พระเจ้ามีจริงหรือ โลกที่เราอยู่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญหรือมีผู้สร้าง
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> บทความคริสเตียน > เผยอนาคต เส้นทางชีวิตมนุษย์และอวสานของโลกใบนี้ หน้า 3

หน้า 1 | หน้า 2 | หน้า 3 | หน้า 4 | หน้า 5 | หน้า 6 | หน้า 7 | หน้า 8

เผยอนาคต เส้นทางชีวิตมนุษย์และอวสานของโลกใบนี้ - หน้า 3

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

3. ได้พบพระเยซูในฟ้าอากาศ (Rapture)

“พี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านขาดความเข้าใจเรื่องคนที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้า อย่างคนอื่นๆ ที่ไม่มีความหวัง เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้นมากับพระองค์ ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราขอบอกพวกท่านข้อนี้ว่า เราที่ยังมีชีวิตอยู่และคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่ล่วงหน้าไปก่อนพวกที่ล่วงหลับไปแล้ว คือว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยเสียงเรียกของหัวหน้าทูตสวรรค์และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และทุกคนที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นพระเจ้าจะทรงรับพวกเราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ เพราะฉะนั้น จงหนุนใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด” 1 เธสะโลนิการ 4:13 – 18

การเสด็จมาของพระเยซูในครั้งนี้พระองค์ไม่ได้ลงมายังโลก แต่ทรงอยู่บนท้องฟ้า นี่ยังไม่ใช่การเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ถ้าเราดูในพระธรรม ยอห์น 14:3 ที่บอกว่า “เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านจะได้อยู่ที่นั่นด้วย” พระเยซูบอกว่าเราจะได้อยู่ในที่ที่พระองค์ทรงอยู่ นั่นก็คือสวรรค์นั่นเอง พระเยซูจะมารับเราไปอยู่กับพระองค์บนสวรรค์ เพราะตอนนี้พระเยซูทรงประทับอยู่เบื้องขวาพระบิดา (1 เปโตร 3:22) อันนี้เป็นคนละเหตุการณ์กับการเสด็จมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูที่พระองค์เสด็จมายังโลกนี้พร้อมกับผู้เชื่อเพื่อที่จะปกครองโลก (วิวรณ์ 19:11 – 16) การมาใน "ตอนแรก" พระองค์มาบนท้องฟ้าเพื่อรับผู้เชื่อไปกับพระองค์ ไปอยู่ในที่ ๆ พระองค์ทรงอยู่ (Rapture) แต่การมา "ครั้งที่สอง" คือมาพร้อมกับคริสตจักรของพระองค์เพื่อมาตั้งแผ่นดินของพระองค์บนโลกนี้

เผยอนาคต เส้นทางชีวิตมนุษย์และอวสานของโลกใบนี้

ที่มา : https://www.freebibleimages.org/

การมารับผู้เชื่อไปพบกับพระองค์บนท้องฟ้านี้ (Rapture) เป็นการมารับเจ้าสาวของพระองค์ เป็นการมาเพื่อคริสตจักรของพระองค์ พระองค์ไม่ได้มารับเฉพาะคนที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่มารับผู้เชื่อที่ตายไปก่อนหน้านี้ด้วย (ซึ่งตอนนี้อยู่ใน “แดนคนตาย” ฝั่งสุขสบาย) โดยคนเหล่านั้นจะเป็นขึ้นมาก่อนและได้รับร่างกายใหม่ (1 เธสะโลนิการ 4:16) ส่วนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะถูกรับขึ้นไปพบกับพระองค์บนท้องฟ้าและได้รับร่างกายใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น เหมือนที่บอกไว้ใน 1 โครินธ์ 15:51 – 52 ว่า “นี่แน่ะ ข้าพเจ้ามีความล้ำลึกที่จะบอกกับพวกท่าน คือเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่จะถูกเปลี่ยนใหม่ทุกคน ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีการเป่าแตร และพวกที่ตายแล้วจะถูกทำให้เป็นขึ้นโดยปราศจากความเสื่อมสลาย แล้วเราจะถูกเปลี่ยนใหม่”

แล้วพระเยซูจะมารับเรา (Rapture) เมื่อไร?

