เว็บสยามคริสเตียน > บทความคริสเตียน > เผยอนาคต เส้นทางชีวิตมนุษย์และอวสานของโลกใบนี้
หน้า 1 | หน้า 2 | หน้า 3 | หน้า 4 | หน้า 5 | หน้า 6 | หน้า 7
เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์
เราหลาย ๆ คนคงจะชอบดูหนัง ดูละคร หรือดูซีรีย์เกาหลี เราสนุกและลุ้นไปกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวละครในแต่ละตอน อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลาย ๆ คนที่ไม่ชอบลุ้นแต่ขอรู้ตอนจบก่อนที่เรื่องจะอวสานลง เพราะให้เหตุผลว่าถ้ารู้ว่าเรื่องจะจบอย่างไรจะได้โฟกัสไปที่จุดนั้น ๆ เลย จะได้ไม่พลาดรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ชีวิตคนเราก็เช่นเดียวกัน หลายคนไม่อยากลุ้นว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่อยากรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า อยากรู้ว่าอีก 5 ปี หรือ 10 ปี ข้างหน้า ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร บางคนอยากรู้ไปถึงตอนจบของชีวิตว่าสุดท้ายจะจบอย่างไร ตายแล้วจะไปไหน ตายแล้วจะดับสูญหรือว่ามีโลกหน้าให้ไปต่อ เรารู้หรือไม่ว่าคำถาม “ตายแล้วจะไปไหน” สามารถหาคำตอบได้!!
ก่อนที่จะรู้ “ที่ไป” ว่าตายแล้วไปไหน เราควรจะรู้ “ที่มา” ก่อนว่าชีวิตเราเกิดมาได้อย่างไร และแนวคิดการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในโลกนี้นั้นก็มีเพียงแค่ 2 แนวความคิด ก็คือ
ที่มา : https://unsplash.com/photos/OVO8nK-7Rfs
แนวคิดนี้เกิดจากการที่นักดาราศาตร์ค้นพบว่า “เอกภพ” หรือ “จักรวาล” กำลังขยายตัวออกไป ดวงดาวและกาแล็กซีกำลังเคลื่อนที่ออกห่างจากกันทุกวินาที ดังนั้นเมื่อย้อนเวลากลับไปหลายพันล้านปี ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น เชื่อว่าทุกสสารและพลังงานต้องอยู่ใกล้ชิดกันมากและมีแหล่งกำเกิดมาจากจุดเดียวกัน นั่นคือการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ หรือ “บิ๊กแบง” นั่นเอง
แม้ว่าเราจะไม่ใช่นักดาราศาสตร์ แม้ว่าเราจะไม่ใช่นักวิชาการที่มีความรู้สูง แต่เมื่อได้ฟังการกำเนิดของจักรวาล การกำเนิดของโลกและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่มาจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้มีคำถามต่าง ๆ มากมายที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกับทฤษฎีนี้และยากที่จะยอมรับได้
ทฤษฎี “บิ๊กแบง” บอกว่า ก่อนการเกิด “บิ๊กแบง” เอกภพเป็นพลังงานล้วน ๆ ภายใต้อุณหภูมิที่สูงยิ่ง จุด “บิ๊กแบง” จึงเป็นจุดที่พลังงานเริ่มเปลี่ยนเป็นสสารครั้งแรก เป็นจุดเริ่มต้นของเวลาและเอกภพ ปัญหาก็คือ ในโลกเรานี้เกิดการระเบิดมาเป็นล้าน ๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการระเบิดตามธรรมชาติอย่างอุกบาตรพุ่งชนโลก หรือภูเขาไฟระเบิด หรือการระเบิดที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ เกิดจากสงครามและอาวุธต่าง ๆ ทุกการระเบิดที่เกิดขึ้นนั้นล้วนแล้วแต่ทำลายชีวิตทั้งสิ้น เราไม่เคยเห็นการระเบิดครั้งใดในประวัติศาสตร์โลกที่ก่อกำเกิดชีวิตขึ้นเลย สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ไม่สามารถทนความร้อนจากการระเบิดได้ แต่การระเบิดของ “บิ๊กแบง” มีความร้อนสูงกว่าการระเบิดต่าง ๆ ภายในโลกใบนี้มาก แล้วสิ่งมีชีวิตแบบใดที่สามารถทนต่อความร้อนแบบนั้นได้?
