พระเยซูคือใคร พระเจ้ามีจริงหรือ อยากรู้จักพระเจ้า เรามีคำตอบ
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ (ไบเบิล) เชื่อถือได้จริงหรือ

พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ (ไบเบิล) เชื่อถือได้จริงหรือ

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

พระคัมภีร์ไบเบิลคือหนังสือที่บันทึกเกี่ยวกับพระราชกิจและถ้อยคำของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์บนโลกนี้ ผู้เขียนพระคัมภีร์มีมากกว่า 40 คน (ที่สามารถระบุชื่อได้มี 35 คน ที่เหลือไม่ทราบชื่อผู้เขียน)

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - พระเยซูอาชีพช่างไม้

ผู้เขียนพระคัมภีร์ไบเบิลนี้ส่วนใหญ่ต่างก็ไม่รู้จักกัน มาจากหลากหลายอาชีพและอยู่กันต่างยุคต่างสมัย ซึ่งพระคัมภีร์ไบเบิลนับได้ว่าเป็นหนังสือที่ใช้เวลาเขียนนานที่สุดในโลก คือประมาณ 1,500 ปี โดยผู้เขียนคนแรกคือโมเสส ซึ่งเขียนพระคัมภีร์ 5 เล่มแรกของพระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม

พระเยซูมีตัวตนจริงหรือ - การรักษาแม่ยายเปโตร ที่มา : http://paradigmshift-jmac.blogspot.com/2010/11/what-if-abomination-of-desolation.html

ผู้เขียนพระคัมภีร์ทุกคนได้รับการดลใจจากพระเจ้า (2 ทิโมธี 3:16) เหมือนกับเลขาที่เขียนจดหมายตามที่นายบอก แม้ว่าเลขาจะเป็นคนเขียน แต่คนเขียนที่แท้จริงก็คือเจ้านาย เช่นเดียวกัน ผู้เขียนพระคัมภีร์ก็เขียนตามสิ่งที่พระเจ้าต้องการจะตรัสถึงมนุษย์ทุกคน ดังนั้นผู้เขียนพระคัมภีร์ที่แท้จริงก์คือพระเจ้านั่นเอง นี่จึงเป็นสาเหตุให้เนื้อหาตลอดทั้งเล่มของพระคัมภีร์สอดคล้องเป็นเรื่องเดียวกันและไม่มีสักตอนเดียวที่ขัดแย้งกันเอง โดยพระคัมภีร์ไบเบิลประกอบด้วย 2 ส่วน ดังนี้

1. พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม

ประกอบด้วยหนังสือย่อย ๆ ทั้งหมด 39 เล่ม บันทึกเรื่องราวตั้งแต่เริ่มสร้างโลกจนถึงก่อนพระเยซูประสูติ ภาษาที่ใช้เขียนส่วนใหญ่จะเป็นภาษาฮิบรู (Hebrew) มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เขียนเป็นภาษาแอราเมอิก (Aramaic - เป็นภาษาหลักของจักรวรรดิเปอร์เซีย บาบิโลเนีย และอัสซีเรีย แต่ต่อมาถูกแทนที่ด้วยภาษาอาหรับ)

2. พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่

ประกอบด้วยหนังสือย่อย ๆ ทั้งหมด 27 เล่ม บันทึกเรื่องราวตั้งแต่พระเยซูคริสต์ประสูติจนถึงประวัติคริสตจักรของคริสเตียนในยุคแรก ภาษาที่ใช้เขียนจะเป็นภาษากรีก (Koine Greek)

เดิมพระคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้แบ่งเป็นบทและเป็นข้อ ๆ เหมือนในปัจจุบัน แต่เพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน Stephen Langton จึงได้แบ่งพระคัมภีร์ไบเบิลออกเป็นบท ๆ ในปี ค.ศ. 1228 และต่อมา R. Nathan ได้ทำการแบ่งพระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิมเป็นข้อ ๆ ในปี ค.ศ. 1448 ส่วนพระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ได้แบ่งออกเป็นข้อ ๆ โดย Robert Stephanus ในปี ค.ศ. 1551 และพระคัมภีร์ไบเบิลที่ได้มีการรวมทั้งภาคพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่โดยแบ่งเป็นบทและข้ออย่างสมบูรณ์เป็นครั้งแรกคือ Geneva Bible เสร็จในปี ค.ศ. 1560

