เว็บสยามคริสเตียน > รู้จักพระเยซู - อายุ 33 ปี เดือนที่ 6 - 7
เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์
(มัทธิว 26:17 – 25, ลูกา 22:7 – 13 , 21 – 23, ยอห์น 13:1, 21 - 30)
ก่อนถึงเทศกาลปัสกา พระเยซูทรงทราบแล้วว่าถึงเวลาที่พระองค์จะต้องจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักคนของพระองค์บนโลกนี้มาก ในวันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ พระเยซูทรงใช้เปโตรกับยอห์นให้ไปเตรียมปัสกา เขาจึงถามพระเยซูว่าจะเตรียมปัสกาที่ไหนดี พระเยซูตรัสว่าให้เข้าไปในเมืองและจะเจอชายคนหนึ่งที่ทูลหม้อน้ำอยู่ คนนั้นจะเข้าไปบ้านไหนก็ให้ตามเขาไป แล้วให้พูดกับเจ้าของบ้านว่า พระอาจารย์ให้ถามท่านว่า “ห้องที่เราจะรับประทานปัสกากับพวกสาวกของเรานั้นอยู่ที่ไหน?” เจ้าของบ้านจะชี้ให้เห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว ที่นั่นแหละจงจัดเตรียมไว้เถิด”
สาวกจึงทำตามและเตรียมปัสกาไว้ให้พร้อม เวลาค่ำขณะรับประทานอาหารกับสาวกสิบสองคน พระเยซูก็บอกว่าหนึ่งในสาวกสิบสองคนจะทรยศพระองค์ พวกสาวกก็เป็นทุกข์และเริ่มถามพระเยซูว่าเป็นตัวเขาหรือเปล่า พระเยซูบอกว่าคนที่เอามือจิ้มลงในขามเดียวกับเรานั่นแหละที่ทรยศเรา บุตรมนุษย์จะต้องเป็นไปตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับท่าน แต่คนที่ทรยศนั้นถ้าไม่ได้เกิดมาก็ยังจะดีกว่า สาวกที่พระองค์ทรงรักเอนกายอยู่ใกล้พระองค์ ซีโมนเปโตรจึงพยักหน้าให้เขาทูลถามว่าคนนั้นเป็นใคร พระองค์จึงบอกว่าคือคนที่จะเอาขนมปังนี้จิ้มและส่งให้ และพระองค์ทรงยื่นให้กับยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท ยูดาสถามพระเยซูว่าคือข้าพระองค์หรือ พระเยซูตอบว่า ถูกแล้ว เมื่อยูดาสกินขนมปังแล้วซาตานก็เข้าไปสิงในตัวเขา พระเยซูตรัสว่าท่านจะทำอะไรก็ให้รีบ ๆ ทำ ไม่มีคนบนโต๊ะอาหารรู้ว่าพระองค์ทรงหมายถึงอะไร เพราะยูดาสถือกระเป๋าเงิน บางคนจึงคิดว่าพระองค์หมายถึงให้ไปซื้อของสำหรับงานเทศกาลหรือให้หาของสำหรับคนจน เพราะหลังจากยูดาสรับขนมปังชิ้นนั้นแล้วก็ออกไปทันที
พระบัญญัติใหม่
เมื่อเขาออกไปแล้วพระเยซูทรงตรัสว่า ตอนนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติแล้ว และพระเจ้าก็ทรงได้รับเกียรติด้วย เราจะอยู่กับท่านอีกหน่อยเดียวเท่านั้น ท่านจะหาเรา เหมือนกับที่เราเคยพูดกับพวกยิวและเราจะพูดกับท่านด้วย คือที่ที่เราจะไปนั้นท่านไปไม่ได้ เราให้บัญญัติใหม่กับพวกท่าน คือจงรักซึ่งกันและกันเหมือนกับที่เรารักท่าน และถ้าท่านรักกันและกัน ทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา
การทรงตั้งพิธีมหาสนิท
(มัทธิว 26:26 – 30, มาระโก 14:22 – 25, ลูกา 22:14 – 20)
พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่าพระองค์อยากจะรับประทานปัสกากับทุกคนก่อนที่จะต้องทนทุกข์ ระหว่างรับประทานอาหารนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา เมื่อขอพระพรแล้วก็หักแบ่งให้สาวกบอกให้รับไปกิน นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา แล้วทรงหยิบถ้วย เมื่อขอบพระคุณแล้วก็ส่งให้สาวกดื่ม บอกว่านี่คือโลหิตของเรา เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาที่ต้องหลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนจำนวนมาก และตรัสอีกว่า เราจะไม่รับประทานปัสกานี้อีกจนกว่าจะสำเร็จตามความหมายของปัสกานั้น คือเราจะดื่มกับพวกท่านอีกในแผ่นดินแห่งพระบิดาของเรา
การทรงล้างเท้าของพวกสาวก
พระองค์ทรงลุกจากการเสวยอาหาร ถอดฉลองพระองค์วางไว้ ทรงเทน้ำใส่อ่างและล้างเท้าของพวกสาวก และเอาผ้าคาดเอวของพระองค์เช็ดเท้านั้น เมื่อมาถึงเปโตร เขาถามพระเยซูว่าจะล้างเท้าของเขาด้วยหรือ พระองค์ตรัสว่าสิ่งที่พระองค์ทำอยู่นี้ตอนนี้ท่านยังไม่เข้าใจ แต่ต่อไปท่านจะเข้าใจเอง แต่เปโตรได้ห้ามพระองค์ไม่ให้ล้างเท้าตน พระเยซูจึงตรัสว่า ถ้าไม่ล้างเท้าท่าน ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้ เปโตรจึงทูลว่าถ้าอย่างนั้นอย่าล้างแต่เท้าเลย ขอล้างมือและศีรษะด้วย พระเยซูตรัสว่าคนที่อาบน้ำแล้วไม่ต้องชำระตัวอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว พวกท่านก็สะอาดแล้วแต่ไม่ใช่ทุกคน ที่ตรัสเช่นนี้เพราะทรงรู้ว่าใครจะทรยศพระองค์ เมื่อล้างเท้าเสร็จก็ทรงฉลองพระองค์และตรัสถามพวกเขาว่าเข้าใจในสิ่งที่พระองค์ทรงทำหรือไม่ ท่านเรียกเราว่าอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านเรียกถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้น ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ล้างเท้าพวกท่าน ท่านก็จงล้างเท้าซึ่งกันและกัน เราได้วางแบบอย่างไว้แล้ว เมื่อท่านทำตามท่านก็จะเป็นสุข และจะต้องเป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า ‘คนที่รับประทานอาหารของเรายกส้นเท้าใส่เรา’ (สดุดี 41:9) เราบอกท่านก่อนที่เรื่องจะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วท่านจะได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น
พระเยซูทรงเป็นทางไปสู่พระบิดา
อย่าวิตกเลย จงวางใจในพระเจ้าและวางใจเรา ที่นิเวศของพระบิดามีที่อยู่มาก เราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลายและจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเรา และท่านรู้จักทางที่เราจะไปนั้น โธมัสถามพระเยซูว่า พวกเราไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน แล้วเราจะรู้จักทางนั้นได้ยังไง พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์” ฟิลิปทูลพระเยซูว่าแค่สำแดงพระบิดาให้พวกเราได้เห็น พวกเราก็พอใจแล้ว พระเยซูตรัสว่า ท่านอยู่กับเรานานขนาดนี้ยังไม่รู้หรือว่าคนที่เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ทำไมถึงพูดว่าขอสำแดงพระบิดาให้เห็น ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา จงเชื่อเราเถิด หรือไม่ก็เชื่อเพราะกิจการต่าง ๆ ที่เราได้ทำนั้น คนที่เชื่อเราก็จะสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ที่เราได้ทำและทำได้ยิ่งใหญ่กว่า เพราะเราจะไปถึงพระบิดาของเรา และสิ่งที่ท่านขอในนามเรา เราก็จะทำสิ่งนั้น เพื่อพระบิดาจะได้รับเกียรติทางพระบุตร
ทรงสัญญาจะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์
