พระเจ้ามีจริงหรือ โลกที่เราอยู่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญหรือมีผู้สร้าง
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> รู้จักพระเยซู - อายุ 33 ปี เดือนที่ 1 - 3

รู้จักพระเยซู

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

การทำพันธกิจปีสุดท้าย

พันธกิจช่วงสุดท้ายของพระเยซูในแคว้นยูเดีย

คำสอนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ

(ยอห์น 7:10-24)

แต่หลังจากพวกน้อง ๆ ไปเทศกาลอยู่เพิงแล้ว พระเยซูก็เสด็จตามไปอย่างเงียบ ๆ ผู้คนมองหาพระเยซูว่าอยู่ไหน บ้างก็ว่าพระองค์เป็นคนดี บ้างก็ว่าไม่ แต่ไม่มีใครกล้าพูดถึงพระองค์แบบเปิดเผย เพราะเกรงกลัวพวกยิว เมื่อถึงกลางเทศกาล พระเยซูเสด็จไปในพระวิหารและทรงสั่งสอน พวกยิวก็ประหลาดใจว่าพระองค์รู้พระธรรมได้อย่างไรเพราะไม่เคยเรียน พระเยซูตรัสว่าคำสอนของพระองค์เป็นของผู้ที่ทรงใช้พระองค์มา พระองค์เป็นคนจริง เพราะไม่ได้หาเกียรติเพื่อตัวเองแต่เพื่อคนที่ทรงใช้พระองค์มา และไม่มีการอธรรมในพระองค์เลย พระเยซูถามคนเหล่านั้นว่าโมเสสให้ธรรมบัญญัติมาแต่พวกท่านไม่ได้ทำตามเลย และจะหาโอกาสฆ่าพระองค์ทำไม ฝูงชนตอบว่าเพราะพระองค์มีผีสิง และใครกันที่จะฆ่าพระองค์ พระเยซูตรัสว่า โมเสสให้ท่านเข้าสุหนัต (พิธีตัดหนังปลายองคชาต เป็นพิธีรับผู้ชายเข้าศาสนายิว) ตามบรรพบุรุษ (ปฐมกาล 17:10) และท่านก็ยังให้คนเข้าสุหนัตในวันสะบาโตซึ่งเป็นวันหยุดพักเพื่อไม่ให้ละเมิดบัญญัติของโมเสส แล้วพวกท่านจะโกรธเราเมื่อเรารักษาชายคนหนึ่งให้หายในวันสะบาโตหรือ (ยอห์น 5:9) อย่าพิพากษาตามที่เห็นภายนอก แต่จงพิพากษาอย่างยุติธรรมเถิด

ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์หรือ?

(ยอห์น 7:25-31)

ชาวกรุงเยรูซาเล็มบางคนพูดว่าใช่คนนี้หรือไม่ที่พวกเขาหาโอกาสจะฆ่า เขาก็พูดอย่างเปิดเผยอยู่ที่นี่แล้วและพวกผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ว่าอะไร พวกเขารู้แน่หรือยังว่าท่านใช่พระคริสต์หรือไม่ เรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน ถ้าพระคริสต์มาจะไม่มีใครรู้เลยว่าพระองค์มาจากไหน แล้วพระเยซูทรงประกาศขณะสั่งสอนในพระวิหารว่า “พวกท่านรู้จักเราและรู้ว่าเรามาจากไหน เราไม่ได้มาตามลำพังเราเอง แต่พระองค์ผู้ทรงใช้เรามานั้นสัตย์จริงและพวกท่านไม่รู้จักพระองค์ เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์และพระองค์ทรงใช้เรามา” พวกเขาจึงหาโอกาสจับพระองค์แต่ไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลา แต่มีหลายคนวางใจในพระเยซูและพูดว่าถ้าพระคริสต์เสด็จมาจะทำหมายสำคัญยิ่งกว่าคนนี้ทำได้หรือ

เจ้าหน้าที่ถูกส่งมาจับพระเยซู

(ยอห์น 7:32-36)

พวกฟาริสีได้ยินประชาชนซุบซิบเรื่องพระเยซู พวกเขาและหัวหน้าปุโรหิตจึงให้คนไปจับพระองค์ พระเยซูตรัสว่าพระองค์จะอยู่กับพวกเขาไม่นาน และจะกลับไปหาผู้ที่ทรงใช้พระองค์มา พวกท่านจะหาพระองค์แต่ไม่พบ และที่ที่พระองค์อยู่พวกท่านก็จะเข้าไปไม่ได้ พวกยิวจึงพูดว่าพระองค์จะไปไหนที่จะหาไม่พบ จะไปหาคนที่อยู่กับพวกกรีกหรือ พระองค์หมายความว่าอย่างไรที่ว่าจะหาพระองค์ไม่พบ และที่ที่พระองค์อยู่จะเข้าไปไม่ได้

