พระเยซูคือใคร พระเจ้ามีจริงหรือ อยากรู้จักพระเจ้า เรามีคำตอบ
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

พระคัมภีร์ไบเบิลแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ประกอบไปด้วยพระธรรม 39 เล่ม และพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งมีพระธรรมทั้งหมด 27 เล่ม พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเริ่มตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลกจนถึงก่อนพระเยซูประสูติ ส่วนพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เริ่มต้นตั้งแต่พระเยซูประสูติจนถึงเรื่องราวของคริสเตียนในยุคเริ่มแรก พระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่บอกเรื่องราวเริ่มต้นของพระเยซูว่า วันหนึ่งมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งไปหานางสาวมารีย์หญิงพรหมจารีย์ซึ่งได้หมั้นไว้กับโยเซฟว่า เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และให้ตั้งชื่อเด็กคนนั้นว่า “เยซู” (ลูกา 1:30-31)

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - พระเยซูอาชีพช่างไม้ ที่มา : https://www.catholicforlife.com/7-points-for-workers-day/

พระเยซูเกิดจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะนางมารีย์ยังไม่เคยหลับนอนกับผู้ชายคนไหน ทำให้พระเยซูแตกต่างจากคนทุกคนบนโลกนี้ นั่นคือพระองค์ไม่มีบาป ความบาปเกิดจากคนๆเดียวที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และความบาปสามารถตกทอดมาทางสายเลือดได้ มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้จึงเป็นคนบาป พระเยซูผู้ที่เกิดมาโดยไม่มีบาป จึงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้มนุษย์พ้นจากกฎแห่งกรรมได้ (โรม 5:12-18)

พระเยซูเกิดในครอบครัวของช่างไม้ พระองค์เป็นพี่ชายคนโตที่ช่วยครอบครัวทำงานจนกระทั่งอายุ 30 ปี หลังจากนั้นพระองค์ก็ออกมาประกาศเรื่องราวของพระเจ้า ประกาศให้คนกลับใจหันหลังจากบาปและกลับมาคืนดีกับพระเจ้า และนี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีที่ผ่านมาที่มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล

พระคัมภีร์ใบเบิลบอกพระเยซูคือ

 


- พระเยซูคือมนุษย์ 100% (ยอห์น 1:14) การเป็นมนุษย์ 100% ของพระเยซูนั้นสำคัญ เพราะพระองค์ทรงเข้าใจปัญหาและความทุกข์ต่าง ๆ ที่เราเผชิญอยู่ เพราะพระองค์ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกับเรา (ฮิบรู 4:15)

- พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า 100% ในยอห์น 1:1-3 บอกว่าพระวาทะ (หรือพระเยซู) ทรงเป็นพระเจ้า และทรงอยู่กับพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้น และพระเจ้าได้สร้างทุก ๆ สิ่งผ่านทางพระเยซู ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูยังสำแดงผ่านทางคนที่รู้จักพระเยซู (มัทธิว 16:13-17) ผ่านทางคำพูดของพระเยซูเอง (มาระโก 14:61-64 , ยอห์น 10:30-38) หรือผ่านทางการฟื้นคืนพระชนม์จากความตายของพระเยซูเอง และยังคงดำรงชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ (ลูกา 24:39, มาระโก 8:31, กิจการ 17:32)

แต่ข้อมูลทั้งหมดของพระเยซูที่กล่าวมานั้น ได้มาจากแหล่งข้อมูลอ้างอิงเพียงแหล่งเดียวก็คือพระคัมภีร์ไบเบิล คำถามก็คือสามารถเชื่อถือได้จริงหรือ พระเยซูที่ว่านี้มีอยู่จริงหรือว่าเป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นเท่านั้น

หลักฐานจากคนในสมัยนั้น

 


- ทาซิทุส (Tacitus)

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - ทาซิทุส (Tacitus) ที่มา : https://www.thoughtco.com/

ทาซิทุสเกิดในปี ค.ศ. 56 – ค.ศ. 120 เขาเป็นนักประวัติศาสตร์ชาวโรมันซึ่งได้เขียนจดหมายเหตุเกี่ยวกับจักรวรรดิโรมันตั้งแต่ ค.ศ. 14 – 68 (พระเยซูคริสต์เสียชีวิตปี ค.ศ. 33) เขาได้บันทึกเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งยิ่งใหญ่ของกรุงโรม (Great Fire of Rome) จำนวน 6 วัน ที่เกิดในปี ค.ศ. 64 ในสมัยที่กษัตริย์เนโรปกครองว่า เพื่อสยบข่าวลือว่าเนโรเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ กษัตริย์เนโรจึงโยนความผิดให้พวกคริสเตียนแทน ในบันทึกบอกว่าพระเยซู (Christus) เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มนี้ และได้ถูกประหารในสมัยการปกครองของกษัตริย์ทิเบริอัส (Tiberius) โดยมือของเจ้าหน้าที่ชื่อ ปอนทิอัสปีลาต (เนื้อหาส่วนหนึ่งจาก จดหมายเหตุ เล่ม 15 วรรค 44 )