ถ้าท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา เราจะทูลขอพระบิดาให้ประทานผู้ช่วยที่จะอยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริง โลกไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ แต่ท่านรู้จัก เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่านและประทับอยู่ในท่าน เราจะมาหาท่านอีก อีกไม่นานโลกจะไม่เห็นเรา แต่ท่านทั้งหลายจะเห็นเรา และในวันนั้นท่านจะรู้ว่าเราอยู่ในพระบิดา และท่านอยู่ในเราและเราอยู่ในท่าน คนที่รักเราคือคนที่ทำตามบัญญัติของเรา เราและพระบิดาจะรักเขาด้วย และจะสำแดงตัวให้เขาเห็น ยูดาสที่ไม่ใช่อิสคาริโอท ถามว่า ทำไมพระองค์ทรงสำแดงพระองค์แก่พวกเรา ไม่ใช่แก่โลก พระองค์ตอบว่า คนที่รักเราและทำตามคำของเรา พระบิดาก็จะรักเขา มาหาเขาและอยู่กับเขา คนที่ไม่รักเราก็จะไม่ทำตามคำของเรา นี่ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นพระวจนะของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา เรากล่าวคำเหล่านี้เมื่อยังอยู่กับพวกท่าน แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาทรงใช้มาในนามของเรา จะสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง เราให้สันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกให้แก่ท่าน อย่าวิตกและอย่ากลัวเลย ท่านได้ยินว่าเราจะจากไปและจะกลับมาหาท่าน ถ้าท่านรักเราก็จงดีใจเถิดที่เราได้กลับไปหาพระบิดา เราบอกเหตุการณ์เหล่านี้ก่อนที่มันจะเกิด เพื่อว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้วท่านจะได้เชื่อ ตั้งแต่นี้ไปเราจะไม่พูดคุยกับท่านนานเช่นนี้อีก เพราะว่าเจ้าโลกจะมา ผู้นั้นไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเหนือเรา แต่เราได้กระทำตามที่พระบิดาได้ทรงบัญชาเรา เพื่อโลกจะได้รู้ว่าเรารักพระบิดา
พระเยซูคือเถาองุ่นแท้
เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาเป็นผู้ดูแลรักษา แขนงทุกแขนงที่ไม่ออกผล พระองค์ทรงตัดทิ้ง แต่แขนงที่ออกผลก็ทรงลิดเพื่อให้เกิดผลมาก ท่านทั้งหลายได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อยคำที่เราได้กล่าวแก่ท่าน จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น ถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย คนที่ไม่เข้าสนิทอยู่ในเราต้องถูกตัดทิ้งเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และถูกเก็บนำไปเผาไฟ ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น
พระบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกันเหมือนดังที่เราได้รักท่าน ถ้าท่านทำตามที่เราสั่ง ท่านก็เป็นเพื่อนเรา ไม่ใช่บ่าว เพราะบ่าวไม่รู้ว่านายทำอะไร แต่ท่านรู้เพราะเราสำแดงทุกสิ่งที่ได้ยินจากพระบิดาแก่ท่าน ท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราเลือกท่านเพื่อให้ไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน สิ่งที่เราสั่งท่านทั้งหลายไว้ก็คือ ท่านจงรักกันและกัน
ความเกลียดชังของโลก
ถ้าโลกนี้เกลียดชังท่าน ก็ให้รู้ว่าโลกได้เกลียดเราก่อน โลกจะรักท่านถ้าท่านเป็นของโลก แต่เพราะเราได้เลือกท่านออกจากโลก โลกจึงเกลียดท่าน มีคำกล่าวไว้ว่า บ่าวมิได้เป็นใหญ่กว่านาย ถ้าเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามคำของเรา เขาก็จะปฏิบัติตามคำของท่านทั้งหลายด้วย ทุกสิ่งที่เขาทำกับท่านก็เพราะนามของเรา ถ้าเราไม่มาสั่งสอนเขา เขาก็คงไม่มีบาป แต่ตอนนี้เขาไม่มีข้อแก้ตัวแล้ว คนที่เกลียดเราก็เกลียดพระบิดาของเราด้วย เดี๋ยวนี้พวกเขาเกลียดเราและพระบิดาของเรา ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เป็นจริงตามที่เขียนไว้ในพระธรรมของเขาที่ว่า เขาได้เกลียดชังเราโดยไม่มีสาเหตุ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา พระองค์จะเป็นพยานให้เรา และท่านทั้งหลายก็จะเป็นพยานด้วย เพราะว่าท่านได้อยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว เราบอกสิ่งเหล่านี้ก่อนเพื่อท่านจะได้ไม่ท้อถอย เขาจะขับท่านออกจากธรรมศาลา และคนที่ฆ่าท่านนั้นคิดว่าเขาได้ทำเพื่อพระเจ้า ที่เขาทำดังนั้นเพราะเขาไม่รู้จักเราและพระบิดา แต่ที่เราบอกสิ่งเหล่านี้ให้ท่านฟังก็เพื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น ท่านจะได้ระลึกว่าเราได้บอกท่านไว้แล้ว
งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์
การที่เราจากไปก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เมื่อเราไปแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาและจะทำให้โลกรู้แจ้งเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา เรื่องความผิดก็คือเพราะเขาไม่วางใจในเรา ในเรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก ในเรื่องการพิพากษานั้น คือ เพราะเจ้าโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว มีหลายสิ่งที่อยากบอกท่าน แต่ตอนนี้พวกท่านรับไว้ไม่ได้ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทำให้เราได้รับเกียรติ เพราะจะทรงสำแดงสิ่งที่เป็นของเราแก่ท่าน ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา
ความเศร้าโศกจะกลายเป็นความชื่นชมยินดี
อีกหน่อยท่านทั้งหลายก็จะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยท่านก็จะเห็นเรา สาวกบางคนพูดคุยกันว่าที่พระองค์ทรงพูดนี้หมายถึงอะไร พระเยซูทรงทราบ จึงตรัสกับเขาว่า ท่านจะร้องไห้และคร่ำครวญ แต่โลกจะชื่นชมยินดี ท่านทั้งหลายจะทุกข์โศก แต่ความทุกข์โศกของท่านจะกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี ผู้หญิงก่อนคลอดลูกจะมีแต่ความทุกข์ เมื่อคลอดบุตรแล้วก็จะไม่คิดถึงความเจ็บปวดนั้น แต่จะมีแต่ความยินดีที่มีคนหนึ่งเกิดมาในโลก เช่นกัน ขณะนี้ท่านทั้งหลายมีความทุกข์ แต่เราจะมาหาท่านอีก ซึ่งทำให้ท่านชื่นชมยินดี ในวันนั้นท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามเรา พระองค์ก็จะให้ แม้จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม
“เราได้ชนะโลกแล้ว”
เราพูดเรื่องนี้กับท่านโดยใช้เรื่องเปรียบเทียบ เมื่อวันนั้นมาถึงเราจะไม่พูดเป็นเรื่องเปรียบเทียบอีก แต่จะบอกเรื่องพระบิดาอย่างชัดเจน วันนั้นท่านจะทูลขอในนามเรา และเราจะไม่บอกท่านว่าเราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักพวกท่าน พวกสาวกทูลว่า พวกตนรู้แล้วว่าพระองค์ทรงทราบทุกสิ่งและเชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า พระเยซูถามกลับไปว่า ตอนนี้ท่านเชื่อแล้วหรือ? เวลานั้นได้มาถึงแล้ว คือพวกท่านจะกระจัดกระจายไปและทิ้งเราไว้อยู่คนเดียว แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะพระบิดาสถิตอยู่กับเรา เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว
การโต้เถียงกันเรื่องใครเป็นใหญ่
พวกสาวกโต้เถียงกันว่าใครเป็นใหญ่ที่สุด พระเยซูจึงตรัสว่า ปกติพวกที่เป็นใหญ่คือกษัตริย์หรือเจ้านาย แต่สำหรับพวกท่าน คนที่เป็นใหญ่จะต้องเป็นเหมือนเด็ก คนที่เป็นนายต้องเหมือนผู้ปรนนิบัติ และเราอยู่ท่ามกลางพวกท่านเหมือนผู้ปรนนิบัติ ไม่ใช่เจ้านาย พวกท่านอยู่กับเราในเวลาที่เราถูกข่มเหง พระบิดามอบอาณาจักรให้เราอย่างไร เราก็จะมอบให้ท่านอย่างนั้น ท่านจะได้กินและดื่มที่โต๊ะของเราและนั่งบัลลังก์พิพากษาอิสราเอลสิบสองเผ่า
ถุงเงิน ย่ามและดาบ
พระเยซูถามพวกสาวกว่า เมื่อเราใช้พวกท่านออกไปโดยไม่มีถุงเงินหรือย่ามหรือรองเท้านั้น ท่านขาดอะไรบ้างไหม? พวกเขาตอบว่าไม่ขาดเลย พระเยซูตรัสว่า ตอนนี้ใครมีถึงเงิน มีย่าม ก็ให้เอาไปด้วย ใครที่ไม่มีดาบให้ขายเสื้อคลุมเพื่อเอาไปซื้อดาบ สิ่งที่เขียนไว้สำหรับเราจะต้องสำเร็จ คือ ท่านถูกนับเข้ากับคนอธรรม พวกเขาตอบพระเยซูว่า มีดาบสองเล่ม พระองค์ตรัสว่า พอแล้ว