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : https://plus.google.com/103776924545434884394/posts/8wuFivqSRmV

แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิต

(ยอห์น 7:37-39)

ในวันสุดท้ายของงานเทศกาลซึ่งเป็นงานยิ่งใหญ่ พระเยซูประกาศว่า “ถ้าใครกระหาย ให้คนนั้นมาหาเรา และให้คนที่วางใจในเราดื่ม ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น” พระเยซูหมายถึงคนที่วางใจพระองค์จะได้รับพระวิญญาณ เพราะพระเยซูยังไม่ได้รับพระเกียรติ พระวิญญาณจึงยังไม่เสด็จมา

ความขัดแย้งในหมู่ประชาชน

(ยอห์น 7:40-44)

เมื่อประชาชนได้ยิน บ้างก็พูดว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ เป็นพระคริสต์ บ้างก็ว่าพระคริสต์มาจากกาลิลีได้หรือ พระคริสต์ต้องเป็นเชื้อวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด ต้องมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม ที่ดาวิดเคยอยู่ ดังนั้นฝูงชนจึงขัดแย้งกัน บางคนอยากจะจับพระองค์ แต่ไม่มีใครยื่นมือแตะต้องพระองค์เลย

ความไม่เชื่อของบรรดาผู้มีอำนาจ

(ยอห์น 7:45-52)

พวกเจ้าหน้าที่กลับไปหาหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสี พวกเขาถามว่าทำไมไม่จับพระเยซูมา พวกเจ้าหน้าที่ตอบว่าไม่เคยมีใครพูดเหมือนพระเยซูเลย พวกฟาริสีจึงตอบว่า พวกท่านก็โดนหลอกเหมือนกันหรือ ไม่มีพวกผู้ใหญ่หรือพวกฟาริสีคนใดศรัทธาพระเยซูเลย จะมีก็แต่ฝูงชนที่ไม่รู้ธรรมบัญญัติ

นิโคเดมัสที่เคยมาหาพระเยซู (ยอห์น 3:1-2) ซึ่งเป็นหนึ่งในพวกเขากล่าวว่า “กฎหมายของเราเคยพิพากษาคนโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาหรือรู้ว่าเขาทำอะไรก่อนหรือ?” พวกเขาตอบนิโคเดมัสว่า “ท่านก็มาจากกาลิลีด้วยหรือ? ลองค้นดูเถิดแล้วท่านจะเห็นว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นจากกาลิลี”

ผู้หญิงที่ถูกจับฐานล่วงประเวณี

(ยอห์น 7:53 -8:1 - 11)

หลังจากนั้นทุกคนต่างก็กลับไปยังบ้านของตน แต่พระเยซูเสด็จไปที่ภูเขามะกอกเทศ และในตอนเช้าตรู่ก็ได้มาที่พระวิหารอีก เมื่อพระองค์เริ่มสั่งสอน พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์จับผู้หญิงซึ่งทำผิดฐานล่วงประเวณีมาหาพระเยซู และถามพระเยซูเพื่อจะทดสอบพระองค์ว่า ตามธรรมบัญญัติของโมเสสให้ขว้างคนแบบนี้ให้ตาย แล้วพระองค์จะว่าอย่างไร แต่พระเยซูกลับน้อมพระกายลงเอานิ้วเขี่ยที่ดิน เมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อย ๆ พระเยซูจึงลุกขึ้นแล้วตอบพวกเขาว่า “ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก” และน้อมพระกายลงเอานิ้วเขี่ยที่ดินอีก เมื่อได้ยินดังนั้นคนที่ยืนอยู่ค่อย ๆ หายไปทีละคน เริ่มจากคนแก่ก่อน จนสุดท้ายเหลือแต่พระเยซูกับผู้หญิงคนนั้น พระเยซูถามนางว่าคนหายไปไหนหมด ไม่มีใครเอาผิดนางแล้วหรือ นางตอบว่าไม่มีใครเลย พระเยซูตรัสว่าพระองค์ก็ไม่เอาโทษนางเหมือนกัน ให้กลับไปและอย่าทำบาปอีก

พระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก

(ยอห์น 8:12 - 20)

พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งว่าพระองค์เป็นความสว่างของโลก คนที่ตามพระองค์จะเดินในความสว่าง พวกฟาริสีกล่าวกับพระองค์ว่าพระองค์พูดโดยอ้างแต่ตัวเอง คำพูดย่อมไม่เป็นจริง พระเยซูตอบว่าแม้ว่าพระองค์จะเป็นพยานให้ตัวเอง คำพูดของพระองค์ก็เป็นจริง เพราะพระองค์รู้ว่าตัวเองมาจากไหนและจะไปไหน แต่พวกท่านไม่รู้ พวกท่านพิพากษาคนตามมาตรฐานของโลก แต่พระองค์ไม่ได้มาเพื่อพิพากษา และถึงแม้พระองค์จะพิพากษา การพิพากษาของพระองค์ก็ถูกต้องเพราะพระองค์พิพากษาร่วมกับพระบิดาผู้ทรงใช้พระองค์มา ในธรรมบัญญัติบอกว่าถ้ามีสองคนคำพยานก็เชื่อถือได้ พระเยซูทรงเป็นพยานให้ตัวเองและพระบิดาของพระองค์ก็เป็นพยานให้ด้วย พวกเขาจึงถามว่าพระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน พระเยซูตอบว่าถ้าท่านรู้จักเรา ก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย พระเยซูตรัสคำเหล่านี้ที่คลังเงินขณะกำลังสั่งสอนอยู่ที่บริเวณพระวิหาร แต่ไม่มีใครจับกุมพระองค์เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์

ที่ซึ่งเราจะไปนั้นท่านไปไม่ได้

(ยอห์น 8:21 - 30)

พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกว่า “เราจะจากไป และพวกท่านจะแสวงหาเราและจะตายในการบาปของตัวเอง ที่ที่เราจะไปนั้นท่านไปไม่ได้” พวกยิวจึงพูดกันว่าพระองค์จะฆ่าตัวตายหรือ พระเยซูตรัสว่าพระองค์เป็นของเบื้องบน ไม่ใช่ของโลกนี้ แต่พวกท่านเป็นของเบื้องล่าง เป็นของโลกนี้ ถ้าไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้นั้น ท่านก็ต้องตายในการบาปของตัวเอง พวกเขาถามว่าพระองค์เป็นใคร พระเยซูตอบว่าพระองค์เป็นอย่างที่เคยบอกพวกเขาแล้ว ผู้ที่ใช้พระองค์มานั้นสัตย์จริง และพระเยซูกล่าวแต่สิ่งที่ได้ยินมาจากพระองค์เท่านั้น พวกเขาไม่รู้ว่าพระเยซูตรัสถึงพระบิดา พระเยซูจึงตรัสว่า เมื่อพวกท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้น ก็จะรู้ว่าพระองค์คือผู้นั้น และพระองค์ไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ แต่กล่าวตามที่พระบิดาสอนมา พระบิดาสถิตกับพระองค์เพราะว่าพระเยซูทำตามพระทัยพระองค์เสมอ เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนี้ก็มีคนจำนวนมากวางใจในพระองค์

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : http://www.freebibleimages.org/illustrations/jesus-coin/

สัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท

(ยอห์น 8:31 - 38)

พระเยซูตรัสกับพวกยิวที่วางใจในพระองค์ว่า ถ้าท่านยึดในคำสอนของพระองค์ ท่านก็จะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท พวกเขาทูลว่า เราสืบเชื่อสายจากอับราฮัมไม่เคยเป็นทาสใคร ทำไมถึงพูดว่าจะเป็นไท พระเยซูตรัสว่าคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว แต่บุตรอยู่ตลอดไป ถ้าพระบุตรทำให้ท่านเป็นไท ท่านก็เป็นไทจริง ๆ ท่านสืบเชื้อสายของอับราฮัมแต่ก็หาโอกาสฆ่าเราเพราะไม่เชื่อคำสอนของเรา เราพูดในสิ่งที่เห็นจากพระบิดา ส่วนท่านทำในสิ่งที่ท่านได้ยินจากพ่อของท่าน

พ่อของท่านคือมาร

(ยอห์น 8:39 - 47)