“นีโร รวบรัดตัดสินความผิดและลงโทษด้วยการทรมานกลุ่มคน ซึ่งเป็นที่เกลียดชังและคนทั่วไปเรียกว่าคริสเตียน ซึ่งถือกำเนิดตามชื่อชายคนหนึ่ง คริสตุส ผู้ต้องโทษทรมานแสนสาหัส ในสมัยของทิเบริอัส ภายใต้การพิจารณาความของผู้ปกครองคนหนึ่งของเรา คือ ปอนทัส ปีลาต แล้วเรื่องลึกลับอันตรายที่สุดซึ่งถูกระงับเงียบไประยะหนึ่งก็ระเบิดขึ้นอีก ไม่เพียงแต่ในยูเดียแหล่งกำเนิดเรื่องบ้าบอนี้เท่านั้น แต่ขยายไปถึงโรมด้วย... ความจริงการจับกุมผู้ทำผิดทั้งหมดตามข้อมูลที่ได้มามีคนจำนวนมากถูกจับด้วย แต่ไม่ใช่เพราะคดีการเผากรุงโรม แต่เนื่องจากเพราะถูกเกลียดชัง”

นี่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญจากคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนที่บันทึกว่าพระเยซู (คริสตุส) มีชีวิตอยู่จริง และเป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่มคริสเตียนในสมัยนั้น พระองค์ถูกประหารชีวิตโดยการตรึงบนกางเขนโดยปอนทิอัสปีลาต ซึ่งตรงกับบันทึกในพระคัมภีร์ไบเบิลใน ลูกา 23:1-5

- ปรินี ผู้น้อย (PLINY THE YOUNGER)

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - ปรินี ผู้น้อย (PLINY THE YOUNGER) ที่มา : https://www.laphamsquarterly.org

ปรินี ผู้น้อย มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 61 – ค.ศ. 133 เขาเป็นทั้งนักกฎหมาย นักเขียน ผู้พิพากษา และยังเป็นผู้ว่าการแคว้นบิธีเนีย (ปัจจุบันคือตุรกี) ปรินีได้เขียนจดหมายเป็นร้อย ๆ ฉบับ และยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันถึง 247 ฉบับ ซึ่งมีคุณค่าต่อการศึกษาประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก ในปี ค.ศ. 112 ปรินีได้เขียนจดหมายโต้ตอบกับจักรพรรดิทราจัน (Emperor Trajan) เพื่อปรึกษาว่าจะทำยังไงดีกับพวกคริสเตียนที่นมัสการพระเยซู (Christ) (Epistulae X.96)

“ข้าถามพวกเขาว่าเป็นคริสเตียนหรือ ถ้ายอมรับ ข้าก็ทวนคำถามครั้งที่สอง และสาม พร้อมเตือนว่ามีโทษอะไรรออยู่ข้างหน้า ถ้ายังยืนกราน ข้าก็สั่งให้นำตัวออกไปลงโทษประหาร แต่ไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับด้วยท่าทางแบบไหน ข้ายอมรับว่าจะปล่อยคนที่ดื้อดึงดันทุรังพวกนี้ไปโดยไม่ลงโทษก็ไม่ได้ ยังมีอีกหลายคนที่มีพฤติกรรมโง่ ๆ เช่นนี้ แต่เพราะคนเหล่านั้นเป็นคนโรม ข้าจึงได้ส่งพวกเขาไปพิจารณาคดีที่โรมด้วย... พวกเขายังประกาศอีกว่าความผิดของพวกเขานั้นมีแค่การมาพบและประชุมกันเช้าตรู่ตามวันที่กำหนดไว้ และร้องสวดอ้อนวอนท่ามกลางพวกเขาเองเพื่อเป็นเกียรติแด่ "พระคริสต์" เหมือนร้องอ้อนวอนต่อพระเจ้า เพื่อคำสาบานที่ผูกพันพวกเขาเข้าด้วยกัน ใช่เพื่อทำผิดกฎหมาย แต่เพื่อละเว้นจากการเป็นโจร ขโมย หรือล่วงประเวณี... นี่ทำให้ข้าตัดสินว่ามีความจำเป็นยิ่งที่ต้องคาดคั้นเอาความจริงโดยการทรมานทาสหญิงสองคนที่พวกเขาเรียกว่ามัคนายิกา แต่ข้าไม่พบอะไรเลย นอกจากเรื่องเหลวไหลของลัทธิที่กำลังแพร่ระบาดเท่านั้น”

และนี่คือหลักฐานงานเขียนอีกชิ้นหนึ่งของคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนที่ระบุว่าพระเยซู (พระคริสต์) มีตัวตนจริง และเรื่องราวของคริสเตียนมีการขยายไปอย่างรวดเร็ว มีคนนมัสการพระเยซูว่าเป็นพระเจ้าและยอมตายดีกว่าที่จะปฏิเสธว่าเชื่อในพระองค์

- โจซีฟัส (Josephus)

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - โจซีฟัส (Josephus) ที่มา : http://www.ancientjewreview.com/

โจซีฟัสมีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 37 – ค.ศ. 100 เขาเป็นนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการชาวยิว เขาเป็นคนที่เคร่งครัดในศาสนายูดาห์มาก เขาได้บันทึกประวัติศาสตร์ของคนยิวโดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 1 โดยในปี ค.ศ. 75 เขาได้เขียนเกี่ยวกับสงครามยิว (The Jewish War) ซึ่งเป็นเรื่องราวของการต่อต้านของชาวยิวต่ออาณาจักรโรมันที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 66 – ค.ศ. 73 และในปี ค.ศ. 93 – ค.ศ. 94 โจซีฟัสได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาวยิว (Antiquities of the Jews) โดยมีทั้งหมด 20 เล่ม ซึ่ง 10 เล่มแรกได้ยึดตามพระคัมภีร์ของยิวตั้งแต่การสร้างอาดัมและเอวา และอีก 10 เล่มหลังเป็นการเขียนต่อจากพระคัมภีร์ (พระคัมภีร์สิ้นสุดการบันทึก 410 ปี ก่อน ค.ศ.) จนถึงช่วงการเกิดสงคราวยิว (The Jewish War) ในตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ (the Antiquities of the Jews {Book 20, Chapter 9, 1}) เขาได้พูดถึงยากอบน้องชายของ "พระเยซู" และการตายของเขา ซึ่งจากข้อความในตอนนี้เป็นการยืนยันว่าพระเยซูมีตัวตนจริง มีการอ้างถึงพระองค์จากหนังสืออื่น ๆ ในสมัยนั้น โดยข้อความที่โจซีฟัสเขียนมีดังนี้

“เขาได้เรียกประชุมสภาแซนเฮดริน และได้นำตัวยากอบน้องชายของ "พระเยซู" (ที่เรียกว่าพระคริสต์) พร้อมกับคนอื่น ๆ เข้ามา และได้กล่าวหาคนพวกนี้ว่าได้ทำผิดกฎหมาย และสั่งให้ขว้างด้วยก้อนหิน”

หนังสืออีกเล่มหนึ่งของโจซีฟัสที่ได้อ้างถึงพระเยซูก็คือหนังสือที่ชื่อ Testimonium Flavianum Book 18, Chapter 3, 3 โดยข้อความจากหนังสือเล่มนี้ที่ได้กล่าวถึงพระเยซูมีดังนี้

“ในเวลานั้นมีชายคนหนึ่งชื่อ เยซู เป็นคนฉลาด หรือที่ถูกต้อง ไม่น่าเรียกเขาว่าเป็นคน เพราะเขาได้ทำการประหลาด เป็นครูที่มีคนมากมายรับสัจจะด้วยความยินดี เขาชนะใจทั้งพวกยิวและพวกกรีกจำนวนมาก เขาคือ “พระคริสต์” เมื่อปีลาตรับฟ้องข้อกล่าวหาจากผู้นำชั้นสูงที่อยู่ท่ามกลางพวกเรา ปีลาตลงโทษให้นำตัวเขาไปตรึงกางเขน และคนกลุ่มแรกเหล่านั้นที่รักเขา ก็ยังรักเขาต่อไปไม่ยอมเลิก ในวันที่สาม เขากลับมีชีวิตและปรากฏตัวให้พวกสาวกได้เห็น เพราะว่าผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าได้พยากรณ์ไว้ รวมทั้งการอัศจรรย์อีกมากมายนับไม่ถ้วนเกี่ยวกับเขาด้วยและกลุ่มคริสเตียน ชื่อซึ่งเรียกตามเขาก็ยังปรากฏอยู่ทุกวันนี้ไม่หายไปไหน”

ข้างต้นเป็นเพียงหลักฐานบางส่วนเท่านั้นที่มีการบันทึกจากคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ที่ยืนยันว่าพระเยซูมีตัวตนอยู่จริง ถูกลงโทษตรึงกางเขนจนตายในสมัยปอนทิอัสปีลาต และมีคนมากมายที่เชื่อและศรัทธาในพระองค์จนกระทั่งยอมถูกฆ่าตายดีกว่าปฏิเสธความเชื่อ ถ้าเรื่องพระเยซูไม่ใช่เรื่องจริง คงไม่มีคนจำนวนมากยอมตายเพื่อพระองค์แบบที่มีการบันทึกข้างต้นแน่นอน ถ้าหากพระเยซูมีตัวตนจริง คำถามต่อมาก็คือ การอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่พระเยซูทำ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรค การห้ามลม ฟ้า ฝน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือนิยายที่คนแต่งแต้มขึ้นมา

อิทธิฤทธิ์ของพระเยซู จริงหรือ?