พระเยซูอธิษฐานให้พวกศิษย์
หลังจากพูดจบ พระเยซูเงยหน้ามองท้องฟ้าและพูดว่า พระบิดาถึงเวลาแล้วที่จะเผยความยิ่งใหญ่ของพระบุตร เพื่อที่พระบุตรจะได้เปิดเผยความยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ให้สิทธิอำนาจกับลูกเพื่อทุก ๆ คนที่พระองค์ฝากไว้จะมีชีวิตกับพระองค์ตลอดไป คือรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว และข้าพระองค์คือผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา ลูกได้ทำงานที่พระองค์มอบหมายเสร็จหมดแล้ว เพื่อทุกคนจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ตอนนี้ขอให้ลูกได้รับความยิ่งใหญ่กลับมาเหมือนเดิม คือความยิ่งใหญ่ที่ลูกมีร่วมกับพระองค์ก่อนที่จะมีโลกนี้ ลูกได้นำคนในโลกที่พระองค์ฝากไว้มารู้จักกับพระองค์แล้ว คนเหล่านี้เป็นของพระองค์และเขาก็ทำตามคำสั่งสอนของพระองค์ พวกเขาเชื่อว่าลูกมาจากพระองค์จริง และเชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา ลูกได้อธิษฐานให้พวกเขา ลูกจะไม่อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว แต่กำลังจะไปหาพระองค์ ขอโปรดใช้อำนาจที่พระองค์ให้ลูกนั้นคุ้มครองเขาด้วย เพื่อที่พวกเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนกับที่พระองค์และลูกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โลกนี้เกลียดชังพวกเขา เพราะเขาไม่ได้เป็นของโลก ลูกไม่ได้ขอให้เอาเขาออกจากโลก แต่ขอให้เขาพ้นจากมารร้าย คำสอนของพระองค์เป็นความจริง ขอให้คำสอนนี้ทำให้พวกเขาเป็นคนของพระองค์แต่ผู้เดียว ลูกไม่ได้อธิษฐานเผื่อคนพวกนี้เท่านั้น แต่เผื่อคนที่จะเชื่อลูกผ่านทางคำสอนของพวกเขาด้วย ลูกทำให้พวกเขามีเกียรติอันยิ่งใหญ่ เหมือนกับที่พระองค์ได้ทำให้ลูกมีเกียรติ เพื่อว่าพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับที่ลูกกับพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วย ลูกอยากให้พวกเขาอยู่ในที่ที่ลูกอยู่ เพื่อเขาจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ที่พระองค์ให้กับลูก เพราะพระองค์รักลูกก่อนที่พระองค์จะสร้างโลกนี้ ลูกทำให้เขารู้จักพระองค์ และลูกก็จะทำอย่างนี้ต่อไป เพื่อว่าความรักที่พระองค์มีต่อลูกจะอยู่ในตัวพวกเขา และเพื่อว่าลูกก็จะอยู่ในตัวพวกเขาด้วย
การทรงพยากรณ์ถึงเรื่องที่เปโตรจะปฏิเสธ
(มัทธิว 26:31 – 35, มาระโก 14:26 – 31 , ลูกา 22:31 – 34, ยอห์น 13:36 – 38)
เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้ว เขาทั้งหลายก็พากันไปที่ภูเขามะกอกเทศ พระเยซูตรัสว่าคืนนี้พวกท่านทุกคนจะทิ้งเรา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘เราจะประหารผู้เลี้ยงแกะ และแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป’ และหลังจากที่พระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นแล้ว เราจะไปยังแคว้นกาลิลีก่อนพวกท่าน เปโตรทูลว่า แม้ว่าทุกคนจะทิ้งพระองค์ แต่ข้าพระองค์จะไม่มีวันทิ้งพระองค์เลย พระเยซูตรัสว่า ซีโมนเอ๋ย ซาตานขอพวกท่านไว้เพื่อจะฝัดร่อนเหมือนฝัดข้าวสาลี แต่เราอธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด และเมื่อท่านหันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน และคืนนี้ก่อนไก่ขันสองหน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง เปโตรกับเหล่าสาวกทูลพระเยซูว่า แม้ว่าพวกเราจะต้องตายกับพระองค์ พวกเราก็จะไม่มีทางปฏิเสธพระองค์เลย
การทรงอธิษฐานในสวนเกทเสมนี
(มัทธิว 26:36 – 46, มาระโก 14:32 – 42, ลูกา 22:39 – 46)
พระเยซูพาสาวกมาภูเขามะกอกเทศเหมือนเคย เมื่อถึงสวนเกทเสมนีก็ตรัสว่า “จงอธิษฐานเพื่อจะได้ไม่ตกอยู่ในการทดลอง” และบอกให้สาวกนั่งที่นี่ แล้วพระองค์เสด็จออกไประยะเท่าหินขว้างเพื่อไปอธิษฐาน พระองค์ทรงพาเปโตร ยากอบและยอห์นไปด้วย พระองค์ทรงเริ่มโศกเศร้าและทรงทุกข์ใจอย่างยิ่ง ตรัสว่า เราเป็นทุกข์มาก จงนั่งเฝ้ากับเราอยู่ที่นี่เถิด แล้วทรงเดินไปอีกหน่อยหนึ่ง ซบหน้าลงดินและอธิษฐานว่า อับบา (พ่อ) ถ้าเป็นไปได้ขอให้เหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไป แต่อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ (มีทูตองค์หนึ่งจากฟ้าสวรรค์มาปรากฏต่อพระองค์และช่วยชูกำลังพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์ พระองค์ก็ยิ่งทรงอธิษฐานอย่างจริงจัง เหงื่อของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตเม็ดใหญ่ไหลหยดลงถึงดิน - สำเนาโบราณหลายฉบับไม่มีข้อความนี้) แล้วก็กลับมาหาสาวกแต่เห็นพวกเขาหลับอยู่ จึงพูดกับเปโตรว่า เป็นอย่างไรนะ พวกท่านจะเฝ้าระวังอยู่กับเราสักชั่วโมงไม่ได้หรือ? จงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อจะไม่ถูกทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง จากนั้นก็เสด็จไปอธิษฐานเป็นครั้งที่สอง ข้าแต่พระเจ้าถ้าข้าพระองค์ต้องเผชิญกับเหตุการณ์นี้ ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด เมื่อกลับมาเห็นสาวกยังหลับอยู่ จึงเสด็จไปอธิษฐานอีกเป็นครั้งที่สาม ทูลเหมือนคราวก่อน ๆ จากนั้นก็กลับไปหาพวกสาวกและตรัสว่า ใกล้ถึงเวลาที่บุตรมนุษย์ต้องถูกมอบไว้ในมือของคนบาป ลุกขึ้นไปกันเถิด คนที่ทรยศเรามาใกล้แล้ว
การทรยศและการจับกุมพระเยซู
(มัทธิว 26:47 – 56, มาระโก 14:43 – 50 , ลูกา 22:47 – 53, ยอห์น 18:3 – 11)
ยูดาส คนที่ทรยศพระองค์ก็รู้จักสวนแห่งนี้ เพราะว่าพระเยซูและพวกศิษย์ของพระองค์มาพบกันที่นี่บ่อย ๆ พระเยซูตรัสยังไม่ทันขาดคำ ยูดาสหนึ่งในสาวกสิบสองคนก็นำคนกลุ่มใหญ่ที่มาจากหัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ พวกผู้ใหญ่ของประชาชนและทหารโรมันส่วนหนึ่ง พวกเขาถือตะเกียง คบไฟ ดาบและไม่ตะบองมา โดยบอกพวกเขาว่าถ้าเราจูบคำนับใครก็ให้จับคนนั้น พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์จึงออกไปถามว่าพวกท่านมาหาใคร เขาตอบว่ามาหาเยซูชาวนาซาเร็ท พระเยซูตรัสว่าเราเป็นผู้นั้น จากนั้นพวกกลุ่มคนเหล่านั้นก็ถอยหลังและล้มลงที่ดิน
พระเยซูตรัสถามอีกว่า ท่านมาหาใคร เขาทูลตอบว่า “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกท่านแล้วว่าเราเป็นผู้นั้น ถ้าท่านตามหาเราก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด” ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามพระดำรัสที่พระองค์ตรัสว่า “คนเหล่านั้นซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไม่ได้เสียไปสักคนเดียว” จากนั้นยูดาสก็ตรงมาหาพระเยซู สวัสดีและจูบพระองค์ พระเยซูตรัสว่า เพื่อนเอ๋ย ท่านจะมอบบุตรมนุษย์ด้วยการจูบหรือ จงทำตามที่ท่านตั้งใจเถิด แล้วพวกเขาก็เข้ามาจับกุมพระเยซู พวกสาวกทูลพระเยซูว่าจะให้พวกเขาเอาดาบสู้ไหม แล้วเปโตรก็ชักดาบออกมาฟันหูข้างขวาบ่าวของมหาปุโรหิตขาด ทาสคนนั้นชื่อมัลคัส พระเยซูจึงสั่งให้เก็บดาบ เพราะคนที่ใช้ดาบต้องพินาศเพราะดาบ จากนั้นพระเยซูทรงแตะต้องหูของชายคนนั้นและรักษาให้หาย และตรัสว่า ถ้าพระองค์ขอพระบิดาก็จะมีทูตสวรรค์มากกว่าสิบสองกองพลมาในทันที แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็จะไม่สำเร็จตามข้อพระคัมภีร์ที่ได้กล่าวไว้ เราจะไม่ดื่มถ้วยที่พระบิดาประทานแก่เราหรือ? และทรงตรัสกับกลุ่มชนว่า เห็นเราเป็นโจรหรือ จึงได้ถือดาบกับตะบองมาจับเรา เรานั่งสั่งสอนในวิหารทุกวันแต่ท่านก็ไม่ได้จับเรา นี่เป็นเวลาของพวกท่านและเป็นอำนาจของความมืด ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ก็เพื่อจะได้สำเร็จตามที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ แล้วสาวกทั้งหมดก็พากันทิ้งพระองค์และหนีไป