พวกเขาทูลพระองค์ว่าอับราฮัมคือบิดาของพวกเขา พระเยซูตอบว่าถ้าเป็นลูกอับราฮัมก็ต้องทำในสิ่งที่อับราฮัมทำ แต่นี่ท่านกลับหาโอกาสฆ่าเราผู้ซึ่งบอกสัจจะที่ได้ยินมาจากพระเจ้า อับราฮัมไม่ได้ทำแบบนี้ พวกท่านทำตามสิ่งที่พ่อของท่านทำ เขาตอบพระองค์ว่า “เราไม่ได้เกิดจากการล่วงประเวณี เรามีพระบิดาองค์เดียวคือพระเจ้า” พระเยซูตรัสว่าถ้าพระเจ้าเป็นบิดาของท่าน ท่านก็จะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้า พระองค์ทรงใช้เรามา พวกท่านไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูด ท่านทนคำสอนของเราไม่ได้ พ่อของท่านคือมารและท่านอยากทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นฆาตรกรตั้งแต่เริ่มแรกและไม่อยู่ในสัจจะ มันเป็นพ่อของการมุสา ท่านไม่เชื่อเราเพราะเราพูดความจริง มีใครในพวกท่านที่อาจชี้ให้เห็นว่าเรามีบาป? ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านถึงไม่เชื่อเรา? คนที่มาจากพระเจ้าย่อมฟังคำตรัสของพระเจ้า พวกท่านไม่ได้มาจากพระเจ้าจึงไม่ฟัง

ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว

(ยอห์น 8:48 - 59)

พวกยิวตอบพระองค์ว่าไม่จริงหรือที่พระองค์เป็นคนสะมาเรียและมีผีสิง พระเยซูตอบว่าพระองค์ไม่มีผีสิง แต่ถวายเกียรติแด่พระบิดา และท่านลบหลู่เกียรติเรา เราไม่ได้แสวงหาเกียรติให้ตัวเอง แต่มีคนแสวงหาให้และพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงพิพากษา ถ้าใครทำตามที่เราสอนจะไม่ตาย พวกยิวจึงพูดว่า พระองค์มีผีสิงจริง ๆ อับราฮัมตายไปแล้ว ผู้เผยพระวจนะก็ตายไปแล้ว แต่ท่านพูดว่าใครทำตามคำสอนท่านจะไม่ตาย ท่านจะยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมที่ตายไปแล้วหรือ? พวกผู้เผยพระวจนะก็ตายไปแล้ว ท่านจะอวดอ้างว่าท่านคือใคร? พระเยซูตรัสว่าถ้าพระองค์ให้เกียรติตัวเองก็คงไม่มีความหมาย แต่พระบิดาเป็นผู้ให้เกียรติพระองค์ คือผู้ที่ท่านบอกว่าเป็นพระเจ้าของท่าน พวกท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักและประพฤติตามพระดำรัสพระองค์ อับราฮัมบิดาของพวกท่านชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา และท่านก็เห็นแล้วและมีความยินดี พวกยิวถามว่าท่านอายุไม่ถึงห้าสิบปี ท่านเคยเห็นอับราฮัมหรือ? พระเยซูตรัสว่าก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูทรงหลบเลี่ยงและเสด็จออกไปจากบริเวณพระวิหาร

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้ายที่มา : https://headwatersresources.org/product/new-testament-maps-13-high-res-bible-maps/

ชาวสะมาเรียหมู่บ้านหนึ่งไม่ยอมต้อนรับพระเยซู

(ลูกา 9:51 - 56)

เมื่อใกล้ถึงเวลาที่พระเยซูจะถูกรับขึ้นไป พระองค์ต้องการจะไปกรุงเยรูซาเล็ม จึงใช้คนล่วงหน้าไปก่อน พวกเขาก็เข้าไปหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรียเพื่อจัดเตรียมให้พระองค์ แต่ชาวบ้านไม่ต้อนรับพระองค์ เมื่อยากอบและยอห์นเห็นอย่างนั้นจึงทูลพระเยซูว่าต้องการให้พวกเขาขอไฟจากฟ้าสวรรค์ลงมาเผาพวกนี้หรือไม่ พระเยซูห้ามพวกเขาเพราะบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อทำลายชีวิต แต่เพื่อช่วยให้รอด แล้วพระองค์กับพวกสาวกก็เดินทางต่อไปที่หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง

ผู้ที่จะเป็นสาวกของพระเยซู

(มัทธิว 8:18 – 22, ลูกา 9:57 – 62)

เมื่อพระเยซูกับเหล่าสาวกกำลังเดินทางไป มีธรรมาจารย์คนหนึ่งมาถามพระองค์ว่าพระองค์จะไปทางไหน เขาก็จะไปทางนั้น พระเยซูตอบว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรงและนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” พระเยซูตรัสกับอีกคนหนึ่งว่า จงตามเรามา แต่คนนั้นตอบว่าขอกลับไปฝังศพพ่อก่อน พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด ส่วนท่านจงไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า” มีอีกคนมาทูลพระเยซูว่าจะขอตามพระองค์ไปแต่ขอไปลาคนที่บ้านก่อน พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ไม่มีใครที่เอามือจับคันไถแล้วหันหลังกลับ จะสมควรกับแผ่นดินของพระเจ้า”