คริสเตียนบอกว่าพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นพระดำรัสของพระเจ้าที่ตรัสถึงมนุษย์ แล้วเราจะเชื่อคำกล่าวอ้างนี้ได้มากน้อยเพียงใด มีหลักฐานอะไรเพื่อพิสูจน์คำกล่าวอ้างนี้

1. หลักฐานภายในพระคัมภีร์

 


ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ มีประมาณ 38,000 ครั้งที่เขียนว่า “พระเจ้าตรัสว่า” ในพระคัมภีร์บันทึกว่าพระเจ้าตรัสถึงคนที่เชื่อในพระองค์ เช่น โมเสสที่ได้พูดคุยกับพระเจ้าแบบหน้าต่อหน้า ก็ได้บันทึกถึงการพูดคุยกับพระเจ้าลงในพระคัมภีร์ เช่นที่ปรากฏใน อพยพ 14:1, 20:1 เลวีนิติ 4:1 กันดารวิถี 4:1 เฉลยธรรมบัญญัติ 32:48 นอกจากนี้พระเจ้ายังตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะต่าง ๆ ซึ่งได้มีการบันทึกคำพูดเหล่านั้นลงในพระคัมภีร์ด้วยเช่นกัน อย่างใน อิสยาห์ 1:10 - 11, 24 เยเรมีย์ 1:11 เอเศเคียล 1:3 เป็นต้น

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ก็เช่นเดียวกัน คนที่เขียนพระคัมภีร์ส่วนใหญ่ได้พบและรู้จักพระเยซูคริสต์เป็นอย่างดี  เช่น เปาโลได้บอกว่าสิ่งที่เขาเขียนนั้นเป็นคำสั่งของพระเจ้า ( 1 โครินธ์ 14:37) และผู้ที่เชื่อก็ยอมรับถ้อยคำเหล่านั้นว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้า (1 เธสะโลนิกา 2:13) เปโตรก็ได้บอกว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้นเป็นถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า (2 เปโตร 1:21)

นอกจากนี้ยังมีพระคัมภีร์อีกหลายข้อที่ระบุว่าถ้อยคำที่บันทึกลงในพระคัมภีร์นั้นเป็นพระคำของพระเจ้า อย่างไรก็ตามนี่เป็นหลักฐานภายในเท่านั้น คนที่เชื่อทุกคนก็ต้องกล่าวอ้างแบบนี้ แล้วมีหลักฐานอื่น ๆ นอกเหนือจากพระคัมภีร์บ้างไหมที่จะพิสูจน์ให้เราเห็นว่าพระคัมภีร์คือพระคำของพระเจ้าจริง ๆ

2. หลักฐานจากแหล่งอื่น ๆ

 


2.1 ความต่อเนื่องของพระคัมภีร์

จากที่ได้กล่าวมาแล้วว่าพระคัมภีร์ใช้เวลาเขียนถึง 1,500 ปี โดยผู้เขียนมากกว่า 40 คน ซึ่งแต่ละคนอยู่คนละยุค คนละสมัย บางคนเป็นกษัตริย์ บางคนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เป็นชาวประมง บางคนเป็นคนมีความรู้ เป็นหมอ เป็นนักวิชาการ นักศาสนา แม้ว่าผู้เขียนแต่ละคนจะมีฐานะ ชนชั้น และความรู้ที่แตกต่างกัน แต่เนื้อหาตลอดทั้งเล่มต่างสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวอย่างอัศจรรย์

พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม นั้นเริ่มต้นตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลกและจักรวาล สร้างมนุษย์ให้อยู่ในสวนเอเดน มนุษย์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า แต่มนุษย์ได้ทำบาปโดยไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า ทำให้ต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า ผลก็คือมนุษย์ถูกลงโทษฝ่ายร่างกาย คือ ต้องถูกขับออกจากสวนเอเดน ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพเอง และความตายได้ครอบงำมนุษย์ตั้งแต่นั้นมา ส่วนโทษฝ่ายวิญญาณก็คือเมื่อตายไปวิญญาณก็ต้องไปอยู่ในบึงไฟนรก ไม่สามารถอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้า เพราะพระองค์ไม่สามารถอยู่ร่วมกับความบาปได้

แต่เพราะความรักของพระเจ้า พระองค์ไม่ต้องการให้มนุษย์สักคนเดียวต้องตกนรก จึงประทานพระบัญญัติให้มนุษย์ทำตามผ่านทางโมเสส และบอกให้มนุษย์รอคอยพระเมสสิยาห์  (พระผู้ช่วยให้รอด) คือคนที่จะมาปลดปล่อยให้พ้นจากการเป็นทาสของบาป ให้สามารถกลับไปมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าดังเดิมเหมือนในสมัยที่อยู่ในสวนเอเดนนั่นเอง

พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เริ่มต้นตั้งแต่การประสูติของพระเยซู เพราะพระเยซูก็คือพระเมสสิยาห์ หรือคนที่จะมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากบาปตามคำทำนายต่าง ๆ ที่พูดถึงในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม จากนั้นพระเยซูก็เติบโตและเริ่มประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าเมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 30 พรรษา มีคนเชื่อและติดตามพระเยซูมากมาย แต่พระองค์ทรงเลือกสาวก 12 คน และให้ติดตามพระองค์ไปยังที่ต่าง ๆ หลังจากนั้นทรงถูกตรึงบนกางเขนเพื่อไถ่บาปมนุษย์ทั้งปวง เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า เป็นผู้สร้างมนุษย์ ดังนั้นชีวิตของพระองค์แค่คนเดียวก็มีค่ามากพอที่จะช่วยมนุษย์ทุก ๆ คนบนโลกทั้งในอดีตและปัจจุบันได้ เมื่อพระเยซูทรงรับโทษแทนเราทุกคน พระองค์ทรงตาย และกลับมามีชีวิตในวันที่ 3 หลังจากนั้นพระองค์ทรงอยู่บนโลกอีก 40 วัน และเสด็จกลับสวรรค์เพื่อเตรียมที่ไว้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่ด้วยกันกับพระองค์ในวันสุดท้าย จากนั้นพระคัมภีร์พูดถึงการเริ่มต้นของคริสตจักรในยุคแรก และจบลงด้วยคำพยากรณ์ว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกครั้ง เพื่อรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ในอยู่บนสวรรค์ด้วยกันเป็นนิจนิรันดร์

จะเห็นได้ว่าพระคัมภีร์ตลอดเล่นนั้นต่างมีเนื้อหาที่สอดคล้องและเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้ว่าแต่ละคนจะมีสไตล์การเขียนที่ไม่เหมือนกัน ความรู้ก็แตกต่างกัน แถมยังเขียนในช่วงเวลาต่าง ๆ ของประวัติศาสตร์ แต่ไม่มีข้อพระคัมภีร์สักข้อเดียวที่ขัดแย้งกันเลยราวกับว่าเขียนขึ้นด้วยคนเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นแสดงว่าผู้อยู่เบื้องหลังหนังสือเล่มนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพระเจ้า ดังนั้นพระคัมภีร์จึงถือได้ว่าเป็นพระคำของพระเจ้านั่นเอง