ชายหนุ่มคนที่หนีไป
มีชายคนหนึ่งนุ่งผ้าป่านแค่ผืนเดียวตามพระองค์ไป คนเหล่านั้นก็จับชายคนนั้น แต่เขาสลัดผ้าป่านออกและเปลือยกายหนีไป
พระเยซูทรงอยู่ต่อหน้ามหาปุโรหิต
พวกทหารและเจ้าหน้าที่ยิวจับพระเยซูมัดไว้และพาไปหาอันนาสพ่อตาของคายาฟาสซึ่งเป็นมหาปุโรหิตในปีนั้น คายาฟาสคนนี้แหละที่แนะนำพวกยิวว่า ควรให้คนหนึ่งตายแทนประชาชน จากนั้นอันนาสจึงให้พาพระเยซูซึ่งถูกมัดอยู่ไปหาคายาฟาสมหาปุโรหิต
พระเยซูทรงอยู่ต่อหน้าสภายิว
(มัทธิว 26:57 – 58, มาระโก 14:53 – 54)
พวกเขาจับพระเยซูไปยังบ้านของคายาฟาสมหาปุโรหิตซึ่งบรรดาหัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่กำลังประชุมกันอยู่ เปโตรตามไปห่าง ๆ และเข้าไปนั่งผิงไฟในลานบ้านกับบรรดาพวกคนใช้และทหารยาม เพื่อคอยดูว่าเรื่องจะจบลงยังไง
เปโตรปฏิเสธพระเยซู
(มัทธิว 26:69 – 75, มาระโก 14:66 – 72, ลูกา 22:54 – 62, ยอห์น 18:15 – 18)
ซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งติดตามพระเยซูไป แต่เพราะสาวกคนนั้นรู้จักกับมหาปุโรหิต เขาจึงเข้าไปกับพระเยซูจนถึงลานบ้านของมหาปุโรหิต แต่เปโตรยืนอยู่ข้างนอกริมประตู สาวกคนที่รู้จักกับมหาปุโรหิตจึงออกไปพูดกับหญิงที่เฝ้าประตูแล้วพาเปโตรเข้าไป ระหว่างที่เปโตรนั่งอยู่ที่ลานบ้านนอกตึกข้างล่าง ผู้หญิงที่เผ้าประตูซึ่งเป็นสาวใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตเดินมาถามเปโตรว่า “เจ้าก็อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วย” แต่เปโตรปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง พูดอะไรข้าไม่เข้าใจ พวกทาสกับเจ้าหน้าที่ก็ยืนอยู่ที่นั่น เอาถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วก็ยืนผิงไฟกัน เปโตรก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขาด้วย จากนั้นเปโตรจึงออกไปประตูหน้าบ้าน และไก่ก็ขัน เมื่อสาวใช้คนนั้นเห็นเปโตรก็พูดขึ้นอีกกับคนที่ยืนอยู่ว่า “คนนี้เคยอยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธ” เปโตรจึงปฏิเสธพร้อมกับสาบานว่า ข้าไม่รู้จักคนนั้น ต่อมาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง ทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรฟันหูขาด อยู่ใกล้ ๆ ก็มาพูดกับเปโตรว่า เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่ ๆ ข้าเห็นเจ้ากับคนนั้นในสวนไม่ใช่หรือ? เจ้าเป็นคนกาลิลี เพราะสำเนียงของเจ้าส่อแบบนั้น เปโตรก็เริ่มสาบถสาบานว่าไม่รู้จักคนนั้น ทันใดนั้นไก่ก็ขันเป็นครั้งที่สอง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเหลียวดูเปโตร เปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูตรัสไว้ว่า “ก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้เป็นทุกข์อย่างมาก
พระเยซูทรงอยู่ต่อหน้ามหาปุโรหิต
(มัทธิว 26:59 – 68, มาระโก 14:55 – 65, ลูกา 22:66 – 71, ยอห์น 18:19 – 24)
พวกหัวหน้าปุโรหิตกับสมาชิกสภายิวทั้งหมดก็หาพยานเท็จมาปรักปรำพระเยซูเพื่อจะประหารพระองค์เสีย แต่คำให้การของพวกเขาแตกต่างกัน และแม้มีพยานเท็จหลายคนมาให้การแต่ก็หาหลักฐานไม่ได้ สุดท้ายก็มีสองคนมาให้การว่า คนนี้บอกว่าสามารถทำลายพระวิหารที่สร้างด้วยมือมนุษย์และสร้างขึ้นใหม่ที่ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ภายในสามวัน มหาปุโรหิตจึงลุกขึ้นถามพระองค์ว่ามีอะไรจะแก้ตัวไหม แต่พระองค์ทรงนิ่งอยู่ มหาปุโรหิตจึงกล่าวอีกว่า “เราให้เจ้าสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ให้บอกเราว่าเจ้าเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่”
พระเยซูตอบว่า ถึงเราบอกพวกท่าน ท่านก็ไม่เชื่อ และถึงเราถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบเรา ตั้งแต่นี้ไป พวกท่านจะเห็นบุตรมนุษย์ประทับข้างขวาของผู้ทรงฤทธิ์เดชและเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์ พวกเขาทุกคนจึงถามว่า “เจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้าหรือ?” พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ก็ท่านพูดแล้วว่าเราเป็น” แล้วมหาปุโรหิตก็ฉีกเสื้อของตนกล่าวว่า เราต้องการพยานอะไรอีก เขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า พวกท่านก็ได้ยินแล้ว พวกท่านคิดอย่างไร พวกเขาตอบว่า เขาสมควรตาย จากนั้นเขาก็ถ่มน้ำลายรดพระพักตร์พระองค์ ปิดพระพักตร์พระองค์ ทุบตีและตบพระองค์พร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าพระคริสต์ จงทำนายให้เรารู้ซิว่าใครตีเจ้า”
พระเยซูทรงถูกนำมาหาปีลาต
(มัทธิว 27:1 – 2, มาระโก 15:1, ลูกา 23:1, ยอห์น 18:28)
ทันทีที่ฟ้าสาง พวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกผู้ใหญ่และพวกธรรมาจารย์ และบรรดาสมาชิกสภา ปรึกษากันเรื่องจะฆ่าพระเยซู พวกเขาจึงมัดพระองค์พาออกจากบ้านของคายาฟาสไปยังกองบัญชาการปรีโทเรียม เพื่อมอบไว้กับปีลาตเจ้าเมือง แต่พวกเขาไม่ได้เข้าไปในกองบัญชาการปรีโทเรียมเพื่อจะได้ไม่เป็นมลทิน จะได้กินปัสกาได้
ยูดาสฆ่าตัวตาย
ยูดาสเสียใจเมื่อเห็นพระเยซูทรงถูกลงโทษจึงนำเงินสามสิบเหรียญมาคืนหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่และบอกว่า ตนเองได้ทำบาปที่ทรยศคนบริสุทธิ์ถึงตาย พวกเขาตอบว่าไม่เกี่ยวกับเขา เป็นเรื่องของเจ้า ยูดาสจึงทิ้งเงินไว้ในพระวิหารและออกไปผูกคอตาย พวกหัวหน้าปุโรหิตจึงเก็บเงินนั้นมา แต่เก็บไว้ในคลังพระวิหารไม่ได้เพราะเป็นเงินเปื้อนเลือด ผิดบัญญัติ เขาจึงนำไปซื้อที่ทุ่งช่างหม้อสำหรับฝังศพคนต่างบ้านต่างเมือง และได้เรียกทุ่งนั้นว่าทุ่งโลหิตจนถึงบัดนี้ และได้สำเร็จตามพระวจนะที่กล่าวโดยเยเรมีย์ว่า พวกเขารับเงินสามสิบเหรียญซึ่งเป็นราคาของผู้นั้น ที่เผ่าพันธุ์อิสราเอลตีราคาไว้ แล้วไปซื้อทุ่งช่างหม้อ ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้ามีพระบัญชาข้าพเจ้า
ปีลาตไต่สวนพระเยซู
(มัทธิว 27:11 – 14, มาระโก 15:2 – 5, ลูกา 23:2 – 5, ยอห์น 18:29 – 38)