พวกเจ็ดสิบสองคนออกประกาศ

(ลูกา 10:1 – 12)

ต่อมาพระเยซูทรงแต่งตั้งคนเจ็ดสิบสองคนให้ออกไปเป็นคู่ ๆ ล่วงหน้าพระองค์ ให้เข้าไปทุกเมืองที่พระเยซูจะเสด็จไป เพราะข้าวมีมากแต่คนงานที่เก็บเกี่ยวมีน้อย ให้เราอ้อนวอนพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเพิ่ม พระเยซูทรงใช้คนเหล่านี้ไปเหมือนฝูงแกะท่ามกลางฝูงหมาป่า อย่าเอาถุงเงิน ย่าม หรือรองเท้าไป อย่าทักทายใครตามทาง ก่อนเข้าบ้านใครให้พูดว่าขอให้บ้านนี้มีสันติสุข ถ้ามีคนรักสันติอยู่ ก็จะได้รับสันติสุขของพวกท่าน แต่ถ้าไม่มี สันติสุขก็จะกลับคืนมาอยู่กับพวกท่าน ให้อยู่แค่บ้านเดียวและกินดื่มในสิ่งที่เขาจัดเตรียมเพราะคนทำงานสมควรได้รับค่าจ้าง อย่าย้ายไปบ้านโน้นบ้านนี้ และให้รักษาคนป่วยในเมืองนั้นและบอกคนเหล่านั้นว่าแผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้แล้ว ถ้าเมืองไหนไม่ต้อนรับท่านให้ไปที่กลางถนนสะบัดผงคลีดินที่เท้าออก และโทษของเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษของเมืองนั้น

วิบัติแก่เมืองที่ไม่ได้กลับใจใหม่

(ลูกา 10:13 – 16)

วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซินและเมืองเบธไซดา ถ้าทำการอัศจรรย์แบบที่ทำกับท่านในเมืองไทระและไซดอน คนเหล่านั้นคงกลับใจนานแล้ว ในวันพิพากษา โทษของเมืองไทระและเมืองไซดอนจะเบากว่าพวกเจ้า ส่วนเมืองคาเปอรนาอูมก็ไม่ได้ถูกยกให้สูงเทียมฟ้าแต่จะต้องลงไปยังแดนคนตายต่างหาก ผู้ที่ยอมฟังพวกท่านก็ยอมฟังเรา ผู้ที่ไม่ยอมรับพวกท่านก็ไม่ยอมรับเรา ผู้ที่ไม่ยอมรับเราก็ไม่ยอมรับผู้ที่ใช้เรามา

พวกเจ็ดสิบสองคนกลับมา

(ลูกา 10:17 – 20)

สาวกเจ็ดสิบสองคนกลับมาต่างก็ดีใจที่พวกผีก็อยู่ใต้อำนาจเขาโดยนามของพระเยซู พระเยซูตรัสว่าพระองค์เห็นซาตาน (ชื่อหนึ่งของมาร มีความหมายว่า ผู้ขัดขวางหรือปฏิปักษ์) ตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ เราให้ท่านมีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง มีอำนาจเหนือศัตรู ไม่มีอะไรจะทำอันตรายท่านได้ แต่อย่าดีใจว่ามีอำนาจเหนือผี แต่ให้ดีใจว่าชื่อของพวกท่านจดไว้บนสวรรค์แล้ว

จงมาหาเราและหยุดพัก

(มัทธิว 11:25 – 30, ลูกา 10:21 – 24)

พระเยซูทรงเปรมปรีดิ์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์และตรัสว่า พระเจ้าผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ สรรเสริญพระองค์ที่ปิดบังสิ่งเหล่านี้จากคนฉลาด แต่แสดงให้แก่ทารก พระบิดามอบสิ่งสารพัดให้เรา ไม่มีใครรู้จักพระบุตรนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตรและคนที่พระบุตรจะให้รู้จัก คนที่แบกภาระหนักให้มาหาเรา เราจะให้ท่านได้หยุดพัก ให้แบกแอกของเรา เรียนจากเราแล้วจิตใจของท่านจะได้หยุดพัก เพราะแอกของเราก็พอเหมาะ ภาระของเราก็เบา พระเยซูหันมาหาสาวกและตรัสว่าคนที่เห็นในสิ่งที่ท่านเห็นก็เป็นสุข เพราะผู้เผยพระวจนะและกษัตริย์หลายองค์อยากเห็นและได้ยินแบบพวกท่าน แต่ก็ไม่มีโอกาส

