พระเจ้ามีจริงหรือ โลกที่เราอยู่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญหรือมีผู้สร้าง
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> รู้จักพระเยซู - อายุ 32 ปี เดือนที่ 7 - 12

รู้จักพระเยซู

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

คำสอนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ

(มัทธิว 15:1 – 20, มาระโก 7:1 – 23)

พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์บางคนที่มาจากกรุงเยรูซาเล็มเข้ามาถามพระเยซูว่าทำไมสาวกของพระองค์ไม่ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ทำไมละเมิดคำสอนของบรรพบุรุษ เพราะคนยิวทุกคนถือตามคำสอนที่ตกทอดมาว่าถ้าไม่ล้างมือก่อนรับประทานอาหารถือว่าเป็นมลทิน ยังมีอีกหลายอย่างที่พวกเขายึดถือด้วย เช่น ถ้าไปตลาดกลับมาต้องล้างอาหารและล้างตัวหรือปะพรมตัวก่อนรับประทานอาหาร เป็นต้น พระเยซูตอบกลับพวกเขาเหล่านั้นว่าทำไมเอาแต่ยึดคำสอนของบรรพบุรุษและละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงบัญญัติว่าจงให้เกียรติบิดามารดาและใครประณามบิดามารดาต้องมีโทษถึงตาย แต่พวกท่านกลับสอนว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อบิดามารดาถือว่าเป็นของถวายแด่พระเจ้า จึงไม่อนุญาตให้คนทั้งหลายเลี้ยงดูบิดามารดาอีกต่อไป และมีคำสอนที่ตกทอดมาอีกหลาย ๆ อย่างที่ทำให้พระบัญญัติของพระเจ้าเป็นโมฆะ ซึ่งตรงกับที่อิสยาห์ได้เผยพระวจนะเกี่ยวกับพวกท่านว่า ‘ชนชาตินี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาสอนว่าเป็นพระดำรัสสอน’ (อิสยาห์ 29:13)

แล้วพระเยซูทรงเรียกฝูงชนมาและตรัสว่าไม่มีอะไรที่เข้าปากมนุษย์และจะทำให้เป็นมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาต่างหากที่ทำให้เป็นมลทิน ซึ่งเป็นการประกาศว่าอาหารทุกอย่างรับประทานได้ ไม่เป็นมลทิน พวกสาวกจึงมาทูลว่าสิ่งที่พระองค์พูดทำให้พวกฟาริสีไม่พอใจมาก พระเยซูตรัสว่าช่างเขาเถิด พวกนั้นเป็นเหมือนคนตาบอดนำทางคนตาบอด และก็จะตกลงบ่อไปในที่สุด เมื่อเข้าไปในบ้านเปโตรถามพระเยซูถึงคำอุปมานั้น พระเยซูถามกลับไปว่าพวกท่านก็ไม่เข้าใจด้วยหรือ สิ่งที่เข้าไปในปากลงท้องและก็ถ่ายออกไปในที่สุด แต่สิ่งที่ออกมาจากปาก ก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นทำให้มนุษย์เป็นมลทิน คือ การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การเป็นชู้ การโลภ การอธรรม การล่อลวง ราคะตัณหา การอิจฉา การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความเขลา สารพัดความชั่วเหล่านี้มาจากภายในและทำให้มนุษย์เป็นมลทิน

 

พระเยซูทรงเทศนาและรักษาคนในเมืองซีเรียฟินิเซีย อิทูเรีย ตราโคนิติสและเดคาโปลิส

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : http://www.curtiestouchofcolor.com/john-the-baptist-baptizes-jesus/

ความเชื่อของหญิงซีเรียฟีนิเซีย

(มัทธิว 15:21 – 28, มาระโก 7:24 – 30)