ปีลาตจึงออกมาหาพวกเขาและถามว่ามีเรื่องอะไรจะฟ้องชายคนนี้ พวกเขาตั้งข้อกล่าวหาว่า “เราพบว่าคนนี้กำลังทำให้ชนชาติของเราไขว้เขวและไม่ให้ส่งส่วยแก่ซีซาร์ และบอกว่าตัวเองเป็นพระคริสต์กษัตริย์องค์หนึ่ง” ปีลาตบอกให้เอาชายคนนี้ไปพิพากษาตามกฎหมายของพวกท่านเถิด พวกยิวจึงบอกว่ากฎหมายของพวกเขาห้ามประหารคน ทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นจริงตามพระดำรัสพระเยซูว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร (ยอห์น 3:14, 12:32) ปีลาตจึงเข้าไปในกองบัญชาการปรีโทเรียมอีกและเรียกพระเยซูมาถามว่าท่านเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านถามอย่างนั้นตามความเข้าใจของท่านเอง หรือว่าคนอื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา? ปีลาตตอบว่า เราไม่ใช่คนยิว ให้บอกมาว่าทำผิดอะไร พระเยซูตอบว่าราชอำนาจของเราไม่ใช่ของโลกนี้ ไม่เช่นนั้นคนของเราคงสู้เพื่อไม่ให้เราถูกจับ ปีลาตจึงถามต่อว่า ท่านเป็นกษัตริย์หรือ พระเยซูตอบว่าท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์ ดังนั้นเราจึงเข้ามาในโลกเพื่อเป็นพยานให้กับสัจจะ ทุกคนที่อยู่ฝ่ายสัจจะย่อมฟังเสียงของเรา ปีลาตจึงถามต่อว่าสัจจะคืออะไร เมื่อถามอย่านั้นแล้วก็ออกไปหาพวกยิวอีก พวกหัวหน้าปุโรหิตก็กล่าวหาพระเยซูหลายอย่าง แต่พระองค์ไม่พูดอะไรเลย จึงทำให้ปิลาตประหลาดใจ ปิลาตบอกกับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฝูงชนว่าไม่เห็นว่าพระเยซูจะมีความผิดอะไร แต่พวกเขายืนกรานว่าพระองค์ก่อให้เกิดความวุ่นวายและสั่งสอนไปทั่วยูเดียตั้งแต่กาลิลีจนถึงที่นี่
พระเยซูทรงอยู่ต่อหน้าเฮโรด
เมื่อปีลาตได้ยินว่าพระเยซูเป็นขาวกาลิลีซึ่งเป็นท้องที่ของเฮโรด จึงได้ส่งพระองค์ไปหาเฮโรดซึ่งพักอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น เฮโรดดีใจที่เห็นพระเยซูเพราะได้ยินชื่อเสียงพระองค์มานานและอยากเห็นพระองค์ทำหมายสำคัญ เฮโรดถามพระเยซูหลายข้อ แต่พระองค์ไม่ตอบอะไรเลย พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ที่อยู่ที่นั่นก็กล่าวหาพระองค์อย่างรุนแรง เฮโรดกับทหารก็ดูหมิ่นพระองค์ด้วย เมื่อเอาเสื้อสวยงามมาสวมให้พระองค์ เฮโรดก็ส่งพระองค์กลับไปหาปีลาตอีก ปีลาตกับเฮโรดคืนดีกันในวันนั้น เพราะแต่ก่อนเป็นศัตรูกัน
การทรงถูกพิพากษาให้ประหารชีวิต
(มัทธิว 27:15 – 26, มาระโก 15:6 – 15, ลูกา 23:13 – 25, ยอห์น 18:39 – 40)
ปีลาตจึงสั่งมหาปุโรหิต พวกขุนนางและราษฎรให้ประชุมพร้อมกัน กล่าวว่า เราได้สืบสวนแล้ว ชายคนนี้ไม่มีความผิดใด ๆ ตามที่ท่านได้ฟ้องมานั้น และเฮโรดก็เห็นว่าเขาไม่มีความผิดด้วยจึงได้ส่งตัวกลับมาให้เรา คนนี้ไม่ควรมีโทษถึงตาย เราจะเฆี่ยนเขาแล้วก็จะปล่อยไป ในเทศกาลนั้นปกติเจ้าเมืองจะปล่อยนักโทษหนึ่งคนซึ่งแล้วแต่ฝูงชนจะร้องขอ เมื่อปีลาตถามว่าจะให้ปล่อยใครระหว่างบารับบัสซึ่งเป็นนักโทษคนสำคัญที่ก่อการจลาจลและฆ่าคนกับพระเยซู ซึ่งปีลาตรู้ว่าพระองค์ถูกจับเพราะความอิจฉา ขณะนั้นเองภรรยาของปีลาตได้ใช้คนใช้มาบอกปีลาตว่าอย่ายุ่งเรื่องพระเยซูซึ่งเป็นคนชอบธรรมเลย เพราะดิฉันฝันร้ายเพราะท่านผู้นั้น พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ ก็ยุยงหมู่ชนให้ขอให้ปล่อยบารับบัส และให้ประหารพระเยซูเสีย ปีลาตมีใจอยากจะปล่อยพระเยซูจึงถามว่าจะให้ทำยังไงกับคนนี้ที่ท่านเรียกว่ากษัตริย์ของพวกยิว ฝูงชนก็ตะโกนให้ปล่อยบารับบัสและตรึงพระเยซูเสีย แม้ว่าปีลาตจะถามถึงสามครั้งว่าตรึงทำไมเพราะเขาไม่ได้ทำผิด ปีลาตบอกว่าจะเฆี่ยนพระเยซูแล้วก็จะปล่อยตัวไป แต่ฝูงชนก็ยิ่งตะโกนเสียงดังให้ตรึงพระเยซู เมื่อปิลาตเห็นว่าเรื่องจะบานปลายและวุ่นวายขึ้นจึงเอาน้ำล้างมือต่อหน้าฝูงชนแล้วพูดว่า “เราไม่มีผิดด้วยเรื่องความตายของคนนี้ เจ้ารับธุระเอาเองเถิด” ฝูงชนจึงตะโกนว่า ให้ความตายของคนคนนี้ตกอยู่กับเราและลูกของเราเถิด ปีลาตจึงปล่อยบารับบัสและเมื่อให้โบยพระเยซูแล้วก็มอบให้ตรึงไว้ที่กางเขน
พวกทหารล้อเลียนพระเยซู
(มัทธิว 27:27 – 31, มาระโก 15:16 – 20, ยอห์น 19:1 – 16)
พวกทหารของเจ้าเมืองพาพระเยซูไปศาลาปรีโทเรียม แล้วรวมทหารทั้งกองไว้หน้าพระองค์ ถอดฉลองพระองค์ออก เอาเสื้อสีม่วงมาใส่ให้พร้อมกับมงกุฎหนาม และเอาไม้อ้อมาให้ถือที่พระหัตถ์ขวา จากนั้นก็คุกเข่าเยาะเย้ยและพูดว่า “กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ” แล้วก็ตบพระพักตร์พระองค์ ถ่มน้ำลายรด และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระองค์ ปีลาตก็ออกไปหาฝูงชนอีกบอกว่า “ดูเถิด เราพาคนนี้ออกมามอบให้ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านรู้ว่าเราไม่เห็นว่าเขามีความผิดสิ่งใดเลย” พระเยซูจึงเสด็จออกมาด้วยผ้าสีม่วงและมงกุฎหนาม เมื่อพวกมหาปุโรหิตและพวกเจ้าหน้าที่ได้เห็นพระองค์ เขาทั้งหลายก็ร้องอึงว่า “ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสีย”
ปีลาตจึงบอกว่า “พวกท่านเอาเขาไปตรึงเองเถิด เพราะเราไม่เห็นว่าเขามีความผิดเลย” พวกยิวบอกว่า ตามกฎหมายยิว คนนี้สมควรตายเพราะตั้งตัวเป็นบุตรพระเจ้า ปิลาตได้ยินก็ตกใจกลัวมาก จึงเข้าไปในศาลปรีโทเรียมอีกเพื่อถามพระเยซูว่าพระองค์มาจากไหน แต่พระเยซูก็ไม่ตอบ ปีลาตจึงบอกพระองค์ว่ารู้หรือไม่ว่าตนมีอำนาจที่จะปล่อยหรือตรึงพระองค์ก็ได้ พระเยซูตอบว่า “ท่านจะมีอำนาจเหนือเราไม่ได้ นอกจากจะประทานจากเบื้องบนให้แก่ท่าน เหตุฉะนั้นผู้ที่อายัดเราไว้กับท่าน จึงมีความผิดมากกว่าท่าน” ตั้งแต่นั้นมาปีลาตจึงหาทางที่จะปล่อยพระองค์ แต่พวกยิวก็ร้องอึงว่า “ถ้าท่านปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์ ทุกคนที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ก็เป็นปฏิปักษ์ต่อซีซาร์” ปีลาตจึงนำพระเยซูออกมาที่ลานปูศิลา และนั่งบัลลังก์พิพากษา วันนั้นเป็นวันเตรียมปัสกา เวลาประมาณเที่ยง ท่านพูดกับพวกยิวว่า “นี่คือกษัตริย์ของท่านทั้งหลาย” เขาทั้งหลายร้องอึงว่า “เอาเขาไปเสีย เอาเขาไปเสีย ตรึงเขาเสียที่กางเขน” ปีลาตพูดกับเขาว่า “ท่านจะให้เราตรึงกษัตริย์ของท่านทั้งหลายที่กางเขนหรือ” พวกมหาปุโรหิตตอบว่า “เว้นแต่ซีซาร์แล้วเราไม่มีกษัตริย์” แล้วปีลาตก็มอบพระองค์ให้เขาพาไปตรึงที่กางเขน พวกเขาก็ถอดเสื้อสีม่วงนั้นออก ใส่เสื้อพระองค์เหมือนเดิมและนำตัวออกไปเพื่อจะตรึงกางเขน
การตรึงที่กางเขน
(มัทธิว 27:32 – 44, มาระโก 15:21 – 32, ลูกา 23:26 – 43, ยอห์น 19:17 – 27)
เมื่อออกไปก็พบซีโมนคนไซรีนซึ่งเป็นบิดาของอเล็กซานเดอร์และรูฟัสเดินมาตามทาง จึงได้เกณฑ์ให้เขาแบกกางเขนแทนพระเยซู มีคนจำนวนมากเดินตามพระองค์ไป พวกผู้หญิงก็ร้องไห้และโศกเศร้าเพราะพระองค์ พระเยซูจึงหันมาและบอกว่า อย่าร้องไห้เพราะสงสารเราเลย แต่ให้สงสารตัวเองและลูก ๆ เถิด เพราะจะมีวันหนี่งที่คนจะพูดว่าหญิงที่เป็นหมันและไม่เคยมีลูกก็เป็นสุข ในเวลานั้นเขาจะเริ่มพูดกับภูเขาทั้งหลายว่า‘จงพังลงมาทับเรา’และพูดกับเนินเขาว่า‘จงปกคลุมเราไว้’ เพราะถ้าพวกเขาทำอย่างนี้กับคนที่บริสุทธิ์ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ทำผิด เมื่อมาถึงตำบลที่เรียกว่ากลโกธา แปลว่ากระโหลกศรีษะ พวกทหารเยาะเย้ยพระเยซูและเอาองุ่นเปรี้ยวผสมมดยอบซึ่งเป็นของขมมาให้พระเยซู เมื่อชิมแล้วก็ไม่เสวย เวลาเช้าสามโมงเขาได้ตรึงพระเยซู พระเยซูตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” แล้วพวกเขาก็เอาเสื้อของพระองค์มาแบ่งเป็นสี่ส่วนให้ทหารคนละส่วน แต่ฉลองพระองค์ชั้นในนั้นไม่มีตะเข็บ ทอตั้งแต่บนตลอดล่าง เขาจึงจับฉลากแบ่งกันและนั่งเฝ้าอยู่ที่นั่น