 

 

ในพระคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระเยซูเริ่มออกประกาศเรื่องราวของพระเจ้าตอนอายุประมาณ 30 ปี และทำการประกาศสั่งสอนเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าประมาณสามปีกว่า ๆ จากนั้นก็ถูกตรึงตายบนกางเขน พระคัมภีร์ได้บันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงทำดังนี้

- การรักษา

พระคัมภีร์ได้บันทึกว่าคนจำนวนมากนำคนป่วยด้วยโรคต่าง ๆ มาให้พระเยซูรักษา (มัทธิว 4:24, 9:35) วิธีการรักษาโรคของพระเยซูก็แตกต่างกัน บางครั้งพระองค์ตรัสแค่ไม่กี่คำโรคนั้นก็หาย บางครั้งใช้วิธีถ่มน้ำลาย ใช้โคลนทา หรือบางครั้งพระองค์บอกให้ไปทำบางสิ่งบางอย่าง โรคก็หายอย่างอัศจรรย์ ตัวอย่างการรักษาโรคของพระเยซูก็เช่นการรักษาแม่ยายของเปโตรที่มีไข้สูง พระเยซูแค่ตรัสสั่ง ไข้นั้นก็หายไป ดังที่ได้บันทึกไว้ใน ลูกา 4:38-39

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - การรักษาแม่ยายเปโตร ที่มา : http://www.womeninthebible.net/

- คนตาบอด

มีคนตาบอดจำนวนมากที่พระเยซูทรงรักษา ในมาระโก 8:22-26 บันทึกว่าพระเยซูทรงรักษาคนตาบอดที่เบธไซดา การรักษาบารทิเมอัสคนตาบอดเมื่อพระองค์กำลังออกจากเมืองเยริโคใน มาระโก 10:46-52 หรือในยอห์น 9:1-12 ที่พระเยซูทรงรักษาคนที่ตาบอดแต่กำเนิด ซึ่งเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากเพราะไม่น่าจะมีการรักษาได้ในสมัยนั้น

- คนโรคเรื้อน

คนโรคเรื้อนถือว่าเป็นคนไม่สะอาด พระคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าคนพวกนี้เป็นมลทิน ห้ามอาศัยอยู่กับคนทั่วไป ต้องออกไปอยู่นอกเมือง (กันดารวิถี 5:1-4) และเวลาเดินไปไหนมาไหนก็ต้องร้องตะโกนว่า มลทิน มลทิน เพื่อไม่ให้ใครมาเข้าใกล้ (เลวีนิติ 13:45 – 46) จะเห็นว่าคนโรคเรื้อนในสังคมยิวเป็นพวกที่น่าสงสารมาก ไม่มีใครเข้าใกล้ ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย แต่พระเยซูทรงรักคนเหล่านี้และรักษาคนโรคเรื้อนจำนวนมากให้หาย เหมือนที่บันทึกในมัทธิว 8:1-4 หรือในพระธรรมลูกา 17:11-19 ที่พระเยซูทรงรักษาคนโรคเรื้อน 10 คน ให้หาย

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - การรักษาคนโรคเรื้อน ที่มา : http://www.freebibleimages.org/

- คนเป็นอัมพาต

พระเยซูยังทรงรักษาคนง่อยจำนวนมากด้วยเช่นกัน ในมาระโก 2:1-12 ที่เมืองคาเปอรนาอุมมีคนสี่คนหามคนง่อยมาหาพระเยซู แต่เข้าไปหาพระองค์ไม่ได้ จึงเจาะดาดฟ้าตรงที่พระเยซูประทับและหย่อนคนง่อยลงมา พระเยซูทรงเห็นความเชื่อของพวกเขา พระองค์ก็ทรงรักษาคนง่อยนั้นให้หาย หรือในพระธรรมยอห์น 5:1-18 ที่พระเยซูทรงรักษาคนง่อยที่ป่วยมาสามสิบแปดปีที่นอนที่ข้าง ๆ สระน้ำเบธซาธา เป็นต้น

- คนถูกผีเข้า

พระเยซูตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นใหญ่กว่าบรรดาภูติผีปีศาจทั้งหลาย และพระองค์ทรงพิสูจน์ให้เห็นผ่านการขับผีร้าย วิญญาณชั่วต่าง ๆ ที่สิงสถิตในตัวคน อย่างในมาระโก 1:21-28 พระเยซูทรงขับผีโสโครกออกจากชายคนหนึ่งที่เมืองคาเปอรนาอุม หรือการที่พระเยซูทรงรักษาคนถูกผีเข้าที่เมืองเก-ราซา ในมาระโก 5:1-20 หรือการขับผีออกจากลูกสาวของหญิงที่มีเชื้อชาติซีเรียฟีนิเซียในมาระโก 7:24-30 หรือการชับผีออกจากคนที่ตาบอดและเป็นใบ้ และเมื่อผีออกจากคน ๆ นั้นแล้วเขาก็สามารถมองเห็นและพูดได้เป็นปกติ ดังที่มีการบันทึกไว้ในมัทธิว 12:22 หรือการรักษาเด็กที่เป็นโรคลมบ้าหมูเพราะมีผีเข้าสิงในมัทธิว 17:14-18 หรือในมัทธิว 9:32-34 ที่ทรงขับผีออกจากคนเป็นใบ้ และเขาก็สามารถพูดได้เป็นปกติ