พระเยซูเสด็จออกจากที่นั่นไปยังเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน และหลบเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งเพราะไม่อยากให้ใครรู้ แต่มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งมีเชื้อชาติซีเรียฟีนิเซ๊ย เป็นคนต่างศาสนา มาเข้าเฝ้าและกราบลงที่พระบาทขอให้ช่วยรักษาลูกสาวที่มีผีสิง แต่พระเยซูไม่ตอบสักคำเดียว พวกสาวกจึงบอกพระเยซูให้ไล่นางไป พระเยซูจึงพูดกับนางว่าพระองค์มาหาแต่คนอิสราเอลเท่านั้น ผู้หญิงคนนั้นก็ยังร้องขอให้ช่วย พระเยซูจึงตรัสว่าควรหรือที่จะเอาอาหารลูกให้สุนัขกิน ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า จริงเจ้าคะ แต่สุนัขก็ยังได้กินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะนายของมัน พระเยซูตรัสว่าความเชื่อของหญิงคนนี้มีมาก ให้กลับไปเถิดเพราะผีออกจากลูกสาวแล้ว พอนางกลับไปถึงบ้านก็พบลูกสาวนอนอยู่บนที่นอนและผีออกจากลูกสาวแล้ว

การทรงรักษาคนจำนวนมาก

(มัทธิว 15:29 – 31, มาระโก 7:31 – 37)

พระเยซูเสด็จจากเขตแดนเมืองไทระ ผ่านเมืองไซดอนไปยังทะเลสาบกาลิลี ไปตามเขตแดนแคว้นทศบุรี (Decapolis) แล้วเสด็จขึ้นไปบนภูเขาประทับที่นั่น มีมหาชนมาเฝ้าพระองค์ นำคนง่อย คนแขนขาพิการ คนตาบอด คนใบ้ และคนเจ็บอื่น ๆ หลาย ๆ คน มาหาพระเยซู และพระองค์ทรงรักษาเขาเหล่านั้นให้หาย มีคนหนึ่งพาชายหูหนวกและพูดติดอ่างมาให้พระเยซูรักษา พระองค์จึงพาคนนั้นออกจากฝูงชนและไปอยู่ลำพัง ทรงเอานิ้วพระหัตถ์แยงเข้าที่หูทั้งสองของชายคนนั้น และทรงบ้วนน้ำลาย เอานิ้วพระหัตถ์จิ้มแตะลิ้นของคนนั้น และตรัสกับคนนั้นว่า “เอฟฟาธา” แปลว่า “จงเปิดออก”

หูของคนนั้นก็เป็นปกติและพูดได้ชัด พระเยซูห้ามใม่ให้บอกเรื่องนี้กับใคร แต่ยิ่งห้ามคนก็ยิ่งพูด และคนทั้งหลายต่างก็ประหลาดใจ แล้วพวกเขาก็สรรเสริญพระเจ้าของชนชาติอิสราเอล

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : https://image1.slideserve.com/2831143/dalmanutha-magdala-magadan-n.jpg

การทรงเลี้ยงคนสี่พันคน

(มัทธิว 15:32 – 39, มาระโก 8:1 – 10)

พระเยซูทรงเรียกสาวกมาและตรัสว่าทรงสงสารฝูงชนเพราะอยู่กับพระองค์มาสามวันและไม่มีอะไรกิน พระองค์ไม่อยากให้พวกเขากลับขณะที่ยังหิว กลัวจะสิ้นแรงกลางทาง สาวกทูลว่าในถิ่นทุรกันดารจะหาอาหารมากมายขนาดนี้จากที่ไหนเพื่อเลี้ยงคนเหล่านี้ให้อิ่ม พระเยซูถามว่ามีขนมปังกี่ก้อน สาวกตอบว่ามีเจ็ดก้อนกับปลาเล็ก ๆ สองสามตัว พระเยซูทรงรับสั่งให้ฝูงคนนั่งกับพื้น ทรงรับขนมปังและปลามา เมื่อขอบพระคุณแล้วก็หักส่งให้สาวก ทุกคนได้รับอาหารกินจนอิ่ม มีผู้ชายสี่พันคนไม่รวมผู้หญิงและเด็ก เมื่อรับประทานจนอิ่มพวกเขาก็เก็บเศษอาหารได้เจ็ดกระบุงเต็ม เมื่อส่งฝูงชนเสร็จก็เสด็จลงเรือมาถึงเขตเมืองมากาดานหรือเมืองดาลมานูธา