มี 3 แนวทางที่เชื่อกัน ก็คือ

- พระเยซูจะมารับก่อนเกิดกลียุค หรือที่เรียกว่า Pre-Tribulation Rapture

แนวคิดนี้เชื่อว่าผู้เชื่อจะไม่ต้องถูกพระพิโรธของพระเจ้า ดังนั้นพระเยซูน่าจะมารับก่อนที่จะเข้าสู่กลียุค 7 ปี

- พระเยซูจะมารับหลังจากกลียุคผ่านไป 3.5 ปี หรือที่เรียกว่า Mid -Tribulation Rapture

แนวคิดนี้เชื่อว่าช่วงครึ่งแรกของกลียุคนั้นก็มีภัยพิบัติคล้าย ๆ กับที่เราเจอในปัจจุบัน แต่ช่วง 3.5 ปี หลังของกลียุคจะมีภัยพิบัติที่มากกว่าปกติ ซึ่งเราเรียกช่วงนั้นว่า “มหากลียุค” เป็นช่วงเวลาที่พระพิโรธของพระเจ้าเทลงมาอย่างเต็มที่ ดังนั้นพระเยซูจะมารับก่อนที่จะเกิด “มหากลียุค” นี้ เพื่อที่ผู้เชื่อจะไม่ต้องเผชิญกับพระพิโรธของพระเจ้า

- พระเยซูจะมารับหลังจากกลียุค 7 ปี ผ่านไปแล้ว หรือที่เรียกว่า Post -Tribulation Rapture

แนวคิดนี้เชื่อว่าผู้เชื่อต้องเผชิญกับกลียุค 7 ปี เหมือนกับคนที่ไม่เชื่อ เนื่องจากในยอห์น 17:15 – 16 ที่บอกว่า ”ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลก แต่ขอให้ปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย”

อย่างไรก็ตามคริสเตียนส่วนใหญ่เชื่อในแนวคิดของ Pre-Tribulation Rapture คือพระเยซูคริสต์จะกลับมารับผู้เชื่อก่อนจะเกิดกลียุค เนื่องจากเป็นแนวคิดเดียวที่พระเยซูจะมาเมื่อไรก็ได้ ในมัทธิว 24:44 บอกว่า “เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” นั่นคือพระองค์จะเสด็จมาในเวลาที่เราคาดไม่ถึง แต่ในปัจจุบันมีหลาย ๆ คนอ้างว่าพระเยซูจะเสด็จมาในปีนั้นปีนี้ ซึ่งต่างก็ให้เหตุผลจากการตีความคำพยากรณ์ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ คนเหล่านี้ล้วนยืนยันว่าไม่รู้วันเวลาที่แน่นอนว่าจะมาวันไหน กี่โมง แต่การระบุปีก็ยังทำให้พระคัมภีร์เป็นจริงอยู่ เพราะไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จมาวันไหนของปีนั้น

แต่ใน 1 เธสะโลนิกา 5: 1 – 4 กล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย เรื่องวันและเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้น ไม่จำเป็นต้องเขียนบอกให้ท่านรู้ เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน เมื่อเขาพูดกันว่า “สงบสุขและปลอดภัยแล้ว” เมื่อนั้นแหละความพินาศก็จะมาถึงทันที เหมือนกับความเจ็บปวดมาถึงหญิงมีครรภ์ พวกเขาจะหนีก็ไม่พ้น”

และในมัทธิว 24: 36 พระเยซูตรัสว่า “แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลาแม้แต่บรรดาทูตแห่งฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาองค์เดียว”

คำถามคือ เราจะเชื่อคนเหล่านั้นหรือเชื่อคำของพระเยซู? พระเยซูตรัสว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้เรื่องวันและเวลา การระบุเวลาว่าพระเยซูจะเสด็จมาปีไหนหรือช่วงเวลาไหนนั่นก็เท่ากับการประกาศตนเองว่าเป็นพระเจ้านั่นเอง แล้วเราจะยังสนใจฟังคำของคนเหล่านี้อยู่อีกหรือ?