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : http://www.freebibleimages.org/illustrations/good-samaritan/

ชาวสะมาเรียใจดี

(ลูกา 10:25 – 37)

มีคนเชี่ยวชาญธรรมบัญญัติทดสอบพระเยซูโดยถามว่าต้องทำยังไงถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์ พระเยซูจึงถามกลับว่าในธรรมบัญญัติว่าอย่างไรและท่านเข้าใจยังไง เขาตอบว่า ให้รักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ สุดกำลังและสุดความคิดของท่าน และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง พระเยซูตรัสว่า ท่านตอบถูกแล้วให้ไปทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต แต่คนนั้นต้องการรักษาหน้าจึงถามว่า แล้วใครคือเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า? พระเยซูจึงเล่าว่ามีชายคนหนึ่งลงจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค ระหว่างทางถูกโจรปล้นแย่งชิงเสื้อผ้าและทุบตีจนเกือบตาย มีปุโรหิตเดินเจอก็เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง คนเลวีเดินมาเจอก็เดินเลยไปอีกฟากหนึ่งเหมือนกัน

ต่อมามีชาวสะมาเรีย (คนยิวและคนสะมาเรียไม่ถูกกัน) เดินมาเจอก็เกิดสงสารจึงเอาเหล้าองุ่นกับน้ำมันเทใส่บาดแผล เอาผ้ามาพันให้ และพามาโรงแรมเพื่อรักษาพยาบาล วันรุ่งขึ้นก็ให้เงินสองเดนาริอันกับเจ้าของโรงแรมและบอกว่าให้รักษาเขาด้วย เงินที่ต้องเสียเกินกว่านี้กลับมาจะเอามาใช้ให้ ในสามคนนี้ใครคือเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น เขาตอบพระเยซูว่าคือคนที่มีเมตตา พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้น”

การเสด็จเยี่ยมมารธาและมารีย์

(ลูกา 10:38 – 42)

พระเยซูกับสาวกเสด็จไปหมู่บ้านแห่งหนึ่งและได้เข้าไปพักที่บ้านของมารธาซึ่งมีน้องสาวด้วยชื่อมารีย์ มารีย์นั่งใกล้พระบาทพระเยซูฟังพระองค์สอน แต่มารธาวุ่นอยู่กับการปรนนิบัติ จึงขอให้พระเยซูบอกให้มารีย์มาช่วยนาง พระเยซูจึงตรัสกับมารธาว่า “มารธา มารธาเอ๋ย เธอกระวนกระวายและร้อนใจหลายอย่างเหลือเกิน สิ่งที่จำเป็นนั้นมีเพียงสิ่งเดียว และมารีย์ก็เลือกเอาส่วนที่ดีนั้น ใครจะชิงเอาไปจากเธอไม่ได้”

การทรงรักษาคนตาบอดแต่กำเนิด

(ยอห์น 9:1 – 12)

พระเยซูเสด็จไปเจอชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด สาวกจึงถามว่าเพราะคนนั้นหรือพ่อแม่เขาทำบาป ตาถึงได้บอด พระเยซูตรัสว่าไม่ใช่ทั้งนั้น ที่เขาตาบอดก็เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา เราต้องทำพระราชกิจของพระเจ้าเมื่อยังวันอยู่ กลางคืนไม่มีใครทำงาน เมื่อเราอยู่ในโลกเราก็เป็นความสว่างของโลก จากนั้นพระเยซูทรงบ้วนน้ำลายลงดินทำเป็นโคลนทาตาชายคนนั้น และบอกให้ไปล้างออกที่สระสิโลอัม (แปลว่าใข้ไป) เมื่อล้างแล้วก็มองเห็นได้ คนจึงถามกันว่าใช่คนที่เคยนั่งขอทานหรือเปล่า บางคนก็ว่าใช่ บ้างก็ว่าไม่ใช่แต่หน้าคล้ายกัน แต่เขาตอบว่าตนเองคือชายคนนั้น ที่ตาหายบอดเพราะมีคนชื่อเยซูเอาโคลนทาตาและให้ไปล้างออกที่สระสิโลอัม จากนั้นจึงมองเห็นได้ คนจึงถามหาพระเยซู แต่เขาตอบว่าไม่รู้ว่าอยู่ไหน