ขอหมายสำคัญ

(มัทธิว 16:1 – 4, มาระโก 8:11 – 13)

พวกสะดูสีและฟาริสีมาทดลองพระเยซูให้แสดงหมายสำคัญ พระเยซูตอบว่าพวกท่านรู้จักสังเกตท้องฟ้า ถ้าตกเย็นฟ้าสีแดงแสดงว่าอากาศปลอดโปร่ง ถ้าตอนเช้าฟ้าสีแดงและมืดครึ้มแสดงว่าฝนจะตก แต่กลับไม่เข้าใจเวลาของยุคนี้ พระองค์จะไม่แสดงหมายสำคัญอะไรยกเว้นหมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น พูดเสร็จพระองค์ก็ลงเรือข้ามไปอีกฟากหนึ่ง

เชื้อของพวกฟาริสี พวกสะดูสีและเฮโรด

(มัทธิว 16:5 – 12, มาระโก 8:14 – 21)

เมื่อข้ามฟากไปแล้วพวกสาวกลืมเอาขนมปังไป และเหลือขนมปังในเรือแค่ก้อนเดียว เมื่อพระเยซูตรัสให้ระวังเชื้อของพวกฟาริสี สะดูสีและพวกของเฮโรดให้ดี พวกสาวกจึงพูดกันว่าเพราะว่าเราไม่เอาขนมปังมา พระเยซูทรงทราบจึงตรัสกับพวกเขาว่าทำไมพูดกันถึงเรื่องไม่มีขนมปัง ทำไมยังไม่เข้าใจ ทำไมใจยังแข็งกระด้าง ทำไมมีตาแล้วยังไม่เห็น มีหูแล้วไม่ได้ยิน จำไม่ได้หรือว่าเมื่อพระองค์หักขนมปังห้าก้อนให้คนห้าพันคน พวกท่านเก็บได้กี่ตระกร้า พวกเขาทูลว่าสิบสอง เมื่อแจกขนมปังเจ็ดก้อนให้คนสี่พันคน พวกท่านเก็บได้กี่กระบุง เขาตอบว่าเจ็ด พระองค์จึงตรัสว่าทำไมยังไม่เข้าใจกันอีกว่าพระองค์ไม่ได้พูดเรื่องขนมปัง แต่หมายถึงให้ระวังคำสอนของพวกฟาริสีและพวกสะดูสี

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้ายที่มา : http://www.curtiestouchofcolor.com/john-the-baptist-baptizes-jesus/

การทรงรักษาคนตาบอดที่เมืองเบธไซดา

(มาระโก 8:22 – 26)

พระเยซูกับพวกสาวกเดินทางไปเมืองเบธไซดา มีคนพาคนตาบอดมาให้พระเยซูรักษา พระองค์จึงจูงคนนั้นออกไปนอกหมู่บ้าน ทรงบ้วนน้ำลายลงบนตาคนนั้นและวางพระหัตถ์บนตัวเขา และถามว่ามองเห็นอะไรไหม ชายคนนั้นบอกว่ามองเห็นเหมือนต้นไม้เดินไปมา พระเยซูจึงว่าพระหัตถ์บนตาเขาอีกครั้ง ตาของชายคนนั้นก็เห็นเป็นปกติ พระเยซูจึงบอกให้คนนั้นกลับไปบ้านของตนเองและอย่าเข้าไปที่หมู่บ้านนั้นอีก

คำประกาศยอมรับของเปโตรเกี่ยวกับพระเยซู

(มัทธิว 16:13 – 20, มาระโก 8:27 – 30, ลูกา 9:18 – 21)

พระเยซูเดินทางไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ในแขวงซีซาริยา ฟีลิปปี ระหว่างทางขณะที่อธิษฐานอยู่ลำพัง พวกสาวกก็อยู่ที่นั่นด้วย พระองค์จึงถามพวกเขาว่าคนอื่น ๆ พูดกันว่าพระองค์คือใคร พวกสาวกตอบว่า บางคนว่าพระองค์คือยอห์นผู้ให้รับบัพติสมา บ้างก็ว่าเป็นเอลียาห์ บ้างก็ว่าเป็นเยเรมีย์ หรือเป็นหนึ่งในบรรดาผู้เผยพระวจนะที่กลับเป็นขึ้นมา พระเยซูจึงถามกลับไปว่าแล้วพวกสาวกคิดว่าพระองค์คือใคร เปโตรตอบว่าเป็นพระคริสต์ (ผุ้ที่รับการทรงเจิมไว้) ของพระเจ้า พระเยซูจึงตรัสว่า ท่านก็เป็นสุข เพราะมนุษย์ไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน แต่เป็นพระเจ้า และบอกว่าเปโตรหรือศิลานี้พระองค์จะสร้างคริสตจักรไว้ และพลังแห่งความตายจะชนะไม่ได้ พระองค์มอบกุญแจต่าง ๆ แห่งแผ่นดินสวรรค์ให้ สิ่งใดที่ท่านกล่าวห้ามในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ และสิ่งใดที่ท่านกล่าวอนุญาตในโลก สิ่งนั้นก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์ และพระเยซูทรงกำชับสาวกไม่ให้บอกใครว่าพระองค์คือพระคริสต์

พระเยซูทรงพยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ของพระองค์

(มัทธิว 16:21 – 28, มาระโก 8:31 – 9:1, ลูกา 9:22 – 27)

พระเยซูทรงกำชับพวกเขาทั้งหลายว่าไม่ให้บอกคนอื่นว่าพระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า และพระองค์ทรงเปิดเผยให้แก่เหล่าสาวกว่าพระองค์ต้องไปกรุงเยรูซาเล็มและต้องทนทุกข์ทรมานหลายอย่าง เพราะพวกผู้ใหญ่ พวกหัวหน้าปุโรหิต และพวกธรรมาจารย์ไม่ยอมรับพระองค์ และสุดท้ายต้องถูกประหารชีวิต แต่จะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เปโตรจึงดึงพระเยซูแยกออกไปต่างหากและทูลทักท้วงพระองค์ว่า อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย พระเยซูจึงว่าเปโตรว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น เพราะเจ้าคิดอย่างคน ไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า” พระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกว่าใครจะตามพระองค์ต้องปฏิเสธตัวเอง แบกกางเขนของตนและตามพระองค์ไป ใครจะเอาตัวรอดคนนั้นจะต้องตาย แต่ใครยอมตายเพราะพระองค์คนนั้นก็จะมีชีวิตรอด จะมีประโยชน์อะไรถ้าได้สิ่งของทั้งหมดในโลกแต่ต้องตาย หรือจะนำอะไรไปแลกเพื่อให้ไม่ตายก็ไม่ได้ พระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกครั้งพร้อมกับพวกทูตสวรรค์และจะตอบแทนแต่ละคนตามการกระทำของเขา ใครมีความอายในพระองค์หรือคำสอนของพระองค์ พระเยซูก็จะไม่ยอมรับคนนั้นด้วย พระเยซูบอกว่าในที่นี้จะมีบางคนที่จะยังไม่ตายจนกว่าจะเห็นพระองค์เสด็จมาอีกครั้ง

การทรงจำแลงพระกาย

(มัทธิว 17:1 – 13, มาระโก 9:2 – 13, ลูกา 9:28 – 36)