ในมัทธิว 24:14 บอกว่า “ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง” สิ่งที่จะบอกการมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูได้ชัดเจนที่สุดก็คือ “ทุกคนบนโลกได้ยินข่าวประเสริฐ” เรารู้หรือไม่ว่าในปัจจุบันมีคนไม่เคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซูคริสต์กี่คน?

จากสถิติของเว็บ https://joshuaproject.net/ บอกว่า ปัจจุบันโลกเรามีประชากรประมาณ 7,800 ล้านคน มี “กลุ่มคนที่ข่าวประเสริฐเข้าไปไม่ถึง” (วัดจากการมีคริสเตียนในบริเวณนั้นน้อย) ถึง 42% หรือประมาณ 3,300 ล้านคน อย่าง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยก็จัดอยู่ใน “กลุ่มคนที่ข่าวประเสริฐเข้าไปไม่ถึง” ด้วยเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตามการใช้จำนวนคริสเตียนของพื้นที่นั้น ๆ ในการวัดจำนวนคนที่ได้ยินข่าวประเสริฐอาจจะมี “การคลาดเคลื่อนได้” เนื่องจากคนที่นับถือศาสนาอิสลามนั้นรู้จักพระเยซูดี และคิดว่าคริสเตียนมีความเข้าใจผิดเรื่องพระเยซูว่าเป็นพระเจ้าที่ลงมาตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่มนุษย์ อิสลามเชื่อว่าพระเยซูเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นหากเรามองในแง่มุมนี้ ก็เท่ากับว่า “คนอิสลามทุกคนเคยได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว” เพียงแต่เขาเลือกที่จะไม่เชื่อเท่านั้น

ประเทศที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไปไม่ถึงมากที่สุดก็คือ “อินเดีย” จากสถิติบอกว่ามีคนอินเดียถึง 95% ที่จัดอยู่ใน “กลุ่มคนที่ข่าวประเสริฐเข้าไปไม่ถึง” ปัจจุบันอินเดียมีจำนวนประชากรประมาณ 1,400 ล้านคน 80% นับถือศาสนาฮินดู 14% นับถือศาสนาอิสลาม ในขณะที่มีคริสเตียนเพียง 2.3% เท่านั้น คนอินเดียได้ยินข่าวประเสริฐน้อยมาก ขอพระเจ้าช่วยเราที่จะมีส่วนในการนำความรอดไปถึงคนกลุ่มนี้

การเสด็จมารับเราบนท้องฟ้า (Rapture) นี้ เป็นเหตุการณ์เฉพาะคนที่ถูกเลือกเท่านั้น เป็นเรื่องภายในครอบครัวพระคริสต์ คนนอกไม่เกี่ยว สิ่งนี้ขัดกับความเชื่อของหลาย ๆ คนที่เชื่อว่ามีสวรรค์และใคร ๆ ก็ไปกัน แค่ต้องตายก่อนเท่านั้น แต่ความเป็นจริงก็คือ มีแค่คนส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้ไปสวรรค์ คนที่เข้าประตูแคบและเดินทางที่ลำบากเท่านั้นถึงจะรอด

“จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนทั้งหลายที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพราะประตูที่แคบและทางที่ลำบากนั้นนำไปสู่ชีวิต และพวกที่หาพบก็มีน้อย” มัทธิว 7:13-14

ข่าวดีก็คือ “พระเยซูจะกลับมาอีกครั้ง”

ข่าวร้ายก็คือ “พระเยซูจะกลับมาอีกครั้ง” ขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นใคร!!

“พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” ยอห์น 14:6

4.ก - ความชื่นชมยินดีบนสวรรค์

- บัลลังก์ของพระคริสต์

หลังจากที่พระเยซูเสด็จมารับผู้เชื่อทุกคนบนท้องฟ้า เราก็จะไปยังหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า ในโรม 14:10 - 12 บอกว่า “แต่ตัวท่านเล่า ทำไมจึงกล่าวโทษพี่น้องของท่าน? หรือท่านผู้เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง ทำไมท่านจึงดูหมิ่นพี่น้องของท่าน? เพราะว่าเราทุกคนต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสว่า ‘เรามีชีวิตอยู่ตราบใด ทุกคนจะคุกเข่ากราบเรา และทุกลิ้นจะสรรเสริญพระเจ้า’” ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระเจ้า” นี่ไม่ใช่การพิพากษาลงโทษ แต่เป็นการตัดสินเรื่องบำเหน็จจากการรับใช้ของเรา ทุก ๆ สิ่งที่เราทำกำหนดว่าเราจะได้รับรางวัลอะไร หรือว่าเราจะรอดแต่ตัวเปล่าเท่านั้น

“บนรากนั้นถ้าใครจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง การงานของแต่ละคนก็จะปรากฏให้เห็น เพราะวันพิพากษานั้นจะสำแดงให้เห็น คือจะถูกเผยให้เห็นด้วยไฟ และไฟนั้นจะพิสูจน์ว่าการงานของแต่ละคนเป็นอย่างไร ถ้าการงานของใครที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ คนนั้นก็จะได้บำเหน็จ ถ้าการงานของใครถูกเผาไหม้ไป คนนั้นก็จะได้รับความสูญเสีย ส่วนตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ” 1 โครินธ์ 3:12 - 15

เป็นที่น่าสังเกตว่าการพิพากษาเรื่องการรับใช้ของเรานั้น พระเจ้าไม่ได้ดูที่ “ความสำเร็จ” แต่พระเจ้าประทานบำเหน็จตาม “ความสัตย์ซื่อ” ของเรา เพราะเราแต่ละคนมีของประทานแตกต่างกัน พระเจ้าทรงยุติธรรม เพราะหากวัดที่ความสำเร็จ คนที่มีของประทานมากกว่าย่อมได้เปรียบ แต่พระเจ้าวัดที่ความสัตย์ซื่อ จึงไม่มีใครสามารถแย้งเรื่องความยุติธรรมจากพระองค์ได้

เผยอนาคต เส้นทางชีวิตมนุษย์และอวสานของโลกใบนี้

ที่มา : https://www.freebibleimages.org/

ในลูกา 19:11 – 27 เป็นอุปมาเรื่องเงิน 10 มินา เราจะเห็นการพิพากษาโดยยึดความสัตย์ซื่อได้อย่างชัดเจน ในข้อ 17 นายชมทาสคนแรกว่า “ท่านจึงพูดกับเขาว่า ‘ดีมาก เจ้าเป็นทาสที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย เจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด’” ในขณะที่คนที่ไม่สัตย์ซื่อ แม้สิ่งที่เขามีก็ต้องถูกเอาไปจากเขา นี่คือหลักของการพิพากษาในตอนนี้ คนที่ไม่สัตย์ซื่อจะรอด แต่รอดจากไฟนั่นเอง

“เราบอกพวกเจ้าว่า ทุกคนที่มีอยู่แล้วจะได้รับเพิ่มอีก แต่คนที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่เขามีอยู่นั้นก็จะต้องเอาไปจากเขา” ลูกา 19:26