2.2 คำพยากรณ์ต่าง ๆ เป็นความจริงทุกข้อ

ศาสตร์ของการทำนายนั้นมีอยู่ทุกยุค ทุกสมัย มีในทุกชาติทุกภาษา แต่เหมือนกับคำพูดที่ว่า “หมอดูคู่กับหมอเดา” เพราะบางครั้งก็ทำนายถูก บางครั้งก็ผิด นั่นเป็นเพราะว่ามนุษย์มีความจำกัด ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้ แต่พระเจ้านั้นแตกต่าง เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนือกาลเวลา พระองค์ทรงเห็นตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุด ดังนั้นการบอกอนาคตจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพระเจ้า นี่จึงเป็นสาเหตุที่ให้คำพยากรณ์ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์เป็นจริงทุกข้อ ถ้าหากสามารถพิสูจน์ได้สักข้อว่าคำทำนายในพระคัมภีร์ข้อหนึ่งข้อใดใม่จริง พระคัมภีร์ของคริสเตียนก็ไม่ควรค่าแก่การเชื่อถือ เพราะไม่ใช่พระคำของพระเจ้า แต่เป็นเพียงแค่คำพูดของมนุษย์ที่คิดเขียนและแต่งขึ้นเท่านั้น แล้วคำพยากรณ์ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์มีอะไรบ้าง?

ในพระคัมภีร์คำพยากรณ์ส่วนใหญ่จะมาในรูปของพระสัญญาของพระเจ้า คือ เป็นการเตือนคนอิสราเอลให้กลับใจจากบาปและจากการไหว้รูปเคารพ มีการพูดถึงบทลงโทษที่จะตามมาหากทำผิด และการอวยพรที่จะมาถึงหากทำตามพระคำของพระเจ้า ดังนั้นคำพยากรณ์ส่วนใหญ่ของผู้เผยพระวจนะก็ได้สำเร็จหลังจากมีการพยากรณ์เพียงไม่นาน นอกจากนี้ยังมีการพยากรณ์ถึงพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดที่จะมาปลดปล่อยคนยิวด้วย

ตัวอย่างคำพยากรณ์ก็เช่นการที่พระเจ้าบอกอับราอัมว่าจะยกดินแดนคานาอันให้ (ปฐมกาล 15:18, ปฐมกาล 17:8) และจะให้อับราฮัมซึ่งมีภรรยาเป็นหมันและอายุมากทั้งคู่มีลูกหลานมากมายเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า เหมือนเม็ดทรายในทะเล  และคำพยากรณ์นี้ก็เป็นจริง เพราะยาโคบซึ่งเป็นหลานของอับราฮัมได้เป็นต้นตระกูลของคนยิว และได้เข้าไปครอบครองแผ่นดินคานาอันในสมัยของโยชูวาและประเทศเป็นปึกแผ่นมั่นคงในสมัยของกษัตริย์ดาวิด

หรือคำพยากรณ์ (พระสัญญา) ว่าพระเจ้าจะให้คนอิสราเอลขับไล่คนชาติต่าง ๆ ที่อาศัยในแผ่นดินคานาอันให้หมดไป (อพยพ 34:10-11) ถ้าเขาเชื่อฟังพระเจ้า แต่สุดท้ายอิสลาเอลก็กบฏ ไปกราบไหว้พระอื่น (ผู้วินิฉัย 3:6) ผลก็คือคนอิสราเอลไม่สามารถขับไล่ชนชาติต่าง ๆ ออกไปได้ทั้งหมดในสมัยที่โยชูวาเป็นผู้นำ (โยชูวา 15:63, ผู้วินิฉัย 1:1) จนกระทั่งในสมัยของกษัตริย์ดาวิดจึงสามารถขับไล่ออกไปได้ทั้งหมด (2 ซามูเอล 5:6-7)

หรือคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเมสิยาห์ที่สำเร็จในสมัยของพระเยซูคริสต์เจ้า เช่น

  • พระเมสิยาห์จะเกิดที่เมืองเบธเลเฮ็ม (มีคาห์ 5:2) มีคาห์มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 8 ก่อน ค.ศ. ได้พยากรณ์เกี่ยวกับการประสูตของพระเยซูคริสต์ ซึ่งคำพยากรณ์นี้ก็ได้สำเร็จใน มัทธิว 2:1-6

  • พระเมสิยาห์เกิดจากหญิงพรหมจารี (อิสยาห์ 7:14, 9:6-7) โดยอิสยาห์เป็นผู้เผยพระวจนะที่มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 8 ก่อน ค.ศ. หรือเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับมีคาห์ และคำพยากรณ์นี้ได้สำเร็จใน มัทธิว 1:20-23

