พระเจ้ามีจริงหรือ โลกที่เราอยู่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญหรือมีผู้สร้าง
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> รู้จักพระเยซู - อายุ 32 ปี เดือนที่ 1 - 6

รู้จักพระเยซู

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

การทำพันธกิจปีที่ 3

 

 

อุปมาเรื่องผู้หว่านพืช

(มัทธิว 13:1 – 9, มาระโก 4:1 – 9, ลูกา 8:4 – 8)

พระเยซูเสด็จจากบ้านไปที่ชายทะเล มีมหาชนมาหาพระองค์ พระองค์จึงเสด็จลงไปในเรือ และสอนเป็นคำอุปมาหลายเรื่อง เช่น มีคนหนึ่งออกไปหว่านพืช มีเมล็ดพืชตกตามหนทาง ถูกเหยียบย่ำ และนกก็มากินเสีย บ้างก็ตกบนพื้นหินมีดินน้อย จึงงอกขึ้นเร็วเพราะดินไม่ลึก แต่พอถูกแสงแดดแผดเผาก็เหี่ยวไปเพราะดินไม่ชื้นและรากไม่มี บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็ปกคลุมเลยไม่เกิดผล บ้างก็ตกบนดินดีและเจริญขึ้น เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง ใครมีหูจงฟังเถิด

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : https://sistersoniamhsh.files.wordpress.com/2015/06/02_parable_sower.jpg

จุดมุ่งหมายของอุปมา

(มัทธิว 13:10 – 17, มาระโก 4:10 – 12, ลูกา 8:9 – 10)

เมื่อฝูงชนไปแล้วคนที่อยู่รอบพระเยซูกับสาวกสิบสองคนก็ถามพระองค์ว่า ทำไมต้องพูดเป็นคำอุปมา พระเยซูตอบว่า ข้อความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์บอกให้ท่านรู้ได้ แต่คนนอกจะบอกเป็นคำอุปมาเท่านั้น ถึงเขาจะเห็นก็เหมือนไม่เห็น ได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน สภาพเขาจะเหมือนที่อิสยาห์ได้พยากรณ์ไว้ว่า “พวกเจ้าจะได้ยินกับหูก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่เห็น เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาของพวกเขาก็ปิด เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตา จะได้ยินด้วยหู และจะได้เข้าใจด้วยจิตใจ แล้วจะหันกลับมา และเราจะรักษาพวกเขาให้หาย” (อิสยาห์ 6:9 – 10)

พระเยซูบอกว่ามีผู้เผยพระวจนะและคนชอบธรรมจำนวนมากอยากเห็นและได้ยินเหมือนพวกท่าน แต่ก็ไม่มีโอกาส พวกท่านจงเป็นสุขเพราะสิ่งที่ท่านเห็นและได้ยินเถิด

พระเยซูทรงอธิบายอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช

(มัทธิว 13:18 – 23, มาระโก 4:13 – 20, ลูกา 8:11 – 15)

พระเยซูตรัสกับคนเหล่านั้นว่าถ้าอุปมาเรื่องนี้ท่านยังไม่เข้าใจ แล้วท่านจะเข้าใจอุปมาทั้งหมดได้อย่างไร เมล็ดพืชหมายถึงพระวจนะของพระเจ้า ผู้หว่านได้หว่านพระวจนะของพระเจ้าออกไป เมื่อคนที่ได้ยินเรื่องราวของแผ่นดินของพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารก็มาชิงเอาพระวจนะออกจากใจเขา เพื่อไม่ให้เขาเชื่อและรับความรอด นั่นคือเมล็ดพืชที่ตกตามริมทาง ส่วนเมล็ดพืชที่ตกตามหิน คือคนที่ได้ยินพระวจนะและรับทันทีด้วยความยินดีแต่ไม่หยั่งรากลึกลงในใจ จึงทนอยู่ได้ชั่วคราว เมื่อเกิดการยากลำบาก เกิดการข่มเหง หรือเกิดการทดลอง ก็เลิกเชื่อในทันที ส่วนที่ตกกลางดงหนาม คือคนที่ได้ยินพระวจนะแล้วความกังกลของโลก การลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ ความโลภในสิ่งต่าง ๆ ความสนุกสนานของชีวิตนี้ ได้ประดังเข้ามารัดพระวจนะ จึงไม่เกิดผล ส่วนพืชที่ตกในดินดี คือคนที่ได้ยินพระวจนะและรับไว้ มีความเข้าใจ จดจำด้วยใจที่ซื่อสัตย์ดีงาม จึงเกิดผลด้วยความทรหดอดทน ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง

