เว็บสยามคริสเตียน > เป็นคริสเตียนได้ยังไง
เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์
หลาย ๆ คนมักคิดว่าการเป็นคริสเตียนก็คือการที่เราต้องเปลี่ยนศาสนา ต้องเปลี่ยนจากการเข้าวัดมาเข้าโบสถ์ ห้ามไปเที่ยวกลางคืน ห้ามทำโน่นนี่นั่นหลาย ๆ อย่าง สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเปลือกนอกที่เราเห็นเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วการเป็นคริสเตียนก็คือการที่เรากลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับมามีความสัมพันธ์หรือมีการพูดคุยกับพระองค์ การเริ่มต้นเป็นคริสเตียนสามารถทำได้ดังนี้
ขั้นตอนแรกของการเริ่มต้นเป็นคริสเตียนก็คือเราต้องซ่อมความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าเสียก่อน เดิมพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้รู้จักพระองค์และพูดคุยกับพระองค์ แต่เพราะความบาป ทำให้เราค่อย ๆ ออกห่างจากพระเจ้า จนกระทั่งไม่รู้จักพระองค์ เราจะกลับมาคืนดีกับพระองค์ได้ก็โดย
1. ยอมรับว่าเราเป็นคนบาป
ในภาษาฮิบรูและภาษากรีกแปลความหมายของความบาปได้ 2 อย่าง คือ
1.1 การล่วงละเมิด
เหมือนกับการเล่นเกมที่มีการตีเส้นเป็นกรอบเอาไว้ ผู้เล่นต้องอยู่ภายในกรอบ ถ้าออกนอกกรอบเมื่อไรถือว่าผิด การละเมิดก็เช่นเดียวกัน หากเราละเมิดสิ่งที่กำหนดไว้ ถือว่า “บาป”
1.2 การพลาดเป้าหมาย
เหมือนกับการสอบ ถ้าคะแนนเต็ม 100 เกณฑ์คือต้องได้ 50 ถือว่าผ่าน ถ้าเราได้ 49 ก็ถือว่าสอบตก คนที่ได้ 5 คะแนน กับได้ 49 คะแนน ก็มีค่าเท่ากัน คือสอบตกหรือพลาดเป้าหมายนั่นเอง เช่นเดียวกัน ถ้าเราประพฤติตนได้ไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ ก็ถือว่า “บาป”
พระคัมภีร์ไบเบิลจะให้คำนิยามถึงขอบเขตและเป้าหมายในการดำเนินชีวิตที่พระเจ้าให้กับเรา ซึ่งการไม่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ (1 ยอห์น 3:4) หรือการอธรรมต่าง ๆ ที่เราทำ (1 ยอห์น 5:17) ก็ถือว่าเราได้ละเมิดและพลาดเป้าหมาย หรือเรียกได้ว่าไปไม่ถึงมาตรฐานที่พระเจ้าวางไว้ ซึ่งก็คือทำบาปนั่นเอง
อย่างไรก็ตามพระเยซูได้อธิบายความหมายของคำว่า “บาป” เพิ่มขึ้นว่า ความบาปไม่ใช่แค่การกระทำหรือไม่กระทำเท่านั้น แต่รวมไปถึงการคิดไม่ดีต่าง ๆ ด้วย (มัทธิว 5:21-22) แค่เราคิดไม่ดีก็ถือว่าบาปแล้ว และบาปเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าพลาดเป้าหมาย ไปไม่ถึงมาตรฐานที่พระเจ้ากำหนด นี่จึงเป็นสาเหตุที่พระธรรมโรม 3:23 บอกว่า "เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า"
2. เราต้องเข้าใจว่าโทษของการทำบาปก็คือความตาย
เมื่อเราทำผิดกฎหมาย เราก็ต้องถูกลงโทษ การทำบาปก็เช่นเดียวกัน โทษของบาปก็คือความตายฝ่ายวิญญาณ หรือการถูกตัดขาดจากพระเจ้า และเมื่อจากโลกนี้ไป เราต้องไปอยู่ในนรกเป็นนิจนิรันดร์ ในโรม 6:23 บอกเราว่า "เพราะว่าค่าจ้างของบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา"
3. ยอมรับของขวัญจากพระเจ้า
พระเจ้าทรงรู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถหลุดพ้นจากบาปกรรมได้ จึงประทานของขวัญอันล้ำค่าให้กับมนุษย์ทุกคน นั่นก็คือทรงส่งพระเยซูพระบุตรองค์เดียวลงมาตายเพื่อไถ่บาปเรา (โรม 5:8) ปกติการไถ่จะใช้เมื่อเราขาดอิสระภาพ เช่นถูกขโมยลักพาตัว หรือเมื่อตกเป็นทาส มนุษย์ทุกคนตกเป็นทาสบาป ไม่มีใครสักคนเดียวที่ไม่ทำบาป หน้าที่ของเราเพื่อหลุดพ้นจากบาปนั้นง่ายมาก ก็คือยอมรับของขวัญจากพระเจ้า ซึ่งก็คือยอมรับพระเยซูเข้ามาในใจ ให้พระองค์เป็นพระเจ้าและเป็นผู้นำชีวิตเรา จริง ๆ แล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะรอดพ้นจากการถูกลงโทษในบึงไฟนรก