แล้วบำเหน็จของพระเจ้าคืออะไร? รางวัลของพระเจ้าไม่ใช่ให้เรานั่งสบาย ๆ เหมือนคนเกษียณอายุที่ไม่ทำงาน นั่งกินบำเหน็จบำนาญไปวัน ๆ ในลูกา 19:16 – 17 บอกว่า “คนแรกมาบอกว่า ‘ท่านเจ้าข้า เงินหนึ่งมินาของท่านได้กำไรมาอีกสิบมินา’ ท่านจึงพูดกับเขาว่า ‘ดีมาก เจ้าเป็นทาสที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย เจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด’” รางวัลของพระเจ้าก็คือ “ให้ครอบครองเมือง” พระเจ้าให้ความรับผิดชอบที่มากขึ้นสำหรับผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อของพระองค์ พระเจ้าให้เราได้ปกครองร่วมกับพระองค์ ให้เราเป็นเจ้าเมือง เป็นกษัตริย์ เพราะพระองค์ “เป็นพระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย และเป็นองค์เจ้านายเหนือบรรดาเจ้านาย” ( 1 ทิโมธี 6:15)

- งานอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก

แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนอย่างเสียงมหาชน เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย และเหมือนอย่างเสียงฟ้าร้องกึกก้องว่า “ฮาเลลูยา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครองอยู่ คือพระเจ้าของเราผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ขอให้เรายินดีและเปรมปรีดิ์ และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะงานอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกมาถึงแล้ว และเจ้าสาวของพระองค์ก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว และโปรดให้เจ้าสาวสวมใส่ ผ้าป่านเนื้อละเอียด มันระยับและสะอาด เพราะว่าผ้าป่านเนื้อละเอียดนั้นคือการประพฤติอันชอบธรรมของธรรมิกชน” และทูตสวรรค์องค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่า “จงเขียนลงไปว่า ความสุขมีแก่คนทั้งหลายที่ได้รับเชิญมาในงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก” และท่านบอกอีกว่า “ถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำที่สัตย์จริงของพระเจ้า” วิวรณ์ 19:6 - 9

พระเยซูทรงเป็นทั้งพระผู้สร้าง เป็นกษัตริย์ เป็นจอมเจ้านาย ฯลฯ แต่ทำไมในงานแต่งงานนี้พระองค์จึงเป็น “พระเมษโปดก” หรือเป็น “แกะ” ทำไมถึงไม่เป็นกษัตริย์หรือจอมเจ้านายละ? คำตอบที่อาจจะเป็นไปได้ก็คือ เราทุกคนที่เป็นเจ้าสาวของพระคริสต์นั้นตกหลุมรักพระเยซูที่เป็นพระเมษโปดกที่มาเพื่อยกบาปของเรา เราไม่ได้รักพระผู้สร้าง ไม่ได้รักจอมเจ้านาย แต่หลงรักพระเมษโปดกนั่นเอง

งานแต่งงานนี้จัดขึ้นบนสวรรค์ เจ้าบ่าวก็คือพระคริสต์ เจ้าสาวก็คือผู้เชื่อทุกคนที่ถูกรับขึ้นไปพบพระเยซูบนฟ้า (Rapture) ในตอนนี้นั้นบนสวรรค์จะมีงานเลี้ยงฉลองครั้งยิ่งใหญ่ เป็นช่วงเวลาแห่งความชื่นชมยินดี เพราะงานอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกมาถึงแล้ว นี่คือเวลาที่ทุกคนรอคอยมานานแสนนาน

ช่วงเวลาที่เราอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พระคริสต์และร่วมเฉลิมฉลองงานอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกจะกินเวลา 7 ปี เป็นช่วงเวลาแห่งความชื่นชมยินดีบนสวรรค์ และหลังจากครบกำหนดเวลา 7 ปี แล้ว เราก็จะกลับไปยังโลกอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับพระเยซู และนี่คือการเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูนั่นเอง... อ่านต่อ

 

หน้า 1 | หน้า 2 | หน้า 3 | หน้า 4 | หน้า 5 | หน้า 6 | หน้า 7 | หน้า 8


ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com