ตะเกียงที่ตั้งอยู่ใต้ถัง

(มาระโก 4:21 – 25, ลูกา 8:16 – 18)

ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอาถังครอบไว้หรือวางไว้ใต้เตียง แต่จะตั้งไว้ที่เชิงตะเกียงเพื่อส่องสว่าง เพราะว่าทุกสิ่งที่ซ่อนหรือปิดบังจะต้องถูกนำมาเปิดเผย พระเยซูบอกให้มีใจจดจ่อต่อสิ่งที่ได้ยิน ถ้าเราให้คนอื่นปริมาณเท่าไร เราก็จะได้ตามจำนวนที่เท่ากัน และจะได้มากขึ้นไปอีก เพราะว่าใครที่มีอยู่แล้วจะทรงเพิ่มให้คนนั้น แต่คนที่ไม่มี แม้สิ่งที่เขามีอยู่นั้นก็จะทรงเอาไปจากเขา

อุปมาเรื่องเมล็ดพืชที่งอกขึ้น

(มาระโก 4:26 - 29)

พระเยซูบอกว่าแผ่นดินของพระเจ้าเปรียบเหมือนคนหว่านพืชลงไปในดิน คนนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย แต่แผ่นดินทำให้พืชงอกเป็นลำต้น จากนั้นก็ออกรวง และมีเมล็ดข้าวเต็มรวง เมื่อข้าวสุกก็เอาเคียวไปเกี่ยวข้าวทันที เพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว

อุปมาเรื่องข้าวละมานท่ามกลางต้นข้าวสาลี

(มัทธิว 13:24 - 30)

พระเยซูทรงยกคำอุปมาอีกเรื่องว่าแผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนคนที่หว่านข้าวในนาตน ตกกลางคืนมีศัตรูมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีที่หว่านไว้ เมื่อต้นข้าวงอกออกรวงข้าวละมานเลยปรากฏให้เห็น บรรดาทาสจึงแจ้งนายว่ามีข้าวละมานงอกในนา นายบอกว่าเป็นฝีมือของศัตรู ทาสจึงถามนายว่าจะให้ถอนข้าวละมานไหม แต่นายห้ามไว้เพราะกลัวจะถอนข้าวที่ดีด้วย ให้ทั้งสองเติบโตพร้อมกันจนถึงเวลาเกี่ยว แล้วให้เก็บข้าวละมานก่อน เอาไปเผาไฟ จากนั้นค่อยเก็บข้าวดีเก็บไว้ในยุ้งฉาง

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : http://lookbothwaysartandfaith.blogspot.com/2011/07/this-weeks-bible-comic-matthew-1331-33.html

อุปมาเรื่องเมล็ดพืช

(มัทธิว 13:31 – 32, มาระโก 4:30 – 32, ลูกา 13:18 – 19)

พระเยซูตรัสอีกว่าจะเปรียบแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนกับสิ่งใดดี ก็เหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ด (เมล็ดเล็ก ๆ ชนิดหนึ่งซึ่งมีในปาเลสไตน์ ต้นของมันขึ้นสูงถึงสามสี่เมตรและมีกิ่งก้าน) เมล็ดหนึ่งที่คนเอาไปปลูกในไร่ของตน ซึ่งเป็นเมล็ดที่เล็กกว่าพืชอื่น ๆ แต่พอโตขึ้นก็ใหญ่กว่าพืชผักทั้งหลายจนนกมาทำรังบนกิ่งก้านนั้น

อุปมาเรื่องเชื้อขนม

(มัทธิว 13:33, ลูกา 13:20 – 21)

พระเยซูยังเปรียบแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนกับเชื้อขนมที่ผู้หญิงคนหนึ่งใส่ลงไปในแป้งสามถังจนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น

การใช้อุปมา

(มัทธิว 13:34 - 35, มาระโก 4:33 – 34)

พระเยซูทรงตรัสกับฝูงชนทั้งหลายเป็นคำอุปมาเท่านั้น เพื่อที่จะได้สำเร็จตามคำพยากรณ์ที่กล่าวโดยผู้เผยพระวจนะว่า “เราจะอ้าปากกล่าวอุปมา เราจะกล่าวข้อความ ซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก” (สดุดี 78:2) แต่เมื่อพระองค์ทรงอยู่กับเหล่าสาวกตามลำพัง พระเยซูทรงอธิบายให้พวกเขาเข้าใจทั้งหมด

การทรงอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมาน

(มัทธิว 13:36 - 43)

เมื่อพระเยซูเสด็จจากฝูงชนเข้าไปในบ้าน พวกสาวกจึงถามความหมายของคำอุปมาเรื่องข้าวละมาน พระเยซูทรงอธิบายว่า ผู้หว่านเมล็ดพืชดีได้แก่บุตรมนุษย์ นาก็คือโลก เมล็ดพืชดีคือพลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า ข้าวละมานคือพลเมืองของมาร ฤดูเก็บเกี่ยวคือเวลาสิ้นยุค ผู้เกี่ยวได้แก่เหล่าทูตสวรรค์ เมื่อเวลาสิ้นยุคบุตรมนุษย์จะใช้ทูตสวรรค์ไปเก็บกวาดข้าวละมานหรือทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิดและคนที่ทำชั่ว เพื่อนำไปทิ้งที่เตาไฟ ที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เวลานั้นคนชอบธรรมจะอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าอย่างมีความสุข

อุปมาสามเรื่อง

(มัทธิว 13:44 - 50)

แผ่นดินพระเจ้าเปรียบเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ในทุ่งนา พอมีคนพบก็ซ่อนเอาไว้และยอมขายทุกสิ่งที่ตนเองมีอยู่เพื่อเอาเงินไปซื้อทุ่งนานั้น

แผ่นดินสวรรค์เหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี เมื่อพบไข่มุกเม็ดหนึ่งที่มีค่า ก็ยอมขายทุกอย่างเพื่อนำเงินไปซื้อไข่มุกนั้น

แผ่นดินสวรรค์เหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเลและติดปลาจำนวนมาก พอถึงฝั่งก็เลือกปลาที่ดีใส่ตะกร้า ที่ไม่ดีก็โยนทิ้งไป ในเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นเช่นนั้น ที่ทูตสวรรค์จะแยกคนดีออกจากชั่ว และจะทิ้งคนชั่วลงในเตาไฟที่ลุกโพลง ที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ทรัพย์เก่าและทรัพย์ใหม่

(มัทธิว 13:51 - 53)

พระเยซูถามว่าเข้าใจในสิ่งที่พระเยซูตรัสหรือไม่ พวกเขาตอบว่าเข้าใจ พระเยซูจึงบอกพวกเขาว่า พวกธรรมาจารย์ทุกคนที่รู้เรื่องแผ่นดินสวรรค์แล้ว ก็เหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทรัพย์เก่าและใหม่ออกจากคลังของตน เมื่อพระเยซูตรัสคำอุปมาเสร็จก็เสด็จออกไปจากที่นั่น

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : https://www.bible-history.com/new-testament/sea-of-galilee-time-of-christ.html

การทรงห้ามพายุ

(มัทธิว 8:18, มัทธิว 8:23 - 27, มาระโก 4:35 – 41, ลูกา 8:22 – 25)

ในเย็นวันนั้น พระเยซูทรงประทับในเรือและสั่งสอนประชาชน เมื่อพระเยซูทรงเห็นฝูงชนมาล้อมพระองค์ไว้ จึงตรัสสั่งให้ข้ามฟากไป และมีเรืออีกหลายลำตามไปด้วย เกิดพายุใหญ่ในทะเลสาบและน้ำพัดเข้าเรือจนเรือใกล้จะจม แต่พระเยซูกำลังนอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือ พวกสาวกจึงมาปลุกพระเยซูและร้องขอให้พระองค์ทรงช่วยเพราะเรือกำลังจะจมอยู่แล้ว พระเยซูจึงลุกขึ้นห้ามลมและตรัสกับทะเลว่า จงเงียบสงบ แล้วลมก็สงบ พายุก็เงียบลง พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่าทำไมถึงกลัว คนที่มีความเชื่อน้อย ความเชื่อของท่านทั้งหลายอยู่ที่ไหน? คนทั้งหลายก็เกรงกลัวและพูดกันว่าพระเยซูทรงเป็นใครกัน ถึงขนาดลมและทะเลยังเชื่อฟังพระองค์

การทรงรักษาคนผีเข้าที่แดนกาดารา

(มัทธิว 8:28 – 34, มาระโก 5:1 – 20, ลูกา 8:26 - 39)