  • พระเมสิยาห์เกิดจากหญิงพรหมจารี (อิสยาห์ 7:14, 9:6-7) โดยอิสยาห์เป็นผู้เผยพระวจนะที่มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 8 ก่อน ค.ศ. หรือเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับมีคาห์ และคำพยากรณ์นี้ได้สำเร็จใน มัทธิว 1:20-23

  • พระเมสิยาห์จะเป็นผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับโมเสส (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15) ซึ่งพระธรรมเล่มนี้ผู้เขียนก็คือโมเสส เขียนขึ้นประมาณ 1,260 ปี ก่อน ค.ศ. และคำพยากรณ์นี้ก็ได้สำเร็จใน ยอห์น 7:40-42

  • พระเมสิยาห์จะถูกทดลองโดยซาตาน (สดุดี 91:10-12) เป็นการยากที่จะระบุว่าใครเป็นคนเขียนพระคำตอนนี้ แต่หนังสือสดุดีได้เริ่มมีการรวบรวมตั้งแต่สมัยการเนรเทศของคนอิสราเอลและเสร็จสมบูรณ์ในศตวรรษที่ 2 ก่อน ค.ศ. และคำพยากรณ์นี้ได้สำเร็จเมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร และถูกมารผจญ ใน มัทธิว 4:5-7

  • พระเมสิยาห์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต (เศคาริยาห์ 9:9) ส่วนแรกของหนังสือเศคาริยาห์เขียนขึ้นประมาณ 520 ปีก่อน ค.ศ. และคำพยากรณ์นี้ได้สำเร็จใน มัทธิว 21:8-11, ลูกา 19:35-37, ยอห์น 12:12-15

  • พระเมสิยาห์จะถูกปฏิเสธโดยประชาชนของพระองค์ (อิสยาห์ 53:1-3) และพระคัมภีร์ตอนนี้ได้สำเร็จใน ยอห์น 1:10-11, ยอห์น 12:37-38, มัทธิว 26:3-4

  • พระเมสิยาห์จะถูกทรยศโดยหนึ่งในผู้ที่ติดตามพระองค์ (สดุดี 41:9, สดุดี 55:12-13) สดุดีทั้ง 2 บทนี้เขียนโดยกษัตริย์ดาวิด โดยคำพยากรณ์นี้ได้สำเร็จใน มัทธิว 26:47 - 50, ลูกา 22:21-22, 47, ยอห์น 13:18, 21, 26

  • พระเมสิยาห์จะถูกทรยศด้วยเงิน 30 แผ่น (เศคาริยาห์ 11:12-13) คำพยากรณ์นี้สำเร็จใน มัทธิว 26:14-16, 27:3-4

  • พระเมสิยาห์จะถูกตรึงกางเขน (สดุดี 22:14-16, เศคาริยาห์ 12:10) การตรึงกางเขนเป็นการลงโทษของพวกโรมัน แต่ในสดุดีบทที่ 22 ซึ่งเขียนโดยกษัตริย์ดาวิดได้บอกว่า “พวกเขาแทงมือแทงเท้าข้าพระองค์” ซึ่งเล็งถึงการตอกตระปูตรึงบนกางเขนนั้น คำพยากรณ์นี้สำเร็จใน มัทธิว 27:31, มาระโก 15:20, ยอห์น 19:15-16

  • พระเมสิยาห์เป็นขึ้นจากความตาย (สดุดี 16:10, 30:3) พระคำสดุดีทั้ง 2 ตอนนี้เขียนขึ้นโดยกษัตริย์ดาวิด และได้สำเร็จตามคำพยากรณ์ใน มัทธิว 28:5-7, มาระโก 16:6-7 , กิจการ 2:27-31 และใน 1 โครินธ์ 15:17, 20