พวกฟาริสีสอบสวนเรื่องการรักษาคนตาบอด

(ยอห์น 9:13 – 34)

พวกเขาจึงพาคนตาบอดไปหาพวกฟาริสี วันที่พระเยซูรักษานั้นเป็นวันสะบาโต พวกฟาริสีถามว่าตามองเห็นได้อย่างไร เขาจึงตอบว่า “ท่านเอาโคลนทาตาของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็ไปล้างออกแล้วก็มองเห็น” ฟาริสีบางคนบอกว่าพระเยซูไม่ได้มาจากพระเจ้าเพราะละเมิดกฎวันสะบาโต แต่บางคนแย้งว่าพระเจ้าจะฟังคนบาปได้อย่างไร และพวกเขาก็ขัดแย้งกันเอง พวกเขาจึงถามชายตาบอดว่าคิดอย่างไร เขาตอบว่า “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ” พวกยิวไม่เชื่อว่าคนตาบอดแต่กำเนิดจะมองเห็นได้ จึงไปเรียกพ่อแม่ของคนนั้นมาถาม แต่พ่อแม่กลับตอบว่ารู้แต่ว่าชายคนนี้เป็นลูกตนที่ตาบอดแต่กำเนิด แต่ไม่รู้ว่ามองเห็นได้ยังไง ไปถามเขาเองเถิดเพราะเขาโตแล้ว ที่ตอบอย่างนี้เพราะกลัวเนื่องจากพวกยิวตกลงกันว่าใครที่ยอมรับพระเยซูเป็นพระคริสต์จะต้องถูกขับออกจากธรรมศาลา พวกเขาจึงเรียกชายที่เคยตาบอดกลับมาถามอีกเป็นครั้งที่สองว่าให้บอกความจริงมาเถิด เพราะเรารู้ว่าพระเยซูเป็นคนบาป คนที่เคยตาบอดตอบว่า “ชายคนนั้นเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบคือข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามองเห็นได้แล้ว” พวกเขาจึงถามอีกว่าชายคนนั้นทำยังไงตาถึงหายบอด เขาจึงตอบกลับไปว่าเคยบอกไปแล้วแต่ท่านไม่ฟัง ทำไมถึงอยากฟังอีก อยากเป็นศิษย์ของพระเยซูหรือ คนเหล่านั้นจึงเยาะเย้ยกลับว่า “เอ็งเป็นศิษย์ของเขา แต่เราเป็นศิษย์ของโมเสส เรารู้ว่าพระเจ้าตรัสกับโมเสส แต่สำหรับคนนั้นเราไม่รู้ว่ามาจากไหน” ชายคนนั้นตอบว่าแปลกที่พวกท่านไม่รู้ว่าชายคนนั้นมาจากไหน แต่ก็ทำให้ตาข้าหายบอดได้และพระเจ้าไม่ทรงฟังคนบาป ไม่มีใครเคยทำให้คนตาบอดแต่กำเนิดหายบอดได้นอกจากจะมาจากพระเจ้า พวกเขาตอบว่า “เอ็งมันบาปมาตั้งแต่เกิดแล้วยังจะมาสอนเราหรือ?” แล้วพวกเขาก็ไล่เขาออกไป

ความบอดทางจิตวิญญาณ

(ยอห์น 9:35 – 41)

พระเยซูได้ยิวว่าพวกยิวไล่ชายคนนั้นออกไป เมื่อได้พบกับเชาจึงตรัสว่า “ท่านวางใจในบุตรมนุษย์หรือ?” ชายคนนั้นถามว่าใครคือบุตรมนุษย์ พระเยซูจึงตอบว่าคือพระองค์เอง เขาจึงทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์วางใจ” แล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์ พระเยซูตรัสว่าพระองค์มาในโลกเพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนตาบอดมองเห็น และให้คนมองเห็นกลับตาบอด พวกฟาริสีที่อยู่ใกล้ ๆ ถามว่าเราตาบอดด้วยหรือ? พระเยซูจึงตรัสว่า“ถ้าพวกท่านตาบอด ท่านก็จะไม่มีบาป แต่พวกท่านพูดเดี๋ยวนี้เองว่า ‘เรามองเห็น’ เพราะฉะนั้นบาปของท่านยังมีอยู่”

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : http://www.freebibleimages.org/illustrations/gnpi-063-good-shepherd/

อุปมาเรื่องคอกแกะ

(ยอห์น 10:1 – 6)