เพราะเราทุกคนเป็นทาสของบาป เราไม่สามารถช่วยตัวเองได้ แต่พระเยซูทรงมีฤทธิ์อำนาจ พระองค์ทรงทำส่วนที่ยากนั้นเพื่อเราแล้ว หน้าที่ของเราจึงง่ายมาก เพียงแค่ยอมรับของขวัญจากพระองค์ เหมือนกับนักโทษที่ได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้าอยู่หัว หน้าที่ของนักโทษนั้นง่าย ๆ เช่นกัน ก็แค่เพียงยอมรับการอภัยโทษ และก็สามารถออกจากคุกได้ ถ้าเราไม่ยอมรับการอภัยโทษ ก็ไม่มีใครสามารถบังคับเราได้ เพราะนี่คือการตัดสินใจของเรา เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงยื่นของขวัญแห่งการอภัยโทษบาปให้กับเราแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร เราสามารถรับของขวัญจากพระเจ้าได้โดยการอธิษฐานต้อนรับพระเยซูเข้ามาในใจตามคำอธิษฐาน ดังนี้
"ข้าแต่พระเยซู ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์เป็นคนบาป ข้าพระองค์ขอยอมรับด้วยปากว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และเชื่อในจิตใจว่าทรงเป็นขึ้นจากตายแล้ว วันนี้ข้าพระองค์ขอเปิดประตูใจ ขอเชิญพระองค์เข้ามาในใจ ขอโปรดยกโทษความบาปผิดของข้าพระองค์ที่ได้กระทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งในที่ลับ และในที่แจ้ง ขอพระองค์ทรงยกโทษ และขอขอบพระคุณสำหรับความรักของพระองค์ที่มีต่อข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขออธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน"
เมื่อเราอธิษฐานข้างต้น ให้เรามั่นใจว่าพระเยซูได้เข้ามาอยู่ในใจของเราแล้ว และใน ฮิบรู 13:5 พระองค์ทรงสัญญาว่าจะไม่ละหรือทอดทิ้งเราเลย นอกจากนี้เรายังได้สิทธิในการเป็นบุตรของพระเจ้าอีกด้วย (ยอห์น 1:12)
เมื่อเรารู้จักพระเจ้าแล้ว ขั้นต่อไปก็คือการทำตามสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ นั่นก็คือให้เรารักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้านของเรา รวมทั้งทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ด้วย
1. ทำตามกฎของพระเยซู
เราต้องเชื่อฟังและดำเนินชีวิตตามที่พระเยซูได้บอกเอาไว้ ซึ่งก็เหมือนคริสเตียนคนอื่น ๆ ที่เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้วพบว่าชีวิตเดิมไม่สอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์ทรงสอน ดังนั้นจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่าง เพื่อให้ชีวิตเราเป็นเหมือนกับพระเยซูมากยิ่งขึ้น เหมือนกับที่บอกไว้ใน 2 โครินธ์ 5:17 ว่า “ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”
นั่นคือเราต้องหยุดพฤติกรรมที่ไม่ดีทั้งหลาย เช่น ความโลภ ความโกรธ ความเห็นแก่ตัว และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ให้แทนที่ด้วยความรัก ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตา ความอดทน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถทำได้ภายในชั่วข้ามคืน แต่เป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินไปตลอดชีวิตที่เหลือของเรา และพระเยซูทรงสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างเราตลอดเส้นทางนั้น พระองค์จะทรงตรัสถึงเราผ่านทางพระคัมภีร์ ฟังเราเมื่อเราอธิษฐาน ทรงประทานกำลังให้เราที่จะสามารถดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ และพระเจ้ายังประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้คอยช่วยเหลือเราอีกด้วย
2.พูดคุยกับพระเจ้า