- การทำให้คนฟื้นจากตาย

ไม่มีใครในโลกนี้สามารถทำให้คนฟื้นจากตายได้นอกจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์และเป็นเจ้าของชีวิตทุกชีวิตในโลกนี้ และพระเยซูก็ได้พิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระองค์โดยการทำให้หลาย ๆ คนมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ในมาระโก 5:21-43 พระเยซูทรงทำให้ลูกสาวของไยรัสเป็นขึ้นมาจากความตาย หรือการทำให้ลาซารัสเพื่อนของพระองค์มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากตายไปได้สี่วันแล้ว ในยอห์น 11:1-44 หรือการทำให้บุตรแม่ม่ายที่นาอินเป็นขึ้นจากตาย ในลูกา 7:11-17

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - ลาซารัสฟื้นจากตาย ที่มา : http://www.freebibleimages.org/

- การมีฤทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาติ

พระเยซูไม่เพียงมีฤทธิอำนาจเหนือผีมารซาตาน เหนือโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น แต่พระองค์ยังสามารถควบคุมธรรมชาติได้ด้วย ดังจะเห็นได้จากการอัศจรรย์จำนวนมากที่พระองค์กระทำ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนน้ำเปล่าในโอ่งที่คนยิวใช้ล้างเท้าก่อนเข้าบ้านให้เป็นเหล้าองุ่นในงานแต่งงานที่หมู่บ้านคานา ในยอห์น 2:1-11 การที่พระเยซูซึ่งมีอาชีพช่างไม้แต่กลับแนะนำชาวประมงซึ่งทำอาชีพจับปลามาตลอดชีวิต ว่าควรหย่อนอวนลงตรงไหน ผลก็คือสามารถจับได้ปลาเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่ใช่พระเจ้าผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติก็คงไม่สามารถทำได้ ดังที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ในลูกา 5:1-11 การเลี้ยงคนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังเพียงห้าก้อนและปลาสองตัว และยังเหลือเศษอาหารอีกสิบสองตะกร้า ในมัทธิว 14:13-21 หรือการเลี้ยงคนสี่พันคนด้วยขนมปังเจ็ดก้อนกับปลาเล็ก ๆ อีกสองสามตัว และยังเก็บอาหารที่เหลือได้อีกเจ็ดกระบุงเต็ม ดังที่บันทึกในมัทธิว 15:32-39 ฤทธิ์อำนาจของพระเยซูยังมีการที่พระองค์เดินบนน้ำไปหาเหล่าสาวกที่อยู่ในเรือในมัทธิว 14:22-33 การห้ามพายุให้สงบลงในมาระโก 4:35-41 หรือการหาเงินจากปากปลาที่บันทึกในมัทธิว 17:24-27 หรือแม้กระทั่งสาปต้นมะเดื่อในมาระโก 11:12 – 14, 20-25

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - พระเยซูห้ามพายุ ที่มา : http://www.freebibleimages.org/

จะเห็นได้ว่าพระคัมภีร์ไบเบิลได้บันทึกการอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่พระเยซูทรงทำเป็นจำนวนมาก และเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีมนุษย์คนใดสามารถทำได้ เป็นไปได้หรือที่เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง หรือว่าเป็นเพียงนิยายที่แต่งแต้มขึ้นมาเพื่อให้สมกับคำกล่าวอ้างว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า

ช่วงเวลาที่เขียนพระคัมภีร์ไบเบิล

 

 

การจะพิสูจน์เรื่องนี้ว่าจริงหรือลวงโลกนั้น เราน่าจะกลับไปดูช่วงเวลาของการบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ถ้าหากมีการบันทึกหลังจากเหตุการณ์นั้นเป็นเวลานาน ก็เป็นไปได้ว่าจะมีการแต่งแต้มเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้น เพราะไม่มีใครสามารถพิสูจน์หรือยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง

พระคัมภีร์ไบเบิลมีอยู่ 4 เล่มที่บันทึกประวัติของพระเยซูคือ มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น โดยรายละเอียดการเขียนของแต่ละเล่มมีดังนี้

1. พระธรรมมัทธิว

คนเขียนพระธรรมเล่มนี้คือมัทธิวซึ่งเป็นหนึ่งในสาวกของพระเยซู มัทธิวเขียนเป็นภาษากรีกเพื่อให้คนยิวที่พูดภาษากรีกได้อ่าน สำหรับระยะเวลาของการเขียนพระธรรมมัทธิวมีการตีความหลากหลายช่วงเวลา ดังนี้

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - มัทธิว ที่มา : http://www.ibiblio.org/

1.1 เขียนในช่วงต้นทศวรรษที่ 50

เนื่องจากพระธรรมมัทธิวมีลักษณะการเขียนแบบยิว เช่น การไม่เอ่ยพระนามพระเจ้าแบบตรง ๆ การใช้คำศัพท์ของคนยิว เป็นต้น ทำให้หลายคนเชื่อว่าพระธรรมมัทธิวน่าจะเขียนในช่วงต้นทศวรรษที่ 50