พระเยซูตรัสว่าคนเฝ้าประตูจะให้ผู้เลี้ยงแกะเข้าไปในคอกทางประตู ส่วนคนที่ปีนเข้าไปทางอื่นเป็นขโมย ผู้เลี้ยงแกะจะเรียกชื่อแกะและนำแกะออกไป เมื่อต้อนแกะออกไปหมดก็เดินนำหน้า เพราะแกะรู้จักเสียงของผู้เลี้ยง ส่วนคนอื่นแกะจะไม่ตามเขาไปเลย พระเยซูตรัสเป็นเรื่องเปรียบเทียบและไม่มีใครที่เข้าใจเลย

พระเยซูทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี

(ยอห์น 10:7 – 21)

พระเยซูตรัสกับเขาอีกว่าพระองค์ทรงเป็นประตูของแกะทั้งหลาย คนที่มาก่อนหน้านี้เป็นขโมยและโจร แต่ฝูงแกะไม่ได้ฟังเขา

เราเป็นประตู ใครเข้าทางเราก็จะรอด จะพบอาหาร ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลัก ฆ่า และทำลาย เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์ เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดีที่เสียสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ คนรับจ้างเมื่อเห็นฝูงสุนัขป่ามาก็จะหนีไป สุนัขป่าก็จะไล่กัดกินแกะจนกระจัดกระจายไป ที่เขาหนีเพราะเป็นลูกจ้างไม่ได้ห่วงแกะเลย เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา เหมือนอย่างที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา และเราสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ แกะอื่นที่ไม่ได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะพวกนั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะพวกนั้นจะฟังเสียงของเราแล้วจะรวมเป็นฝูงเดียวและมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว พระบิดาจึงรักเราเพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราได้ เราตั้งใจสละชีวิตเอง และเรามีสิทธิที่จะสละชีวิตและรับชีวิตคืนมา พระบิดาได้กำชับกับเราเช่นนี้ พวกยิวจึงแตกคอกันอีก หลายคนบอกว่าพระองค์บ้า มีผีสิง ขณะที่อีกหลาย ๆ คนพูดว่า คำสอนแบบนี้ไม่ได้มาจากคนถูกผีสิง ผีจะทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ยังไง

พวกยิวปฏิเสธพระเยซู

(ยอห์น 10:22 – 42)

เวลานั้นเป็นเทศกาลฉลองพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม เป็นฤดูหนาว พระเยซูอยู่ในบริเวณพระวิหารที่เฉลียงของซาโลมอน พวกยิวมาห้อมล้อมพระองค์ถามว่าถ้าพระองค์เป็นพระคริสต์ก็ให้บอกมาให้ชัดเจน อย่าให้สงสัยอีกเลย พระเยซูตรัสว่าได้บอกไปแล้วแต่ท่านไม่เชื่อเพราะท่านไม่ใช่แกะของเรา แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะทั้งหลายและจะไม่มีใครแย่งแกะไปจากมือเราได้ พระบิดาผู้ประทานแกะเหล่านั้นให้เราเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พวกยิวจึงหยิบหินมาจะขว้างพระเยซู พระองค์จึงตรัสว่าจะขว้างเราให้ตายเพราะการดีอะไรที่เราทำ พวกยิวตอบว่าไม่ใช่เพราะการดีที่ท่านทำ แต่เพราะพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า (เลวีนิติ 24:16) เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า “ในพระคัมภีร์ของท่านมีคำเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า ‘เรากล่าวว่าพวกท่านเป็นพระ?’ (สดุดี 82:6) ถ้าคนที่รับพระวจนะของพระเจ้าได้ชื่อว่าเป็นพระ (และจะฝ่าฝืนพระคัมภีร์ไม่ได้) พวกท่านจะกล่าวหาผู้ที่พระบิดาทรงตั้งไว้เป็นพิเศษและทรงใช้เข้ามาในโลกว่า ‘ท่านกล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้า’ เพราะเรากล่าวว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’ อย่างนั้นหรือ? ถ้าท่านไม่วางใจในเรา ก็ให้วางใจในราชกิจของพระบิดาที่เราทำเถิด พวกเขาพยายามจับพระเยซู แต่พระองค์ทรงรอดพ้นจากมือของเขา พระองค์จึงเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปตำบลที่ยอห์นเคยให้บัพติสมา (ยอห์น 1:28) คนจำนวนมากมาหาพระองค์กล่าวว่า “ถึงยอห์นไม่ได้ทำหมายสำคัญอะไรเลย แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงท่านผู้นี้เป็นความจริง” และมีคนที่นั่นหลายคนวางใจในพระองค์

 

<<  ย้อนกลับ | หน้าถัดไป   >>

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com