เป็นไปได้หรือที่สสารต่าง ๆ รวมตัวกันจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กและวิวัฒนาการจนสลับซับซ้อนเป็นสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ? สิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้มีทั้งมนุษย์ สัตว์บก สัตว์น้ำ นก ต้นไม้ และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งสิ่งมีชีวิตแต่ละแบบก็แตกต่างกัน คนไม่เหมือนต้นไม้ ปลาไม่เหมือนนก แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากวิวัฒนาการของสสารขนาดเล็กเมื่อตอนเกิด “บิ๊กแบง” จริงหรือ? นี่ยังไม่นับรวมถึงความสลับซับซ้อนของร่างกายที่สามารถเติบโตและซ่อมแซมรักษาตัวเองได้เมื่อเจ็บป่วย
ถ้าชีวิตเริ่มต้นจากสสารขนาดเล็ก แล้วจิตวิญญาณของเราก่อกำเนิดมาจากอะไร? ทำไมจึงมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่มีจิตวิญญาณ ทำไมไม่มีในสัตว์? ทำไมเราไม่เคยเห็นลิงที่ฉลาดคล้ายมนุษย์กราบไหว้ต้นไม้ ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง หรือทูลขอต่อเทพเจ้าเมื่อเกิดภัยพิบัติ ทฤษฎี “บิ๊กแบง” ไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้
อยากให้เราลองดู 13 สิ่งที่ทำให้กำเนิดชีวิตขึ้นบนโลก จากนิตยสาร National Geographic ฉบับภาษาไทย (เรื่อง มานูเอล กานาแลส, แมตทิว ดับเบิลยู. ชวาสติก และอีฟ โคแนนต์) มีดังนี้
เพราะคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหนึ่งในบรรดาแก๊สเรือนกระจกที่กักความร้อนและรักษาพื้นผิวโลกให้อบอุ่นพอต่อการเอื้อแก่ชีวิต
แกนโลกมีความเอียงเมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ และหมุนด้วยอาการส่ายไปส่ายมาเล็กน้อย ซึ่งทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็น
เรามีสนามแม่เหล็กซึ่งสามารถหักเหรังสีอันตรายและการปะทุจากดวงอาทิตย์ได้เกือบทั้งหมด
โลกโคจรอยู่ในเขตที่เอื้อต่อชีวิต คือไม่ใกล้เกินไปและไม่ไกลเกินไปจากดวงอาทิตย์ น้ำจึงยังคงสถานะของเหลวอยู่บนพื้นผิวได้
ถ้าวงโคจรของดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่สุดของระบบสุริยะอยู่ใกล้กว่านี้ แรงดึงดูดจากความโน้มถ่วงมหาศาลของดาวเหล่านั้นอาจทำให้ระยะห่างจากโลกถึงดวงอาทิตย์เกิดความผันผวนจนถึงขั้นหายนะ
ดาวที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์เผาไหม้ได้ร้อนกว่า และมักอยู่ไม่นานพอให้ดาวเคราะห์พัฒนาชีวิตขึ้นทัน ดาวที่มีมวลน้อยกว่าและอายุน้อยกว่าก็มักไม่เสถียรและชอบพ่นรังสีทีละมากๆ ใส่ดาวเคราะห์ของตน
เมฆแก๊สและฝุ่นระหว่างดาวที่ก่อกำเนิดโลกมีธาตุกัมมันตรังสีมากพอจะขับเคลื่อนแก่นให้หมุนวนได้นานหลายพันล้านปี กระบวนการนี้สร้างสนามแม่เหล็กซึ่งปกป้องโลกจากภัยอันตรายต่างๆ
ดาวพฤหัสบดีปัดกวาดแถบดาวเคราะห์น้อย ช่วยปกป้องโลกจากการชนที่บ่อยครั้งเกินไป
ระบบสุริยะดำรงอยู่อย่างปลอดภัยในระหว่างแขนดาราจักรหลัก ๆ และวงโคจรที่เกือบกลมก็ช่วยให้ระบบสุริยะไม่เข้าใกล้บริเวณด้านในที่เป็นอันตรายของดาราจักร
บริเวณใกล้เคียงดวงอาทิตย์มีดาวไม่มากนัก เท่ากับลดความเสี่ยงที่โลกจะถูกแรงโน้มถ่วงดึงดูด รับแรงระเบิดจากแสงวาบรังสีแกมมาหรือการยุบตัวของดาวที่เรียกว่าซูเปอร์โนวา