พระเยซูกับพวกสาวก็ข้ามฟากมาอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นเขตแดนเมืองกาดารา (หรือเกรา-ซา) ซึ่งอยู่ตรงข้ามกาลิลี พอพระเยซูเสด็จขึ้นฝั่ง มีคนสองคนที่ถูกผีโสโครกเข้าสิงได้มาหาพระเยซูทันที ซึ่งเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ไม่ได้อาศัยอยู่ตามบ้านเรือน แต่อาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพมานานแล้ว มีคนเคยพยายามล่ามเขาด้วยโซ่ตรวนหลายครั้ง แต่เขาก็สามารถหักโซ่และฟาดโซ่ตรวนหลุดออกมาได้ ไม่มีใครมีแรงพอที่จะทำให้เขาสงบได้ เขาจะร้องคลั่งอื้ออึงและเอาหินเชือดเนื้อตัวเองอยู่เสมอตามอุโมงค์ฝังศพและบนภูเขาทั้งกลางวันและกลางคืน เขาทั้งสองดูน่ากลัวมากจนไม่มีใครกล้าเดินผ่านทางนั้น เมื่อเห็นพระเยซูแต่ไกลก็ร้องลั่นและวิ่งเข้ามากราบพระองค์ร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่พระเยซูบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระองค์มายุ่งกับข้าทำไม? ขออย่าทรมานข้าเลย” เพราะพระเยซูทรงสั่งให้ผีโสโครกออกจากการสิงคน พระเยซูทรงถามมันว่าชื่ออะไร มันตอบว่าชื่อกองพล เพราะว่ามันมีหลายตนด้วยกัน พวกมันอ้อนวอนพระเยซูว่าอย่าส่งพวกมันกลับไปยังนรกขุมลึกและขอไม่ให้ขับไล่พวกมันออกจากเขตแดนของเมืองนั้น ขณะนั้นมีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินที่ไหล่เขาใกล้ ๆ นั้น ผีเหล่านั้นจึงอ้อนวอนพระเยซูว่าถ้าขับพวกมันออก ก็ขอให้มันไปสิงที่สุกรฝูงนั้น พระองค์ก็ทรงอนุญาตและตรัสกับผีเหล่านั้นว่า “จงไป” ผีโสโครกเหล่านั้นจึงออกไปสิงในฝูงสุกรที่มีอยู่ประมาณสองพันตัว แล้วสุกรทั้งฝูงก็กระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเล และสำลักน้ำตายหมด พวกคนเลี้ยงสุกรต่างก็หนีไปและเล่าเรื่องนี้ให้คนฟังทั้งในเมืองและชนบท คนทั้งหลายก็ออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอเห็นคนที่เคยถูกผีทั้งกองเข้านุ่งห่มผ้ามีสติสัมปชัญญะ ก็รู้สึกกลัว คนทั้งหลายที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าให้คนที่มาฟังว่าเกิดอะไรกับชายสองคนนั้น ชาวเกรา-ซาและทุกคนที่อยู่ตามชนบทโดยรอบจึงขอให้พระเยซูเสด็จไปจากพวกเขา เพราะพวกเขากลัวมาก พระเยซูจึงเสด็จกลับลงเรือไป คนที่เคยถูกผีเข้าก็มาขอติดตามพระเยซูไปด้วย แต่พระเยซูสั่งให้กลับไปที่บ้านและเล่าให้ชาวเมืองฟังถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเพื่อเขา คนนั้นจึงทูลลาและเริ่มประกาศในแคว้นทศบุรีถึงสิ่งที่พระเยซูทรงทำเพื่อเขา และคนทั้งหลายก็ประหลาดใจ

บุตรสาวของไยรัสและหญิงที่ถูกต้องชายฉลองพระองค์ของพระเยซู

(มัทธิว 9:18 – 26, มาระโก 5:21 – 43, ลูกา 8:40 - 56)