1.2 เขียนในช่วงปลายทศวรรษที่ 50 หรือต้นทศวรรษที่ 60

เพราะเนื้อหาของพระธรรมมัทธิวมีหลายส่วนที่เหมือนกับพระธรรมมาระโก บางคนจึงเชื่อว่าน่าจะเขียนหลังจากที่พระธรรมมาระโกมีการใช้ในคริสตจักรมาระยะเวลาหนึ่ง

1.3 เขียนในช่วงทศวรรษที่ 70

มีบางทฤษฎีเชื่อว่าพระธรรมมาระโกถูกเขียนขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 65 – 70 จึงเชื่อว่าพระธรรมมัทธิวน่าจะมีการเขียนหลังจากนั้น แต่ข้อสันนิฐานว่าพระธรรมมัทธิวเขียนขึ้นหลังจากปี ค.ศ. 70 ไม่น่าจะมีน้ำหนักมากนัก เนื่องจากมัทธิว 24:1-2 ได้บันทึกว่าพระเยซูได้พยากรณ์ถึงการทำลายพระวิหาร ซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 70 ถ้าหากเป็นการเขียนหลังจากพระวิหารถูกทำลาย มัทธิวก็น่าจะเขียนเพิ่มเติมลงไปว่าการพยากรณ์ของพระเยซูได้สำเร็จและเป็นจริงแล้ว ดังนั้นระยะเวลาการเขียนพระธรรมมัทธิวน่าจะก่อนปี ค.ศ. 70

2. พระธรรมมาระโก

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - มาระโก ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/John_Mark

ผู้เขียนคือยอห์นหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า มาระโก (กิจการ 12:12) ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดของเปโตรสาวกคนสนิทของพระเยซู พระธรรมมาระโกเป็นพระธรรมเล่มแรกที่เขียนเกี่ยวกับชีวประวัติของพระเยซู โดยมาระโกเขียนพระธรรมเล่มนี้จากการฟังคำเทศนาของเปโตรที่เทศนาตามความต้องการของกลุ่มคริสเตียนในยุคแรก ดังนั้นการเขียนชีวประวัติของพระเยซูจึงไม่ได้เป็นการเรียงลำดับหรือเขียนอย่างเสร็จสมบูรณ์ มาระโกตั้งใจเขียนพระธรรมเล่มนี้ให้คริสตจักรที่กรุงโรมหรือผู้อ่านที่เป็นคนต่างชาติ ไม่ใช่คนยิว ทำให้มีการอธิบายธรรมเนียมต่าง ๆ ของยิวในพระธรรมเล่มนี้ซึ่งต่างจากพระธรรมมัทธิว สำหรับเวลาที่เขียนมีดังนี้

2.1 เขียนปลายทศวรรษที่ 50 หรือต้นทศวรรษที่ 60

2.2 เขียนก่อนกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายในปี ค.ศ. 70 เพียงไม่นาน

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเขียนช่วงเวลาใด สิ่งหนึ่งที่เรามั่นใจได้ก็คือผู้เขียนหรือผู้อ่านอยู่ในยุคเดียวกับพระเยซู และบางคนอาจจะเคยพบพระองค์เป็นการส่วนตัวด้วย

3. พระธรรมลูกา

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - ลูกา ที่มา : https://commons.wikimedia.org

คนเขียนพระธรรมตอนนี้คือนายแพทย์ลูกา เขียนถึงท่านเธโอฟีลัส ลูกาเป็นคนสนิทของเปาโล (โคโลสี 4:14, ฟิเลโมน 24) ซึ่งเป็นอัครทูตคนสำคัญที่เขียนพระธรรมหลายเล่มในพระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ สำหรับเวลาที่เขียนมีดังนี้

3.1 เขียนในช่วงปี ค.ศ. 59 – 63

3.2 น่าจะเขียนในช่วงทศวรรษที่ 70 หรือทศวรรษที่ 80

แต่ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดก็ตาม ระยะเวลาที่เขียนนั้นเกิดขึ้นหลังจากพระเยซูตายเพียง 30 – 40 ปี แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาของพระเยซูได้อ่านหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน

4. พระธรรมยอห์น

ผู้เขียนคือยอห์นสาวกที่พระเยซูทรงรัก ที่เชื่อเช่นนี้เพราะผู้เขียนพระธรรมตอนนี้รู้จักชีวิตชาวยิวและขนบธรรมเนียมของยิวเป็นอย่างดี เช่น การที่คนยิวไม่ถูกกับคนสะมาเรีย (ยอห์น 4:9) การเข้าสุหนัตในวันที่แปดสำคัญกว่าการรักษาวันสะบาโต (ยอห์น 7:22) เป็นต้น อีกเหตุผลหนึ่งที่เชื่อว่ายอห์นเป็นผู้เขียนเพราะมีบางตอนชี้ชัดว่าเขียนขึ้นจากประสบการณ์ เช่น เรื่องบ้านที่เบธานีมีกลิ่นหอมตลบอบอวลจากน้ำหอมที่นำมารดพระบาทพระเยซู (ยอห์น 12:3) สำหรับระยะเวลาที่เขียนน่าจะเป็นดังนี้