เมื่อเราดู 13 สิ่งที่ทำให้กำเนิดชีวิตขึ้นบนโลก เมื่อเรามองธรรมชาติรอบ ๆ ตัวเรา มองดูร่างกายที่สลับซับซ้อนของเรา อยากให้เราลองถามตัวเองดูว่าเป็นไปได้หรือที่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยความบังเอิญ? หรือเป็นไปได้ไหมที่ทั้งหมดนี้เกิดจากการสร้างขึ้นของใครบางคน!
แนวคิดนี้บอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้นั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ ทุกอย่างถูกสร้างจากผู้ที่มีฤทธิ์อำนาจ นั่นก็คือ “พระเจ้า” นั่นเอง
ในพระธรรมปฐมกาล 1:1 - 10 บอกว่า “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน แผ่นดินก็ร้างและว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปกอยู่เหนือน้ำนั้น พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” ความสว่างก็เกิดขึ้น พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และทรงแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และความมืดนั้นว่า คืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันแรก พระเจ้าตรัสว่า “จงมีภาคพื้นในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน” พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้นนั้นขึ้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้ภาคพื้นออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าจึงทรงเรียกภาคพื้นนั้นว่า ฟ้า มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่สอง พระเจ้าตรัสว่า “น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าจงรวมอยู่ในที่เดียวกัน ที่แห้งจงปรากฏขึ้น” ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าจึงทรงเรียกที่แห้งนั้นว่า แผ่นดิน และที่ซึ่งน้ำรวมกันนั้นว่า ทะเล พระเจ้าทรงเห็นว่าดี ” พระเจ้าทรงสร้างโลกและจักรวาล พระองค์ยังทรงเป็นผู้ที่ทำให้โลกและจักรวาลดำรงอยู่ได้ ดังนั้นการเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกจึงตอบคำถามทุกอย่างที่สงสัยได้ “13 สิ่งที่ทำให้กำเนิดชีวิตขึ้นบนโลก” จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจที่เกิดจากการทรงสร้างของพระเจ้า
ในพระธรรมปฐมกาล 1:11 - 13 บอกว่า พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดพืช คือ ธัญพืชที่ให้เมล็ด และต้นไม้ผลที่ออกผลตามชนิดของมัน และมีเมล็ดในผลบนแผ่นดิน” และก็เป็นดังนั้น แผ่นดินก็เกิดพืช คือธัญพืชที่ให้เมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลมีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่สาม
พระเจ้าตรัสก็เกิดต้นไม้พันธุ์ต่าง ๆ มากมาย การทรงสร้างของพระเจ้าจึงสามารถอธิบายว่าทำไมถึงมีต้นไม้หลากหลาย มีระบบนิเวศน์ต่าง ๆ ที่เหมาะกับสิ่งมีชีวิต นั่นเพราะทุกอย่างพระเจ้าทรงสร้างขึ้นมานั่นเอง
- พระเจ้าทรงสร้างดวงดาวต่าง ๆ
ในพระธรรมปฐมกาล 1:14 - 19 บอกว่า “พระเจ้าตรัสว่า “จงมีดวงสว่างต่างๆ ของภาคพื้นฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้เป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี และให้เป็นดวงสว่างต่างๆ บนภาคพื้นฟ้า เพื่อส่องสว่างเหนือแผ่นดิน” ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างดวงสว่างขนาดใหญ่ไว้สองดวง ให้ดวงที่ใหญ่กว่าครองวัน ดวงที่เล็กกว่าครองคืน พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่างๆ ด้วย พระเจ้าทรงตั้งดวงสว่างเหล่านี้ไว้บนภาคพื้นฟ้า ให้ส่องสว่างเหนือแผ่นดิน ให้ครองวันและคืน และแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่สี่”