พระเยซูเสด็จลงเรือข้ามฟากกลับไป ฝูงชนที่รอพระเยซูอยู่ต่างก็ต้อนรับและเข้าเฝ้าพระองค์ ขณะที่ยังอยู่ที่ริมฝั่งทะเลมีนายธรรมศาลาคนหนึ่งชื่อไยรัสมาหาพระเยซูและอ้อนวอนให้พระองค์เสด็จไปรักษาลูกสาวคนเดียวของเขาที่อายุ 12 ปี นอนป่วยใกล้ตายอยู่ที่บ้าน เมื่อพระเยซูกำลังเสด็จไป ฝูงชนก็เบียดเสียดพระองค์ มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกโลหิตมา 12 ปี แล้ว เธอได้ไปหาหมอมาหลายคนและเสียเงินกับการรักษาเป็นจำนวนมาก โรคก็ไม่หายแต่กลับหนักขึ้น พอผู้หญิงคนนั้นได้ยินเรื่องของพระเยซูจึงเดินเข้าไปท่ามกลางฝูงชนเพื่อไปข้างหลังพระเยซูและแอบแตะชายเสื้อของพระองค์ เพราะคิดว่าแค่เพียงได้แตะชายเสื้อของพระองค์เท่านั้นโรคของเธอก็จะหายได้ และโรคของหญิงคนนั้นก็หายไปทันที พระเยซูจึงหันไปถามว่าใครแตะต้องพระองค์ แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ เปโตรทูลพระองค์ว่าฝูงชนเบียดเสียดกันขนาดนี้พระองค์ก็ทรงเห็น พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์ทรงรู้สึกว่าฤทธิ์ซ่านออกจากตัวของพระองค์ ต้องมีคนแตะต้องพระองค์แน่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกกลัวและรู้ว่าไม่สามารถแอบต่อไปอีกได้จึงออกมายอมรับ พระเยซูจึงตรัสกับนางว่าที่หายก็เพราะเจ้าเชื่อ ให้กลับไปเป็นสุขเถิด ขณะที่กำลังตรัสนั้นคนจากบ้านนายธรรมศาลาก็มาบอกว่าลูกสาวตายแล้วอย่าไปรบกวนพระเยซูเลย แต่พระองค์ไม่ทรงสนพระทัย ตรัสว่า “อย่ากลัว จงเชื่อเท่านั้น แล้วลูกจะหายดี” พระเยซูไม่อนุญาตให้ใครไปด้วยยกเว้นเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ เมื่อไปถึงบ้านก็เห็นคนวุ่นวายและร้องไห้กันจำนวนมาก พระเยซูจึงตรัสว่าไม่ต้องร้องไห้ เด็กคนนั้นยังไม่ตายแต่หลับอยู่ คนก็พากันหัวเราะเยาะพระองค์เพราะรู้ดีว่าเด็กคนนั้นได้ตายไปแล้ว พระเยซูจึงไล่คนเหล่านั้นออกไป และให้พ่อแม่ของเด็กกับสาวกของพระองค์เข้าไปในที่ที่เด็กนั้นอยู่ พระเยซูทรงจับมือเด็กคนนั้นและตรัสว่า “เด็กหญิงเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” แล้ววิญญาณก็กลับเข้าไปในตัวเด็ก เขาก็ลุกขึ้นทันที พระเยซูจึงสั่งให้เอาอาหารมาให้เด็กกินและกำชับว่าอย่าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เป็นอันขาด แล้วเรื่องนี้ก็ลือไปทั่วแคว้นนั้น

การทรงรักษาคนตาบอดสองคน

(มัทธิว 9:27 – 31)

พอพระเยซูเสด็จออกไปจากที่นั่น ก็มีคนตาบอดสองคนมาหาพระเยซูและตะโกนร้องว่า “บุตรดาวิด (หมายถึง พระเมสสิยาห์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาจะประทานให้ ตามคำของผู้เผยพระวจนะ) เจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาพวกข้าพระองค์เถิด” เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในบ้านก็ถามคนตาบอดสองคนว่าเชื่อหรือไม่ว่าพระเยซูมีฤทธิ์ที่จะรักษาเขาได้ ทั้งสองคนจึงบอกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์เชื่อ” พระเยซูจึงทรงแตะต้องนัยน์ตาของทั้งสองคนและบอกว่าให้เป็นไปตามความเชื่อของเขา และทั้งสองคนก็มองเห็นอีก พระเยซูกำชับทั้งสองคนว่าห้ามบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ แต่เขาก็เอาไปเล่าจนคนรู้ทั่วทั้งแคว้นนั้น

การทรงรักษาคนที่เป็นใบ้

(มัทธิว 9:32 – 34)

