูกวัวกับสิงโตและลูกอ่อนของสัตว์อื่นๆ จะอยู่ด้วยกัน และเด็กเล็กๆ คนหนึ่งจะนำพวกมัน แม่วัวจะกินหญ้าอยู่กับหมี ลูกของมันทั้งสองจะนอนด้วยกัน และสิงโตจะกินฟางเหมือนวัว ทารกจะเล่นอยู่ใกล้รูงูเห่า และเด็กเล็กๆ จะยื่นมือเข้าไปในรังของงูพิษ พวกมันจะไม่ทำร้ายหรือทำลายกัน ตลอดทั่วภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา เพราะแผ่นดินโลกจะเต็มไปด้วยความรู้เรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้า ดุจน้ำปกคลุมทะเล”

จะมีคน 2 กลุ่มในโลกนี้ ก็คือผู้เชื่อที่ได้รับ “กายใหม่” กับคนที่ได้รับความรอดในช่วง 7 ปี แห่งกลียุคที่ร่างกายยังคงเป็น “กายเดิม” ที่มาจากอาดัมซึ่งยังคงมีความคิดชั่วในใจ ยังคงมีบาปอยู่ จะแตกต่างจากปัจจุบันก็ตรงที่ไม่มีการแสดงความบาปออกมาให้เห็น เพราะพระเยซูทรงครอบครองด้วยคทาเหล็ก ชีวิตในโลกช่วง 1,000 นี้ นักวิชาการบางท่านตีความว่าน่าจะไม่แตกต่างจากปัจจุบัน คือยังคงใช้ชีวิตตามปกติ มีการทำงาน มีการแต่งงาน มีลูก เป็นต้น

มนุษย์จะมีอายุยืนนาน คนที่ตายเมื่ออายุ 100 ปี จะถือว่าตายเมื่อยังเด็ก “ในที่นั้นจะไม่มีทารกซึ่งมีชีวิตเพียงสองสามวัน หรือคนแก่ที่มีอายุไม่ครบกำหนด เพราะคนตายเมื่ออายุร้อยปีจะถือว่าอ่อนวัย ส่วนคนอายุน้อยกว่าร้อยปีจะถือว่าถูกแช่งสาป” (อิสยาห์ 65:20)... อ่านต่อ

 

หน้า 1 | หน้า 2 | หน้า 3 | หน้า 4 | หน้า 5 | หน้า 6 | หน้า 7 | หน้า 8


ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com