ทั้งนี้เพื่อจะเป็นจริงตามพระธรรมที่ว่า “เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาก็แบ่งกัน ส่วนเสื้อของข้าพระองค์ เขาจับฉลากกัน” (สดุดี 22:18) คนที่ยืนข้างกางเขนของพระเยซูมีมารดาและน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา เมื่อพระเยซูเห็นมารดาและสาวกที่พระองค์ทรงรัก จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด” แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า “จงดูมารดาของท่านเถิด” ตั้งแต่เวลานั้นมาสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ในบ้านของตน ปีลาตได้สั่งให้เอาข้อหาที่ลงโทษพระเยซูไปติดเหนือศีรษะ คือ “ผู้นี้คือเยซู กษัตริย์ของชนชาติยิว” พวกยิวเป็นอันมากได้อ่านป้ายนี้ เพราะที่ซึ่งเขาตรึงพระเยซูนั้นอยู่ใกล้กับกรุง และป้ายนั้นเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ภาษาลาตินและภาษากรีก พวกมหาปุโรหิตจึงบอกปีลาตว่า “ขออย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของพวกยิว’ แต่ขอเขียนว่า ‘คนนี้บอกว่า เราเป็นกษัตริย์ของพวกยิว’ ” ปีลาตตอบว่า “สิ่งใดที่เราเขียนแล้ว ก็แล้วไป” มีโจรสองคนถูกตรึงพร้อมพระเยซู คนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย อีกคนอยู่ข้างขวา [ต้องสำเร็จตามพระคัมภีร์ที่ว่า “ท่านถูกนับเข้ากับคนล่วงเกิน” อิสยาห์ 53:12 ] หนึ่งในผู้ร้ายที่ถูกตรึงกางเขนก็พูดหมิ่นประมาทพระองค์ว่า “เจ้าเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? จงช่วยตัวเองกับเราทั้งสองให้รอดเถิด” แต่โจรอีกคนได้ห้ามไว้ว่า เจ้าไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือ เราสองคนสมควรกับโทษที่ได้รับแล้ว แต่ท่านนี้ไม่ได้ทำผิดอะไร แล้วเขาก็ทูลพระเยซูว่า “พระเยซู ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในแผ่นดินของพระองค์” พระเยซูทรงตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” คนที่เดินไปมาก็เยาะเย้ยพระองค์ว่า เจ้าคนที่จะทำลายพระวิหารและสร้างใหม่ในสามวัน ถ้าเป็นลูกพระเจ้าจริงก็ลงมาจากกางเขนซิ พวกมหาปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ ก็เยาะเย้ยพระองค์ว่า ช่วยคนอื่นให้รอดได้แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้าเป็นกษัตริย์อิสราเอลจริงก็ลงมาจากกางเขนซิ เราจะได้เชื่อ แม้แต่โจรบนกางเขนก็กล่าวหยาบช้ากับพระองค์เหมือนกัน
พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์
(มัทธิว 27:45 – 56, มาระโก 15:33 – 41, ลูกา 23:44 – 49,ยอห์น 19:28 – 30)
เกิดท้องฟ้ามืดมิดไปทั่วแผ่นดินตั้งแต่เวลาเที่ยงวันถึงบ่ายสามโมง ประมาณบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” (สดุดี 22:1) บางคนที่ยืนอยู่ก็บอกว่าพระองค์ทรงเรียกเอลียาห์ พระเยซูทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว เพื่อให้เป็นไปตามพระธรรม จึงตรัสว่า “เรากระหายน้ำ” ทันใดนั้นก็มีคนเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์เสวย (สดุดี 69:21, 22:15) แต่คนอื่นก็บอกว่าอย่าเพิ่งให้รอดูว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาหรือไม่
พระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้งว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” และทรงตรัสอีกว่า “สำเร็จแล้ว” แล้วก็ทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์ ขณะนั้นม่านในพระวิหารขาดตรงกลางจากบนตลอดล่างออกเป็นสองท่อนและเกิดแผ่นดินไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน อุโมงค์ฝังศพก็เปิดออก ศพของผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหลายคนที่ตายไปแล้วก็เป็นขึ้นมา และเมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว คนเหล่านี้ก็ออกจากอุโมงค์เข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มปราฏแก่คนเป็นอันมาก ส่วนนายร้อยและทหารที่เฝ้าศพพระเยซูเมื่อเห็นแผ่นดินไหวและสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ยอมรับว่าแท้จริงแล้วพระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า ที่นั่นมีผู้หญิงที่ติดตามพระองค์มาจากกาลิลียืนดูอยู่แต่ไกล ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์แม่ของยากอบและโยเซฟ และแม่ของยากอบกับยอห์นที่เป็นภรรยาของเศเบดี
เขาแทงสีข้างของพระเยซู
วันนั้นเป็นวันศุกร์ และวันรุ่งขึ้นก็จะเป็นวันหยุดพิเศษทางศาสนา พวกยิวไม่อยากให้ศพค้างอยู่บนไม้กางเขนในวันหยุดทางศาสนา ก็เลยขอให้ปีลาตสั่งทหารของเขาให้หักขาคนที่ถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขนเพื่อจะได้ตายเร็วขึ้น ทหารจึงมาทุบขาของชายสองคนที่ถูกตรึงพร้อมพระเยซู เมื่อมาถึงพระเยซูและเห็นว่าทรงสิ้นพระชนม์แล้วเลยไม่ได้ทุบ แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นจริงตามพระธรรมที่ว่า “พระอัฐิของพระองค์จะไม่หักสักชิ้นเดียว” (อพยพ 12:46, กันดารวิถี 9:12, สดุดี 34:20) และมีข้อพระธรรมอีกข้อหนึ่งว่า “พวกเขาจะมองดูพระองค์ผู้ที่เขาได้แทง” (เศคาริยาห์ 12:10, วิวรณ์ 1:7) (คนที่เห็นเหตุการณ์ได้เล่าว่าเขาเห็นอะไร โดยเรื่องที่เขาเล่านั้นเป็นความจริง เขาเล่าให้ฟังก็เพื่อว่าท่านจะได้เชื่อ)
การฝังพระศพของพระเยซู
(มัทธิว 27:57 – 61, มาระโก 15:42 – 47, ลูกา 23:50 – 56, ยอห์น 19:38 – 42)
พอพลบค่ำ โยเซฟสาวกลับ ๆ คนหนึ่งของพระเยซู (เพราะเขากลัวพวกยิว) ซึ่งเป็นเศรษฐีมาจากบ้านอาริมาเธีย เขาอยู่ในพวกสมาชิกสภาและเป็นที่นับถือของคนทั้งปวง เขากล้าเข้าไปหาปีลาตเพื่อขอพระศพพระเยซู ปีลาตก็ประหลาดใจจึงเรียกนายร้อยมาถามว่าพระองค์ตายแล้วหรือ เมื่อทราบเรื่องจึงมอบพระศพให้โยเซฟ ฝ่ายนิโคเดมัส ซึ่งตอนแรกไปหาพระองค์ในเวลากลางคืนนั้นก็มาด้วย (ยอห์น 3:1 – 2) เขานำเครื่องหอมผสม คือมดยอบกับกฤษณาหนักประมาณสามสิบกว่ากิโลกรัมมาด้วย โยเซฟก็เอาผ้าป่านพันหุ้มพระองค์และนำศพไปไว้ที่อุโมงค์ใหม่ของตนซึ่งสกัดไว้ในศิลาและยังไม่เคยฝังศพผู้ใดเลย แล้วก็กลิ้งหินปิดปากอุโมงค์นั้น มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์มารดาของโยเสสได้ตามไปจนเห็นอุโมงค์และเห็นว่าเขาวางพระศพไว้อย่างไรด้วย จากนั้นเขาก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม
ทหารยามซึ่งอยู่ที่อุโมงค์
วันรุ่งขึ้นพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกฟาริสีก็ไปหาปีลาตบอกว่าพระเยซูเคยบอกว่าหลังจากตายไปแล้วจะเป็นขึ้นมาใหม่ในอีกสามวัน ขอให้สั่งทหารไปเฝ้าอุโมงค์จนถึงวันที่สาม ไม่เช่นนั้นพวกสาวกจะมาขโมยศพและประกาศว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากตายแล้ว ปีลาตจึงมอบทหารยามให้ไป พวกเขาจึงไปจัดการทำให้อุโมงค์แน่นหนาและประทับตราไว้ที่หิน แล้ววางยามประจำอยู่
การคืนพระชนม์
(มัทธิว 28:1 – 10, มาระโก 16:1 – 8, ลูกา 24:1 – 12, ยอห์น 20:1 – 10)