หลังจากนั้นหกวัน พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบและยอห์นน้องชายของยากอบขึ้นบนภูเขาสูงเพื่อจะอธิษฐาน ขณะพระเยซูกำลังอธิษฐานอยู่นั้น พระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ เสื้อผ้าของพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ ไม่มีช่างฟอกผ้าคนใดในโลกจะทำได้ มีสองคนมาปรากฏด้วยรัศมีคุยกับพระเยซูอยู่ คือโมเสสกับเอลียาห์ กำลังคุยเรื่องการจากไปของพระเยซูที่ใกล้จะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม พวกสาวกกำลังง่วงนอนมาก แต่เมื่อตื่นแล้วเห็นพระรัศมีของพระเยซูและอีกสองคน ก็มีความกลัว เมื่อสองคนนั้นกำลังจะจากไป เปโตรก็พูดว่าให้ทำเพิงที่นี่สามหลังสำหรับพระเยซู โมเสสและเอลียาห์ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเพราะกลัว แล้วมีเมฆมาปกคลุมพวกสาวกพร้อมกับพระสุรเสียงว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก จงเชื่อฟังท่านเถิด” พวกสาวกซบหน้าลงและกลัวมาก พระเยซูจึงเสด็จมาสัมผัสพวกเขาและบอกให้ลุกขึ้น ไม่ต้องกลัว เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ไม่เห็นใครยกเว้นแต่พระเยซูคนเดียว ขณะที่ลงจากภูเขาพระเยซูก็บอกว่าห้ามบอกเรื่องนี้แก่คนอื่นจนกว่าพระองค์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย พวกสาวกจึงเก็บเรื่องนี้ไว้ แต่ก็สงสัยว่าการเป็นขึ้นมาจากความตายนี่คืออะไร และพวกเขาถามพระเยซูว่าพวกธรรมาจารย์บอกว่าเอลียาห์ต้องมาก่อน พระเยซูบอกว่าเอลียาห์มาแล้ว และทำทุกสิ่งให้กลับสู่สภาพเดิม แต่พวกนั้นไม่รู้จักท่าน และได้ทำกับท่านตามที่เขาต้องการแล้วและยังมีคำเขียนไว้อีกว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกทอดทิ้งและทนทุกข์หลายประการเพราะพวกเขาเช่นกัน แล้วพวกสาวกจึงเข้าใจว่าพระเยซูทรงเล็งถึงยอห์นผู้ให้บัพติสมา

การทรงรักษาเด็กที่มีผีสิง

(มัทธิว 17:14 – 20, มาระโก 9:14 – 29, ลูกา 9:37 – 43)

วันรุ่งขึ้นเมื่อพระเยซูกับสาวกสามคนลงมาจากภูเขาก็มาหาเหล่าสาวกคนอื่น ๆ มีฝูงคนล้อมรอบเขาและพวกธรรมาจารย์กำลังถกเถียงกับเหล่าสาวกอยู่ เมื่อเห็นพระเยซูจึงวิ่งเข้ามาต้อนรับพระองค์ พระเยซูจึงถามพวกเขาว่าเถียงกันเรื่องอะไร ชายคนหนึ่งจึงทูลว่าเขาพาลูกชายมาหาพระองค์เพราะมีผีใบ้เข้าสิง ตอนที่มันเข้าสิงมันจะทำให้ลูกเขาล้มชัก น้ำลายฟูมปาก กัดฟัน และตัวแข็งทื่อ พวกสาวกของพระองค์ไม่สามารถขับผีตนนี้ออกได้ พระเยซูจึงพูดว่าคนยุคนี้ขาดความเชื่อ พระองค์ต้องอดทนและทนอยู่กับพวกเขานานแค่ไหน พระเยซูจึงให้พาเด็กคนนั้นมาหาพระองค์ เมื่อมาแล้ว ผีก็ทำให้เด็กล้มชักเกลือกกลิ้งบนดินทันทีและน้ำลายฟูมปาก พระเยซูถามพ่อเด็กว่าเป็นมานานแค่ไหน พ่อเด็กตอบว่าตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ผีจะทำให้เขาตกในกองไฟหรือน้ำเพื่อจะฆ่าเขาให้ตาย ถ้าพระองค์ทรงช่วยได้ ขอโปรดช่วยด้วยเถิด พระเยซูตรัสกับพ่อเด็กว่า “ ‘ถ้าช่วยได้’ น่ะหรือ? ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง” พ่อเด็กตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ และขอโปรดช่วยในส่วนที่ขาดอยู่ด้วยเถิด” เมื่อเห็นฝูงชนกำลังวิ่งเข้ามา พระเยซูจึงตรัสกับผีว่า เราสั่งให้ออกจากเด็กคนนี้และอย่ากลับมาสิงเขาอีก ผีจึงร้องเสียงดังและทำให้เด็กล้มชักอย่างรุนแรงและออกจากตัวเขา เด็กก็นอนแน่นิ่งอยู่ คนทั้งหลายก็นึกว่าเด็กได้ตายเสียแล้ว พระเยซูจึงจับมือพยุงเด็กนั้น แล้วเขาก็ยืนขึ้น ทุกคนก็ประหลาดใจในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในบ้าน พวกสาวกจึงมาถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่าทำไมถึงขับผีออกไม่ได้ พระเยซูบอกว่าเพราะพวกท่านมีความเชื่อน้อย ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเล็ก ๆ เมล็ดหนึ่ง ถ้าท่านสั่งภูเขาให้เคลื่อนไป มันก็จะเคลื่อน และจะไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกท่านเลย (สำเนาโบราณบางฉบับมีข้อ 21 ว่า “ผีแบบนี้จะขับออกได้ก็ด้วยการอธิษฐานและอดอาหารเท่านั้น“)