เมื่อพระเยซูกำลังจะเสด็จออกไปพร้อมกับสาวก ก็มีคนพาคนใบ้ที่มีผีสิงมาหาพระองค์ พระเยซูจึงขับไล่ผีนั้นและเขาก็พูดได้อีก ฝูงชนต่างอัศจรรย์ใจเพราะไม่เคยเห็นมาก่อนในอิสราเอล แต่พวกฟาริสีกลับบอกว่าพระเยซูขับผีออกได้โดยนายผี

 

การเดินทางเพื่อเทศนาสั่งสอนตามที่ต่าง ๆ ในแคว้นกาลิลี ครั้งที่ 3

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : http://www.freebibleimages.org/illustrations/jesus-rejected-nazareth/

ชาวนาซาเร็ธไม่ยอมรับพระเยซู (ครั้งที่ 2)

(มัทธิว 13:54 – 58, มาระโก 6:1 - 6)

พระเยซูเสด็จไปที่นาซาเร็ธพร้อมกับสาวกของพระองค์ พอถึงวันสะบาโตก็ทรงสั่งสอนในธรรมศาลา คนที่ฟังก็พูดกันว่าพระเยซูได้สติปัญญาและฤทธิ์เดชมาจากไหน เพราะรู้ว่าพระองค์เป็นลูกช่างไม้ แม่ชื่อมารีย์ น้องชายของพระองค์คือยากอบ โยเซฟ ซีโมนและยูดาส และเขาก็รู้จักน้องสาวทั้งหมดของพระเยซูด้วย คนทั้งหลายต่างก็ปฏิเสธพระเยซู พระองค์จึงตรัสว่าผู้เผยพระวจนะไม่ขาดความเคารพยกเว้นในเมืองและญาติพี่น้องของตน พระเยซูไม่ได้ทำการอัศจรรย์ในเมืองนั้นมากนัก แค่รักษาบางคนให้หายโรค พระองค์ทรงประหลาดพระทัยที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ

พระเยซูทรงสงสารประชาชน

(มัทธิว 9:35 – 38)

พระเยซูเสด็จไปตามเมืองและหมู่บ้านโดยรอบ ทรงสั่งสอน ประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย พระเยซูทรงสงสารฝูงชนเพราะถูกรังควานและไร้ที่พึ่ง เหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง จึงตรัสว่าข้าวที่ต้องเกี่ยวมีมาก แต่คนงานยังน้อยอยู่ ดังนั้นต้องอธิษฐานขอพระเจ้าให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์

พันธกิจของอัครทูตสิบสองคน

(มัทธิว 10:5 – 15, มาระโก 6:7 – 13, ลูกา 9:1 - 6)

พระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา ทรงประทานฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจให้สามารถขับผีร้ายและรักษาโรคต่าง ๆ ได้ พระองค์ทรงให้พวกเขาออกไปเป็นคู่ ๆ เพื่อประกาศแผ่นดินของพระเจ้าและรักษาคนป่วยให้หาย ทรงรับสั่งว่าอย่าเข้าไปในที่อยู่ของคนต่างชาติและเมืองสะมาเรีย แต่ให้ไปหาคนอิสราเอลดีกว่า ให้ไปประกาศว่าแผ่นดินพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว ให้รักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนตายแล้วฟื้น จงทำให้คนโรคเรื้อนหายสะอาด จงขับผีออก จงทำโดยไม่คิดเงินทอง เพราะสาวกได้รับมาเปล่า ๆ ก็จงให้ไปเปล่า ๆ อย่าเอาย่ามหรือเงินไป แต่ให้สวมรองเท้าและเสื้อเพียงตัวเดียว เพราะคนทำงานก็สมควรได้อาหารกิน เมื่อไปถึงหมู่บ้านใดก็ให้หาว่าใครเหมาะสมที่จะไปพักด้วย เมื่อขึ้นบ้านก็ให้พรแก่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นสมควรได้รับพร ก็ให้สันติสุขแก่บ้านนั้น แต่ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรได้รับพร ก็ให้สันติสุขกลับมาสู่ตัวท่านอีกครั้ง ถ้าที่ไหนไม่ต้อนรับและไม่ฟังคำของท่าน เมื่อออกจากบ้านนั้นหรือเมืองนั้นก็ให้สะบัดผงคลีที่ติดที่เท้าออกเสียเพื่อเป็นสัญลักษณ์ และในวันพิพากษาโทษของเมืองโสโดม โกโมราห์ จะเบากว่าโทษของเมืองนั้น พวกสาวกก็ออกไปประกาศให้คนกลับใจใหม่ ขับผีออก และเอาน้ำมันชโลมเพื่อรักษาคนให้หายโรค