มารีย์ชาวมักดาลามารีย์มารดาของยากอบพร้อมกับนางสะโลเมและผู้หญิงคนอื่นๆ ที่อยู่กับพวกนาง ไปซื้อเครื่องหอมเพื่อจะมาชโลมศพพระเยซู ใกล้รุ่งเช้าวันอาทิตย์พวกนางก็มาที่อุโมงค์ เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงเพราะทูตสวรรค์ของพระเจ้าซึ่งสวมเสื้อขาวและรูปร่างเหมือนฟ้าแลบ ลงมาจากสวรรค์ มากลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์และนั่งอยู่บนก้อนหินนั้น พวกทหารยามก็กลัวจนตัวสั่นและเป็นเหมือนคนตายแล้ว เมื่อมาถึงอุโมงค์ ระหว่างที่พูดกันว่าใครจะช่วยกลิ้งหินออกจากปากอุโมงค์ เพราะเป็นก้อนหินใหญ่ ก็เห็นว่าก้อนหินได้กลิ้งออกจากปากอุโมงค์แล้ว
เมื่อเข้าไปในอุโมงค์ก็ไม่เห็นพระศพพระเยซู ขณะที่กำลังสงสัยก็เห็นชายสองคนซึ่งเป็นทูตสวรรค์นุ่งเสื้อผ้าแพรวพราว พวกนางก็ตกตะลึง ชายหนุ่มสองคนนั้นพูดกับพวกผู้หญิงว่าไม่ต้องกลัว พระเยซูไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แต่เป็นขึ้นมาแล้วตามที่พระองค์เคยตรัสไว้ (‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของพวกคนบาป และจะต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่’) ลองมาดูที่ที่เขาวางพระศพพระองค์ดูซิ จงไปบอกสาวกของพระองค์รวมทั้งเปโตรด้วยว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นแล้วและได้เสด็จล่วงหน้าไปแคว้นกาลิลี พวกท่านจะเจอพระองค์ได้ที่นั่นดังที่พระองค์เคยตรัสไว้ หญิงเหล่านั้นก็วิ่งออกไปจากอุโมงค์ด้วยความกลัวและยินดีเพื่อจะไปบอกพวกสาวก จากนั้นพวกนางก็เล่าเหตุการณ์นี้ทั้งหมดแก่สาวกสิบเอ็ดคนและคนอื่น ๆ ด้วย แต่พวกอัครทูตไม่เชื่อ เห็นว่าเป็นคำเหลวไหล มารีย์ชาวมักดาลาจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้นและพูดกับเขาว่า เขาเอาพระเยซูออกไปจากอุโมงค์แล้ว และไม่รู้ว่าเอาไปไว้ไหน เปโตรจึงวิ่งไปพร้อมกับสาวกคนนั้น สาวกคนนั้นวิ่งมาถึงก่อนเห็นผ้าป่านวางอยู่แต่ไม่ได้เข้าไป แต่เปโตรที่มาถึงทีหลังได้เข้าไปในอุโมงค์ เห็นผ้าป่านวางอยู่และผ้าพันพระเศียรพับไว้วางต่างหาก จากนั้นสาวกอีกคนจึงเดินตามเข้ามาด้วย พวกเขาเห็นและเชื่อแต่ไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่ว่าพระเยซูต้องเป็นขึ้นจากตาย แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน
การทรงปรากฏแก่มารีย์มักดาลา
(มาระโก 16:9 – 11, ยอห์น 20:11 – 18)
มารีย์ยังยืนร้องไห้อยู่หน้าอุโมงค์ เมื่อมองเข้าไปก็เห็นทูตสวรรค์สององค์นั่งอยู่ที่วางพระศพ องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท ทูตทั้งสองถามว่าร้องไห้ทำไม มารีย์ตอบว่าเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าไป และไม่รู้ว่าเอาไปไหน เมื่อหันกลับไปก็พบพระเยซูยืนอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระองค์ พระเยซูถามว่าร้องไห้ทำไม ตามหาใคร มารีย์คิดว่าเป็นคนสวนจึงตอบว่า ถ้าท่านเอาพระองค์ไปช่วยบอกได้ไหมว่าเอาไปไว้ไหน จะได้ไปรับพระองค์ พระเยซูตรัสกับนางว่า “มารีย์เอ๋ย” มารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” (ซึ่งแปลว่า ท่านอาจารย์) พระเยซูตรัสว่า อย่างหน่วงเหนี่ยวเราเลยเพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดา จงไปหาพวกพี่น้องของเราและบอกว่าเรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและของท่าน หาพระเจ้าของเราและของท่าน จงไปบอกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี จะได้พบเราที่นั่น มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า “ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และนางก็เล่าให้พวกเขาฟังว่าพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นกับนาง แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อ
คำรายงานของทหารยาม
มียามบางคนที่เฝ้าอุโมงค์เข้าไปในเมืองและเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้พวกมหาปุโรหิตฟัง หลังจากที่พวกเขาปรึกษากับพวกผู้ใหญ่แล้วก็ได้ให้เงินจำนวนมากแก่พวกทหารและสั่งว่า “พวกเจ้าจงพูดว่า ‘พวกสาวกของเขามาลักเอาศพไปในเวลากลางคืน เมื่อเรานอนหลับอยู่’ ถ้าเจ้าเมืองรู้ เราจะพูดให้พวกเจ้าพ้นโทษเอง เมื่อพวกทหารได้รับเงินแล้วก็ไปทำตามที่แนะนำ เรื่องนี้ก็เลื่องลือไปในบรรดาพวกยิวจนทุกวันนี้
การเดินทางไปเอมมาอูส
(มาระโก 16:12 –13, ลูกา 24:13 – 35)
ในวันนั้นมีศิษย์สองคนไปหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณสิบเอ็ดกิโลเมตร เขากำลังพูดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ระหว่างนั้นพระเยซูก็เสด็จมาใกล้และเดินไปกับพวกเขา แต่พวกเขาจำพระองค์ไม่ได้ ตาของเขาก็ฟางไป พระองค์จึงถามว่าระหว่างที่เดินมาท่านพูดคุยเรื่องอะไร เขาก็หยุดยืนหน้าโศกเศร้า คนหนึ่งที่ชื่อเคลโอปัส ถามพระเยซูว่า ท่านเป็นแขกเมืองที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มเพียงคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรือ พระเยซูถามว่าเรื่องอะไรหรือ เขาตอบว่าเรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธผู้เผยพระวจนะพระเจ้าที่ประกอบด้วยฤทธิ์เดชและถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า พวกปุโรหิตและพวกขุนนางของเราได้อายัดท่านไว้ให้ปรับโทษถึงตาย และตรึงท่านที่กางเขน พวกเราหวังว่าท่านนั้นจะเป็นคนไถ่ชนชาติอิสราเอล และวันนี้เป็นวันที่สามตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น มีผู้หญิงบางคนของพวกเราบอกว่าได้ไปที่อุโมงค์เมื่อเวลาเช้ามืด แต่ไม่พบพระศพของพระองค์ และมาเล่าว่านางได้เห็นทูตสวรรค์บอกว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ บางคนในพวกเราก็ไปอุโมงค์ อุโมงค์ก็ว่างเปล่า ไม่พบพระองค์ พระเยซูจึงตรัสกับสองคนนั้นว่า “โอ คนโง่เขลาและมีใจเฉื่อยช้าในการเชื่อถ้อยคำซึ่งพวกผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้นั้น พระคริสต์จำเป็นต้องทนทุกข์อย่างนั้นแล้วจึงเข้าในพระสิริของพระองค์ไม่ใช่หรือ?” แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งหมด เมื่อใกล้จะถึงหมู่บ้าน พระเยซูทำทีเหมือนจะเดินเลยไป ทั้งสองคนจึงชวนพระเยซูให้มาพักด้วยกัน เพราะใกล้จะเย็นแล้ว
พระเยซูจึงไปกับเขา และในตอนทานอาหาร พระเยซูทรงหยิบขนมปังขอบพระคุณและหักส่งให้เขา ตาของเขาก็หายฟางและรู้จักพระองค์ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา ทั้งสองคนจึงรีบลุกกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อไปถึงพวกสาวกสิบเอ็ดคนชุมนุมกันอยู่พร้อมทั้งพรรคพวก กำลังพูดถึงเรื่องพระเยซูทรงฟื้นพระชนม์และได้ปรากฏแก่ซีโมน ทั้งสองคนจึงเล่าความซึ่งเกิดขึ้นที่กลางทาง และที่เขาได้รู้จักพระองค์โดยการหักขนมปังนั้น
พระเยซูทรงปรากฏแก่สาวกของพระองค์
(ลูกา 24:36 – 49,ยอห์น 20:19 – 23)
ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่แล้ว เพราะกลัวพวกยิว ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเล่าเหตุการณ์นั้น พระเยซูก็เสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขา พวกเขาก็ตกใจนึกว่าเห็นผี พระเยซูจึงตรัสว่า ทำไมถึงวุ่นวายใจและสงสัย มาดูมือและเท้าของเรา มาคลำตัวเราดู เพราะผีไม่มีเนื้อ ไม่มีกระดูก พวกเขายังไม่ปลงใจเชื่อและกำลังประหลาดใจอยู่ พระเยซูก็ถามว่า “พวกท่านมีอาหารกินที่นี่บ้างหรือ” เขาก็เอาปลาย่างชิ้นหนึ่งมาถวายพระองค์ พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าเขาทั้งหลาย พระเยซูตรัสว่า เราเคยบอกกับท่านแล้วว่าบรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส และในหมวดผู้เผยพระวจนะและในหมวดสดุดีกล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ พระองค์ได้บันดาลให้เขาตาสว่างเพื่อจะได้เข้าใจพระธรรม และตรัสว่า มีคำเขียนไว้ว่า พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมาน ตาย และฟื้นมาในวันที่สาม และต้องประกาศทั่วทุกชาติให้กลับใจใหม่ เริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม และเราจะส่งซึ่งพระบิดาของเราทรงสัญญานั้นมาเหนือท่านทั้งหลาย แต่ท่านทั้งหลายจงคอยอยู่ในกรุงจนกว่าท่านจะได้ประกอบด้วยฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน” พระบิดาใช้เรามาฉันใด เราก็จะใช้ท่านไปฉันนั้น
โธมัสไม่เชื่อ
โธมัสหนึ่งในสาวกสิบสองคนไม่ได้อยู่เมื่อพระเยซูเสด็จมา เมื่อสาวกคนอื่น ๆ บอกว่าได้เห็นพระเยซูแล้ว โธมัสจึงตอบว่า ถ้าเขาไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปในรอยตะปู ไม่ได้เอามือแยงเข้าไปในสีข้างพระองค์ ข้าก็จะไม่เชื่อ หลังจากนั้นแปดวัน เหล่าสาวกก็อยู่ในบ้านหลังนั้นอีก รวมทั้งโธมัสด้วย พระเยซูก็เสด็จมาหาพวกเขาและตรัสกับโธมัสว่า “จงยื่นนิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงยื่นมือออกคลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด” โธมัสจึงเชื่อ พระเยซูจึงตรัสว่า “เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”
พระเยซูทรงปรากฏแก่สาวกเจ็ดคน
ต่อมาที่ทะเลสาบทิเบเรียส ซีโมนเปโตร โธมัสที่เรียกว่าแฝด นาธานาเอลชาวบ้านคานาแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองของเศเบดี และสาวกของพระองค์อีกสองคนกำลังอยู่ด้วยกัน พวกเขาออกไปจับปลากันแต่คืนนั้นไม่ได้ปลาเลย พอรุ่งเช้าพระเยซูทรงอยู่ที่ฝั่ง แต่สาวกไม่รู้ว่าเป็นพระองค์ พระเยซูถามว่ามีปลาบ้างไหม พวกเขาตอบว่าไม่มี พระเยซูจึงบอกให้ทอดอวนลงด้านขวาของเรือ พวกเขาทำตามจึงได้ปลาจำนวนมากจนลากอวนไม่ขึ้น สาวกที่พระเยซูทรงรักบอกเปโตรว่าเป็นพระองค์ เปโตรจึงใส่เสื้อและว่ายน้ำมาหาพระองค์ เพราะอยู่ห่างฝั่งแค่ร้อยเมตรเท่านั้น ส่วนสาวกคนอื่น ๆ นั่งเรือตามมาพร้อมกับปลานั้น เมื่อมาถึงฝั่งก็เห็นว่ามีปลากำลังย่างอยู่ และมีขนมปังด้วย พระเยซูบอกให้เอาปลาที่ได้มาบ้าง เปโตรจึงลงไปเอาปลาในอวน ซึ่งมีแต่ตัวใหญ่ ๆ มีถึงหนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว แต่อวนก็ไม่ขาด พระเยซูเชิญให้ทุกคนมารับประทานอาหาร ไม่มีใครกล้าถามว่าท่านคือใคร เพราะรู้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูทรงเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้เขา และทรงหยิบปลาแจกด้วย นี่เป็นครั้งที่สาม ที่พระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่พวกสาวก หลังจากที่ทรงให้พระองค์คืนพระชนม์แล้ว
“จงเลี้ยงแกะของเรา”
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ พระเยซูถามเปโตรว่ารักพระองค์ไหม เปโตรตอบว่าพระองค์ทรงรู้ว่าข้าพระองค์รักพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด” พระเยซูถามอีกเป็นครั้งที่สองว่ารักพระองค์ไหม เปโตรตอบว่ารัก พระเยซูตรัสว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด” พระเยซูถามอีกเป็นครั้งที่สามว่ารักพระองค์ไหม เปโตรเป็นทุกข์ใจที่พระองค์ทรงถามถึงสามครั้งว่า “เจ้ารักเราหรือ” เปโตรงจึงตอบว่า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่งและทรงรู้ว่าข้าพระองค์รักพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด” พระองค์ยังบอกอีกว่า เมื่อเจ้ายังหนุ่มเจ้าคาดเอวของเจ้าเอง และเดินไปไหน ๆ ตามที่เจ้าปรารถนา แต่เมื่อเจ้าแก่แล้ว เจ้าจะเหยียดมือของเจ้าออก และคนอื่นจะคาดเอวเจ้า และพาเจ้าไปที่ที่เจ้าไม่ปรารถนาจะไป” (ที่พระองค์ตรัสอย่างนั้น เพื่อแสดงว่าเปโตรจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการตายอย่างไร) ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงสั่งเปโตรว่า “จงตามเรามาเถิด”
สาวกคนที่พระองค์ทรงรัก
เปโตรเหลียวหลังเห็นสาวกคนทีพระองค์ทรงรักตามมา จึงถามพระเยซูว่าคนนี้จะเป็นอย่างไร พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า เจ้าจงตามเรามาเถิด” จึงเกิดข่าวลือว่าสาวกคนนี้จะไม่ตาย แต่แท้จริงพระเยซูไม่ได้บอกว่าจะไม่ตาย แต่ตรัสว่า “ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า” สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้ และเป็นผู้ที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง
พระเยซูทรงรับสั่งแก่อัครทูตสิบเอ็ดคน
(มัทธิว 28:16 – 20, มาระโก 16:14 – 18)
สาวกสิบเอ็ดคนก็ได้ไปยังกาลิลีถึงภูเขาที่พระเยซูได้ทรงกำหนดไว้ และเมื่อเห็นพระองค์จึงกราบลงนมัสการ พระเยซูสั่งเหล่าสาวกว่า ให้ประกาศเรื่องความรอดบาปแก่มนุษย์ทุกคนทั่วโลก ใครเชื่อและรับบัพติสมาก็จะรอด ใครไม่เชื่อก็ต้องรับโทษที่บึงไฟนรก มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั่น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค
การเสด็จขึ้น
(มาระโก 16:19 – 20, ลูกา 24:50 – 53, กิจการ 1:6 - 11)
พระเยซูพาเขาไปหมู่บ้านเบธานี พวกเขาได้ถามพระเยซูว่าจะตั้งราขอาณาจักรใหม่ให้แก่คนอิสราเอลเลยหรือไม่ พระองค์ตอบว่าไม่ใช่ธุระของท่านที่จะรู้วันเวลานั้น แต่เราจะมอบพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก แล้วทรงยกพระหัตถ์อวยพรเขา แล้วพระเจ้าก็รับพระองค์ขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ต่อหน้าต่อตาเขา ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า มีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้าเวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น มีสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้าง ๆ เขา สองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น เขาทั้งหลายจึงกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มมีความยินดีเป็นอันมาก เขาทั้งหลายอยู่ในพระวิหารทุกวัน สรรเสริญพระเจ้า และยังออกไปเทศนาสั่งสอนทุกแห่งทุกตำบล พระเป็นเจ้าทรงร่วมงานกับเขาและทรงสนับสนุนคำสอนของเขา โดยหมายสำคัญที่ประกอบนั้น
จุดประสงค์ของหนังสือนี้
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่บันทึกเอาไว้นี้ก็เพื่อท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์ มีหมายสำคัญอีกหลายอย่างที่พระเยซูทำแต่ไม่ได้บันทึกไว้ ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าโลกทั้งโลกก็ไม่ใหญ่พอที่จะเก็บหนังสือทั้งหมดที่จะเขียนนั้นได้
เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com