การทรงพยากรณ์อีกครั้ง ถึงการสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ของพระองค์

(มัทธิว 17:22 – 23, มาระโก 9:30 – 32, ลูกา 9:43 – 45)

พระเยซูกับพวกสาวกเสด็จออกจากที่นั่นและเดินทางผ่านแคว้นกาลิลีโดยไม่ประสงค์ให้คนอื่นรู้ เพราะพระเยซูกำลังสอนพวกสาวกว่าบุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือคนทั้งหลาย และจะถูกฆ่าตาย แต่ในวันที่สามพระเจ้าจะโปรดเป็นขึ้นมาใหม่ บรรดาสาวกก็เป็นทุกข์ แต่ก็ไม่เข้าใจความหมายและไม่กล้าถามพระเยซู

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : http://www.teamagee.com/the-life-of-peter-lesson-5-the-coin-matthew-1724-27-handouts-and-notes-are-now-online/

พระเยซูและค่าบำรุงพระวิหาร

(มัทธิว 17:24 – 27)

เมื่อมาถึงเมืองคาเปอรนาอูมแล้วผู้เก็บค่าบำรุงพระวิหารมาถามเปโตรว่าอาจารย์ท่านไม่เสียค่าบำรุงพระวิหารหรือ เปโตรตอบว่าเสีย เมื่อเปโตรกลับเข้าไปในบ้าน พระเยซูถามเขาว่าคิดเห็นอย่างไร กษัตริย์ในโลกนี้เก็บภาษีและส่วยจากใคร จากลูกหรือ? เปโตรตอบว่าจากคนอื่น พระเยซูตรัสว่าถ้าอย่างนั้นลูกก็ไม่ต้องเสีย แต่เพื่อไม่ให้พวกเขาสะดุด ให้เปโตรไปตกปลาในทะเล เมื่อได้ปลาตัวแรกให้เปิดปากมัน จะเจอเหรียญอันหนึ่ง แล้วให้เอาไปชำระค่าบำรุงพระวิหารสำหรับเปโตรและพระองค์เถิด

คนที่เป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดินสวรรค์

(มัทธิว 18:1 – 5, มาระโก 9:33 – 37, ลูกา 9:46 – 48)

พระเยซูได้เสด็จมายังเมืองคาเปอรนาอูม เมื่อเข้าไปในบ้านพระเยซูก็ถามพวกสาวกว่าระหว่างทางเถียงกันเรื่องอะไร พวกเขาก็นิ่งอยู่ แต่พระเยซูทรงทราบความคิดของเขา รู้ว่าเขาเถียงกันเรื่องใครจะเป็นใหญ่กว่ากัน พระเยซูทรงเรียกสาวกมาและตรัสว่า ใครต้องการจะเป็นคนแรกคนนั้นต้องเป็นคนสุดท้ายและรับใช้คนอื่น แล้วพระเยซูทรงนำเด็กมายืนท่ามกลางสาวกและอุ้มไว้และตรัสว่า ถ้าพวกสาวกไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ คนนี้ จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย ใครมีใจถ่อมเหมือนเด็กเล็ก ๆ ก็จะใหญ่สุดในแผ่นดินสวรรค์ และใครยอมรับเด็กเล็ก ๆ นี้ในนามของพระองค์ ก็ยอมรับพระองค์ และคนที่ยอมรับพระองค์ก็ยอมรับพระองค์ผู้ที่ทรงใช้พระเยซูมา