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - ยอห์น ที่มา : https://achristianpilgrim.wordpress.com

4.1 เขียนระหว่างปี ค.ศ. 50 – 70

4.2 เขียนประมาณปี ค.ศ. 85

อย่างไรก็ตามสิ่งที่แน่ชัดอย่างหนึ่งก็คือผู้เขียนรู้จักพระเยซู เป็นคนที่พระเยซูรัก และเป็นพยานที่มีชีวิตที่รู้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับพระเยซู เพราะได้ติดตามพระเยซูมาตลอดสามปี

ถ้าหากเราดูระยะเวลาการเขียนของพระธรรมทั้งสี่เล่ม ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีไหนก็ตาม เราสามารถสรุปได้ว่ามีการเขียนหลังจากพระเยซูตายและฟื้นคืนพระชนม์ประมาณ 30 – 50 ปี ซึ่งคนเขียนและคนอ่านต่างก็อยู่ในยุคเดียวกับพระเยซู ผู้อ่านทั้งที่เชื่อและไม่เชื่อหลายคนเคยเห็นพระเยซูกับตา ดังนั้นโอกาสที่เรื่องต่าง ๆ จะถูกบิดเบือนไปจากความจริงจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และหลักฐานอีกอย่างที่ยืนยันว่าเรื่องราวที่บันทึกนี้ไม่ใช่นิยายก็คือการยอมตายของคนที่เชื่อในพระเยซู ผู้เชื่อเหล่านี้ยอมตายดีกว่าจะปฎิเสธว่าพระเยซูคริสต์ไม่ใช่พระเจ้า เช่น การฆ่ายากอบด้วยดาบ (กิจการ 12:2) หรือเปโตรที่ตายโดยถูกตรึงกางเขนแบบกลับหัว (ยอห์น 21:18 – 19) หรือเปาโลซึ่งเป็นผู้วางรากฐานความเชื่อของคริสเตียนที่สำคัญคนหนึ่งก็ต้องโทษถึงตายโดยการถูกตัดหัว (2 ทิโมธี 4:16-18) เป็นต้น

พระเยซูพูดถึงพระองค์เองยังไง

 

 

เมื่อพยานหลักฐานต่าง ๆ ชี้ชัดแล้วว่าพระเยซูมีตัวตนอยู่จริง ได้มาเกิดในโลกนี้เมื่อประมาณ 2000 ปี ที่ผ่านมา พระองค์ได้ประกาศเรื่องราวของพระเจ้าและทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ มากมาย เราได้เห็นถึงคนต่าง ๆ ได้ติดตามและพูดถึงพระองค์อย่างมากมาย แล้วพระเยซูละ ได้พูดถึงตนเองว่าอย่างไร และนี่คือคำพูดที่พระองค์ได้บอกประชาชนในยุคนั้นว่าพระองค์คือใคร

1. พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้า และได้รับสิทธิอำนาจจากพระเจ้า
- พวกเขาทุกคนจึงถามว่า “เจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้าหรือ?” พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ก็ท่านพูดแล้วว่าเราเป็น” ลูกา 22:70
- เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา” มัทธิว 12:50
- พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว มัทธิว 28:18
- แต่พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “พระบิดาของเรายังทรงทำงานอยู่เรื่อย ๆ และเราก็ทำด้วย” เพราะเหตุนี้พวกยิวยิ่งหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ ไม่ใช่เพราะพระองค์ฝ่าฝืนกฎวันสะบาโตเท่านั้น แต่ยังเรียกพระเจ้าเป็นบิดาด้วย ซึ่งเป็นการทำตัวเสมอพระเจ้า ยอห์น 5:17 - 18
ประเด็นที่น่าคิดก็คือ ไม่มีพระไหนหรือศาสดาองค์ใดกล้าบอกว่าตนเองเป็นพระเจ้า มีเพียงพระเยซูผู้เดียวเท่านั้น
2. พระเยซูเป็นผู้ที่ไม่มีบาป
- มีใครในพวกท่านที่อาจชี้ให้เห็นว่าเรามีบาป? ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านถึงไม่เชื่อเรา? ยอห์น 8:46
การที่พระเยซูไม่มีบาปไม่ใข่เพราะพระองค์อยู่เหนือความเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นมนุษย์เหมือนกับเราทุกคน พระองค์ทรงถูกทดลองให้ทำบาปเหมือนเรา แต่พระองค์ก็ไม่ทำ (ฮิบรู 4:15) พระเยซูทรงใช้พระวจนะของพระเจ้าในการต่อสู้กับมาร ต่อสู้กับการทดลองและความบาป (ลูกา 4:1-13)
3. พระเยซูบอกว่าพระองต์เป็นทางเดียวที่จะไปถึงพระเจ้าได้
- พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา ยอห์น 14:6
พระเยซูไม่ได้บอกว่าพระองค์คือจุดหมายปลายทางนั้น แต่พระองค์เป็นทางที่จะทำให้เราทุกคนหลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม หลุดพ้นจากบาปได้