ยิ่งเราพูดคุยกับพระเจ้ามากเท่าไร เราก็จะยิ่งรู้จักพระองค์มากขึ้นเท่านั้น เราจะรู้ว่าพระองค์ทรงชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และอยากให้เราทำอะไร เราพูดกับพระเจ้าก็โดยการอธิษฐาน เราสามารถอธิษฐานกับพระเจ้าได้ตลอดเวลา และทำได้ทุกที่ทุกแห่ง สามารถอธิษฐานโดยการออกเสียงหรืออธิษฐานในใจก็ได้ ใน 1 ยอห์น 5:14 – 15 บอกว่าพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานและตอบคำอธิษฐานของเรา หน้าที่ของเราก็แค่เพียงอธิษฐานกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ การอธิษฐานไม่จำเป็นต้องเป็นการขอเท่านั้น เป็นการพูดคุยกับพระองค์เหมือนกับการที่เราคุยกับเพื่อนก็ได้ เพราะพระเยซูทรงเป็นเพื่อนแท้ของเรา ใน ยอห์น 15:15 พระเยซูบอกว่าจะไม่เรียกเราว่าบ่าวอีกต่อไป แต่จะเรียกเราว่ามิตรสหาย จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีกที่พระเจ้าผู้สร้างโลกเรียกเราว่ามิตรสหาย
พระเจ้าทรงพูดกับเราโดยผ่านทางพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า หน้าที่เราก็คือต้องอ่านพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้รู้ว่าพระเจ้าต้องการตรัสอะไรถึงเรา ต้องการให้เราทำอะไร ไม่ทำอะไร ยิ่งเราพูดคุยกับพระเจ้ามากเท่าไร เราก็ยิ่งสนิทกับพระองค์มากเท่านั้น และหลังจากนั้นชีวิตเราก็จะเปลี่ยนไปโดยจะมีลักษณะเหมือนกับพระองค์มากขึ้น เพราะยิ่งเราอยู่ใกล้ใคร เราก็จะมีนิสัยเหมือนคนนั้น ลูกที่ใกล้ชิดพ่อแม่ก็จะติดบุคลิกลักษณะของพ่อแม่ เช่นเดียวกัน ถ้าเราใกล้ชิดพระเจ้า เราก็จะมีบุคลิกลักษณะแบบพระเจ้าอยู่ในตัวเรา
3. มีความสัมพันธ์กับคนของพระเจ้า
ในชีวิตคริสเตียน เราต้องการการหนุนใจ การให้กำลังใจ การช่วยเหลือจากพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน เพื่อให้เราเรียนรู้และเติบโตขึ้นในทางของพระเจ้า พระคัมภีร์เปรียบเทียบการเริ่มรู้จักพระเจ้าเหมือนกับทารก เราต้องการน้ำนมฝ่ายวิญญาณ ก็คือพระวจนะของพระเจ้า ยิ่งรู้จักพระเจ้านานเท่าไร เราก็ควรจะเติบโตขึ้นจากทารก เป็นเด็ก จนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ และนี่จึงเป็นสาเหตุที่เราต้องการซึ่งกันและกัน เราต้องการเพื่อนคริสเตียนที่ช่วยให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีตามแบบที่พระเจ้าต้องการ และทางที่ดีที่สุดที่ช่วยให้เราเติบโตก็คือการไปโบสถ์เป็นประจำ เพราะจะช่วยให้เราได้รู้จักและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น นอกจากนี้ยังจะได้รู้จักพี่น้องคริสเตียนอีกด้วย
4. บอกคนอื่นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า
ยิ่งเรารู้ว่าพระเจ้าทรงทำกิจอะไรในชีวิตเรามากเท่าไร เราก็ยิ่งอยากบอกคนรอบข้างถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงชีวิตและอุปนิสัยของเราในทางที่ดีขึ้นจนคนรอบข้างสังเกตได้ และพระองค์ก็ได้ให้สิทธิพิเศษนี้แก่เราที่จะแบ่งปันพระคุณความรักของพระเจ้าให้กับคนอื่น ๆ ที่เราพบเจอ
การจะเป็นคริสเตียนนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแค่ตัดสินใจกลับมาหาพระเจ้าและเริ่มต้นที่จะมีความสัมพันธ์กับพระองค์ เมื่อเรารู้จักพระเจ้า พระองค์จะทรงตัด แต่ง เติม ชีวิตของเราให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ใน เยเรมีย์ 29:11-13 บอกว่า แผนการของพระเจ้าก็เพื่อสวัสดิภาพ ไม่ได้เพื่อทำร้ายเรา ดังนั้นเมื่อเราติดตามพระเจ้า ให้เรามั่นใจได้ว่าพระองค์จะทรงนำเราในทุกย่างก้าว และอยู่เคียงข้างเราเสมอ
"ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้น ก็รอดโดยพระคุณ เพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้" ( เอเฟซัส 2 : 8,9 )
เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com