ผู้ที่ไม่ได้ต่อสู้พวกเราก็อยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเรา

(มาระโก 9:38 – 41, ลูกา 9:49 – 50)

ยอห์นบอกพระเยซูว่ามีคนหนึ่งขับผีออกในนามของพระองค์ และเขาได้ห้ามเอาไว้เพราะคนนั้นไม่ได้อยู่ในกลุ่มพวกเรา พระเยซูตรัสว่าอย่าห้ามเขาเลย เพราะคนที่ไม่ได้ต่อสู้พวกเราก็อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา ใครเอาน้ำถ้วยหนึ่งให้ท่านดื่มเพราะท่านเป็นฝ่ายเดียวกับพระคริสต์ คนนั้นจะไม่ขาดบำเหน็จเลย

การทดลองให้ทำบาป

(มัทธิว 18:6 – 9, มาระโก 9:42 – 50)

ถ้าใครทำให้ผู้เล็กน้อยสักคนนึงที่วางใจในพระเยซูหลงผิดไป เอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอคนนั้นและถ่วงที่ทะเลก็จะดีกว่า วิบัติแก่โลกที่ทำให้มีการหลงผิด และวิบัติแก่คนที่ทำให้คนอื่นหลงผิด ถ้ามือหรือเท้าของท่านทำให้ท่านหลงผิด ให้ตัดมือหรือเท้าทิ้ง เพราะเข้าสู่ชีวิตด้วยมือด้วน เท้าด้วน ดีกว่ามีสองมือหรือสองเท้าแต่ต้องตกนรกที่ไม่มีวันดับ ถ้าตาทำให้หลงผิดก็ให้ควักตาออก เพราะมีตาช้างเดียวในแผ่นดินสวรรค์ก็ดีกว่ามีสองตาแต่ต้องตกนรกซึ่งเป็นที่ที่ตัวหนอนไม่เคยตายและไฟไม่เคยดับ ทุกคนต้องถูกคลุกด้วยไฟอย่างกับคลุกด้วยเกลือ ถ้าเกลือหมดรสเค็มก็จะทำให้เค็มอีกไม่ได้ ท่านทั้งหลายจงมีเกลืออยู่ในตัวและอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : https://truthbook.com/quotes-about-life/the-true-shepherd

อุปมาเรื่องแกะหาย

(มัทธิว 18:10 – 14)

จงระวังอย่าดูหมิ่นคนเล็กน้อยเพราะทูตสวรรค์ของเขาคอยเฝ้าอยู่ ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะหนึ่งร้อยตัว หายไปหนึ่งตัว เขาจะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวและออกตามหาแกะที่หายหรือ และเมื่อพบแล้วเขาก็จะยินดีมากกว่าที่มีแกะเก้าสิบเก้าตัวที่ไม่ได้หลงไปนั้น พระบิดาของท่านบนสวรรค์ก็เหมือนกัน พระองค์ไม่ปรารถนาให้คนเล็กน้อยสักคนเดียวพินาศเลย

การตักเตือนผู้อื่นที่ทำความผิดบาป

(มัทธิว 18:15 – 20)

ถ้ามีพี่น้องทำผิดต่อท่าน ให้ไปคุยกับเขาสองต่อสอง ถ้าเขาฟัง ท่านก็จะได้พี่น้องกลับคืนมา แต่ถ้าไม่ฟังก็ให้พาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย เพื่อให้มีพยานยืนยัน ทุกคำจะได้เป็นหลักฐานได้