จะเห็นว่าคำพยากรณ์หลาย ๆ คำพยากรณ์นั้นได้สำเร็จลงแล้ว แต่ก็มีอีกหลายคำพยากรณ์ที่ยังไม่สำเร็จ โดยเฉพาะคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ที่มีการพยากรณ์ถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ ซึ่งหลายๆคำพยากรณ์ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เช่นคำพยากรณ์ที่บอกว่าในยุคสุดท้ายจะมีคำสอนเทียมเท็จ ซี่งเราก็เห็นลัทธิและศาสนามากมายในยุคปัจจุบันที่นำให้คนหลงผิดไป หรือคำพยากรณ์ที่ว่าจะเกิดสงครามตามที่ต่าง ๆ หรือแผ่นดินไหว น้ำท่วม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้วตามที่ต่าง ๆ  ทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยด้วยเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้พระคัมภีร์บอกว่าเป็นเหมือนสัญญาณเตือนให้เราทราบว่าใกล้จะถึงวันที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาครั้งที่สอง และรับผู้เชื่อทุกคนไปอยู่กับพระองค์บนสวรรค์ ในขณะเดียวกันก็จะพิพากษาผู้ที่กระทำผิดด้วย และโทษก็คือต้องตกนรกชั่วนิจนิรันดร์

3. หลักฐานจากคนที่เชื่อพระเจ้า

 

 

เราจะเห็นว่ามีผู้เชื่อจำนวนมากยอมตายเพื่อความเชื่อมากกว่าที่จะปฏิเสธตนว่าเป็นคริสเตียน เราเห็นคริสเตียนจำนวนมากมายต้องสละชีวิตของตนเองลงเพราะเชื่อในพระเยซู ผู้เชื่อเหล่านี้รวมไปถึงสาวกของพระเยซูและอีกหลายๆคนที่เป็นผู้เขียนพระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ เช่น เปโตร ที่ตายโดยถูกตรึงกางเขนตาเอาหัวลง หรือเปาโลที่ถูกตัดสินประหารชีวิต ถ้าสิ่งที่เขาเชื่อไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าหากสิ่งที่เขาเขียนเป็นเรื่องลวงโลก คงไม่มีนักเขียนคนไหนที่ยอมตายเพื่อสิ่งโกหกที่ตนเองเขียนขึ้นอย่างแน่นอน นี่จึงเป็นหลักฐานอีกชิ้นที่สำคัญมากว่าพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นพระคำพระเจ้าจริง ๆ

และจากหลักฐานต่าง ๆ ทั้งจากข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิล จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่สำเร็จตามคำพยากรณ์ หรือจากชีวิตของผู้ที่เชื่อในพระเยซู ทำให้เราสามารถสรุปได้ว่าพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นพระคำของพระเจ้าอย่างแท้จริง  ดังนั้นสิ่งที่น่าคิดคือ ถ้าพระเจ้าบอกถึงพระประสงค์ของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์ทุกคนผ่านทางพระคัมภีร์ไบเบิลแล้ว เราจะตอบสนองต่อพระคำพระเจ้าอย่างไร

คลิปวีดีโอเกี่ยวกับพระคัมภีร์

 

 

เพื่อความเข้าใจมากขึ้น อยากให้ลองดูวีดีโอ "พระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าจริงหรือ" ซึ่งจะมีทั้งหมด 5 ตอน ดังนี้

พระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าจริงหรือตอนที่ 1


ที่มา : cbnsiam https://www.youtube.com/watch?v=SkM5U0VTNns

 

พระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าจริงหรือตอนที่ 2


ที่มา : cbnsiam https://www.youtube.com/watch?v=dRzL-bJa69s&t=2s

 

พระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าจริงหรือตอนที่ 3


ที่มา : cbnsiam https://www.youtube.com/watch?v=2U33j3BGPLQ

 

พระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าจริงหรือตอนที่ 4


ที่มา : cbnsiam https://www.youtube.com/watch?v=yXuy3LdZdmI&t=21s

 

พระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าจริงหรือตอนที่ 5


ที่มา : cbnsiam https://www.youtube.com/watch?v=qYP7v8l_ngE

ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com