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ดวงอาทิตย์อยู่ในระยะห่างที่พอเหมาะ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มีดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เกิดจากการทรงสร้างทั้งสิ้น
ที่มา : https://www.freebibleimages.org/
- พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ต่าง ๆ
ในปฐมกาล 1:20 – 25 บอกว่า “พระเจ้าตรัสว่า “น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และให้นกบินไปมาในภาคพื้นฟ้าเหนือแผ่นดิน” พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และสัตว์ที่มีชีวิตทุกชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำเป็นฝูงๆ ตามชนิดของมัน และสัตว์ปีกทุกชนิดตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี พระเจ้าจึงทรงอวยพรสัตว์เหล่านั้นว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มน้ำในทะเล และให้นกทวีมากขึ้นบนแผ่นดินโลก” มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่ห้า พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าตามชนิดของมัน” ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดินตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี
พระเจ้าทรงตรัสอีกเช่นเคยเพื่อสร้างสัตว์ปีก สัตว์บก สัตว์น้ำต่าง ๆ ตามชนิดของมัน ความหลากหลายทางพันธุกรรมที่เราเห็นล้วนแล้วแต่เกิดจากการทรงสร้างทั้งสิ้น
- พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์
ในปฐมกาล 1:26 บอกว่า แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา ตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในท้องฟ้าและฝูงสัตว์ใช้งาน ให้ปกครองแผ่นดินโลกทั้งหมด และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดินทั้งหมด”
ในปฐมกาล 2:7 บอกว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีจากพื้นดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูกของเขา มนุษย์จึงกลายเป็นผู้มีชีวิตอยู่”
พระเจ้าทรงสร้างสิ่งต่าง ๆ ด้วยการตรัส แต่สำหรับการสร้างมนุษย์นั้นแตกต่างออกไป พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ขึ้นจากดิน พระเจ้าสร้างมนุษย์ตามอย่างพระฉายาของพระองค์ เมื่อทรงปั้นเสร็จแล้วก็ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงมีชีวิต นี่จึงเป็นสาเหตุที่เราแตกต่างจากสัตว์ นี่จึงอธิบายได้ว่าทำไมเราถึงมีจิตวิญญาณ เพราะเรามีลมปราณของพระเจ้า ตอนกำเนิดมนุษย์พระเจ้าทรงระบายลมปราณเข้าไป เมื่อเราตายลมหายใจก็ออกจากร่างกายเรา หรือที่เราเรียกว่า “ลมหายใจเฮือกสุดท้าย” นั่นเอง
จะเห็นว่าความเชื่อที่ว่าทุกสิ่งเกิดจากการทรงสร้างนั้นสมเหตุสมผลที่สุดเพราะสามารถอธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นเมื่อเรารู้ “ที่มา” ของชีวิตว่ามาจากไหน ต่อไปก็คือการหาคำตอบของ “ที่ไป” ว่าเมื่อเราตายไปแล้ว เราจะไปที่ไหนนั่นเอง... อ่านต่อ
หน้า 1 | หน้า 2 | หน้า 3 | หน้า 4 | หน้า 5 | หน้า 6 | หน้า 7
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com
เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com