แต่ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้นก็ให้ไปแจ้งคริสตจักร ถ้าเขาไม่ฟังคริสตจักรก็ให้ถือว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี สิ่งใดที่ท่านกล่าวห้ามหรืออนุญาตในโลก ก็จะถูกกล่าวห้ามหรืออนุญาตในสวรรค์ด้วย ถ้าสองคนร่วมใจกันทูลขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาบนสวรรค์ก็จะทำสิ่งนั้นให้ มีสองสามคนประชุมกันที่ไหนในนามของพระเยซู พระองค์ก็จะอยู่ท่ามกลางพวกเขาที่นั่น

อุปมาเรื่องทาสที่ไม่ยอมให้อภัย

(มัทธิว 18:21 – 35)

เปโตรทูลถามพระเยซูว่าควรยกโทษพี่น้องที่ทำผิดต่อตนเองกี่ครั้ง ถึงเจ๊ดครั้งเลยหรือ พระเยซูตอบว่าพระองค์ไม่เคยบอกว่าเจ็ดครั้ง แต่เป็นเจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด พระเยซูตรัสว่า แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเจ้าองค์หนึ่งที่อยากจะคิดบัญชีกับทาสของตน มีทาสคนหนึ่งเป็นหนี้ 10,000 ตะลันต์ (1 ตะลันต์เท่ากับจำนวนเงินที่จ้างคนงานให้ทำงานมากกว่า 15 ปี) จึงรับสั่งให้ขายตัวเขาพร้อมเมียและลูก ทาสคนนั้นจึงอ้อนวอนขอเมตตา เจ้าองค์นั้นสงสารจึงปล่อยตัวและยกหนี้ให้ทั้งหมด เมื่อทาสคนนั้นออกไปก็พบเพื่อนทาสด้วยกันที่เป็นหนี้เขา 100 เดนาริอัน (1 เหรียญเดนาริอันเท่ากับค่าจ้างคนงาน 1 วัน) จึงบังคับให้ใช้หนี้ เพื่อนทาสคนนั้นอ้อนวอนขอความเมตตาแต่เขาก็ไม่ยอม จึงนำทาสลูกหนี้ไปขังคุกจนกว่าจะใช้หนี้ได้ เพื่อนทาสจึงนำเรื่องไปบอกเจ้าองค์นั้น ท่านจึงเรียกทาสมาและตรัสว่า ‘ไอ้ข้าชั่วร้าย เรายกหนี้ให้เอ็งทั้งหมด ก็เพราะเอ็งอ้อนวอนเรา เอ็งควรจะเมตตาเพื่อนทาสด้วยกัน เหมือนเราเมตตาเอ็งไม่ใช่หรือ? เจ้าองค์นั้นโกรธมากจึงให้เจ้าหนี้ทรมานเขาจนกว่าจะใช้หนี้หมด พระบิดาของเราบนสวรรค์ก็ทรงทำเช่นนั้น ถ้าพวกท่านไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจของท่าน

พวกน้องๆ ของพระเยซูไม่วางใจพระองค์

(ยอห์น 7:1-9)

หลังจากนั้นพระเยซูทรงเสด็จไปยังที่ต่าง ๆ ในแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่อยากไปแคว้นยูเดียเพราะมีคนต้องการที่จะฆ่าพระองค์ เวลานั้นใกล้เทศกาลอยู่เพิงของพวกยิว พวกน้อง ๆ ของพระเยซูจึงบอกให้พระองค์ไปแคว้นยูเดีย เพราะถ้าจะทำอะไรก็ต้องให้คนอื่นรู้ ไม่ใช่แอบทำเงียบ ๆ ในแคว้นกาลิลี แม้แต่พวกน้อง ๆ ของพระเยซูก็ไม่เชื่อว่าพระองค์คือพระคริสต์ พระเยซูตรัสกับพวกน้อง ๆ ว่าเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง โลกไม่ได้เกลียดชังน้อง แต่เกลียดพระองค์เพราะพระองค์บอกว่าการงานของโลกนี้ชั่วร้าย ให้พวกน้องไปเทศกาลอยู่เพิงเถิด และพระองค์ก็ประทับอยู่ในแคว้นกาลิลีต่อไป

<<  ย้อนกลับ | หน้าถัดไป   >>

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com