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - ทางเดียวถึงพระบิดา ที่มา : http://www.freebibleimages.org/

4. พระเยซูสามารถยกโทษบาปและให้ชีวิตนิรันดร์
- พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป ยอห์น 11:25
- เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขา พระองค์จึงตรัสว่า “เพื่อนเอ๋ย บาปต่าง ๆ ของท่านได้รับการยกโทษแล้ว” พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีจึงคิดในใจว่า “คนนี้พูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เขาเป็นใครกัน? ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น?” ลูกา 5:20-21
- เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตรและวางใจพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ และเราเองจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” ยอห์น 6:40
- เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่วางใจก็มีชีวิตนิรันดร์ ยอห์น 6:47
เราทุกคนเป็นคนบาป แต่พระเยซูสามารถยกโทษบาปให้กับทุกคนที่เชื่อและวางใจในพระองค์ เมื่อร่างกายเราตายไป จิตวิญญาณของเราจะไม่ตาย (ตกนรก) แต่จะมีชีวิตได้อยู่บนสวรรค์กับพระเจ้าตลอดนิรันดร์
5. พระเยซูพยากรณ์ว่าพระองค์จะตายและฟื้นคืนขึ้นอีก
- พระองค์ทรงพาสาวกสิบสองคนไปแล้วตรัสกับพวกเขาว่า “นี่แน่ะ พวกเราจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มและทุกสิ่งที่พวกผู้เผยพระวจนะเขียนเรื่องบุตรมนุษย์จะสำเร็จ เพราะว่าบุตรมนุษย์นั้นจะต้องถูกมอบไว้กับคนต่างชาติ และพวกเขาจะเยาะเย้ยท่าน กระทำหยาบคายต่อท่าน ถ่มน้ำลายรดท่าน พวกเขาจะโบยตีและฆ่าท่าน แล้วในวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่” ลูกา 18:31-33
6. พระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกครั้ง
- เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น (ลูกา 17:23-24) ซากศพอยู่ที่ไหนฝูงนกแร้งก็จะรุมล้อมกันอยู่ที่นั่น
          “แต่พอความทุกข์ลำบากในวันเหล่านั้นหมดแล้ว
          ดวงอาทิตย์จะมืดไป (อิสยาห์ 13:10; โยเอล 2:10, 31; โยเอล 3:15; วิวรณ์.6:12)
          และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง (อิสยาห์ 13:10; เอเสเคียล 32:7; โยเอล 2:10; 3:15)
          ดวงดาวทั้งหลายจะตกจากฟ้าสวรรค์ (อิสยาห์ 34:4; วิวรณ์ 6:13)
          และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในฟ้าสวรรค์จะถูกทำให้หวั่นไหว โยเอล 2:10)
เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะทุกข์โศกแล้วจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า (ดาเนียล 7:13; วิวรณ์.1:7) ทรงฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง
มัทธิว 24:27-30
- แต่พระองค์ทรงนิ่งอยู่ไม่ได้ตอบประการใด มหาปุโรหิตจึงถามพระองค์อีกว่า “เจ้าเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้สมควรแก่การนมัสการหรือ?” พระเยซูทรงตอบว่า “เราเป็น
          และ ท่านทั้งหลายจะเห็นบุตรมนุษย์
          ประทับข้างขวาของผู้ทรงฤทธิ์เดช
          และเสด็จมาในเมฆแห่งฟ้าสวรรค์”
มาระโก 14:61-62

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - จะกลับมารับเราทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ที่มา : http://www.freebibleimages.org/

พระเยซูทรงบอกเราว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและพระเจ้าทรงใช้พระองค์มายังโลกนี้เพื่อนำคนบาปทั้งหลายกลับมาหาพระเจ้าอีกครั้ง โดยการที่พระเยซูทรงยอมตายบนไม้กางเขนเพื่อรับโทษบาปแทนเราทุกคน ผู้ที่เชื่อในพระเยซูก็จะมีชีวิตนิรันดร์ คือเมื่อจากโลกนี้ไปก็จะได้อยู่บนสวรรค์กับพระองค์ ไม่ต้องตกนรกเพื่อชดใช้กรรมชั่วอีกต่อไป เพราะพระเยซูทรงรับโทษนั้นแทนเราแล้ว

ถ้าพระเยซูทรงมีตัวตนอยู่จริง และทรงเป็นพระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงบอกไว้ วันนี้เราจะตัดสินใจอย่างไร จะให้เรื่องนี้ปล่อยผ่านไป หรือยอมรับพระองค์ให้เป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา?

หากต้องการรู้จักพระเยซูเป็นการส่วนตัว สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ จะเป็นคริสเตียนได้ยังไง

พระเยซูคริสต์บุคคลมหัศจรรย์ ตอนที่ 1

ที่มา: soulfoodvdo

พระเยซูคริสต์บุคคลมหัศจรรย์ ตอนที่ 2

ที่มา: soulfoodvdo

ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com