การข่มเหงที่จะมาถึง

(มัทธิว 10:16 – 25)

พระเยซูทรงใช้สาวกไปเหมือนกับแกะที่อยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า ดังนั้นจงฉลาดเหมือนงูและไม่มีพิษเหมือนนกพิราบ ให้ระวังว่าคนจะจับไปขึ้นศาลเพราะเรื่องของพระเยซู แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะพูดอะไร เพราะเมื่อถึงเวลาพระเจ้าจะประทานคำพูดให้กับพวกท่านเอง คนที่พูดไม่ใช่ตัวท่านแต่พระวิญญาณทรงตรัสผ่านทางตัวท่าน ให้ท่านรู้ว่าคนทั้งปวงจะเกลียดท่านเพราะพระนามของพระเยซู แต่คนที่สู้ทนจนถึงที่สุด จะได้รับความรอด ถ้าคนข่มเหงท่านในเมืองหนึ่ง ก็ให้หนีไปอีกเมือง ก่อนที่ท่านจะไปทั่วทุกเมืองในอิสราเอล บุตรมนุษย์จะเสด็จมา

ศิษย์เป็นไปได้มากสุดก็เสมอครู ทาสก็เสมอนาย ถ้าเขาเรียกเจ้าบ้านว่าเบเอลเซบูล (อีกชื่อหนึ่งของซาตาน) เขาก็จะเรียกลูกบ้านมากกว่านั้นอีก

ผู้ที่เราควรกลัว

(มัทธิว 10:26 – 31, ลูกา 12:1 - 7)

มีฝูงชนนับพันกำลังเบียดเสียดกันอยู่ พระเยซูทรงตรัสว่า ให้ระวังความหน้าซื่อใจคดของพวกฟาริสี ไม่มีอะไรที่จะเก็บเป็นความลับได้ตลอดไป สิ่งที่เรากล่าวในที่มืดก็จะปรากฏในที่แจ้ง สิ่งที่กระซิบที่หูก็จะถูกประกาศบนดาดฟ้าหลังคาบ้าน อย่ากลัวคนที่ฆ่าได้แต่กายแต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณได้ แต่ให้กลัวพระเจ้าที่สามารถทำลายทั้งร่างกายและส่งจิตวิญญาณของท่านให้ตกนรกได้ นกกระจาบสองตัวเขาขายหนึ่งอาส์ซาริอัน (หนึ่งอาส์ซาริอันเท่ากับ 1 ใน 16 ของหนึ่งเดนาริอัน ซึ่งหนึ่งเหรียญเดนาริอัน เป็นจำนวนเงินที่จ้างคนงานให้ทำงานวันหนึ่ง) ไม่ใช่หรือ? แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่โปรด นกเหล่านั้นจะไม่ตกลงถึงดินแม้แต่ตัวเดียว ผมของเราพระเจ้าก็นับไว้แล้ว ดังนั้นอย่ากลัวเลย เพราะเราประเสริฐกว่านกกระจาบมาก

การรับพระคริสต์ต่อหน้ามนุษย์

(มัทธิว 10:32 – 33, ลูกา 12:8 - 12)

ใครยอมรับพระเยซูต่อหน้ามนุษย์ พระองค์ก็จะยอมรับคนนั้นต่อหน้าพระเจ้าเช่นกัน แต่ถ้าใครไม่ยอมรับพระองค์ พระองค์ก็จะไม่ยอมรับคนนั้นต่อหน้าพระเจ้าผู้ทรงสถิตในสวรรค์เช่นกัน

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : https://www.heartlight.org/spurgeon/1228-pm.html

ไม่ได้นำสันติภาพแต่นำดาบมา

(มัทธิว 10:34 – 39)

พระเยซูไม่ได้นำสันติภาพมาสู่โลก แต่นำความแตกแยกมา เหมือนในมีคาห์ 7:6 ที่บอกไว้ว่า “ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน ลูกสาวหมางใจกับมารดา ลูกสะใภ้หมางใจกับแม่ผัว และ ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกันก็จะเป็นศัตรูต่อกัน” ใครรักพ่อแม่ ลูกชายหญิงมากกว่ารักพระเยซู ใครไม่แบกกางเขนของตนตามพระเยซู ก็ไม่ควรค่ากับพระองค์ ใครจะเอาชีวิตรอดก็ต้องตาย แต่ใครยอมตายเพราะเห็นแก่พระเยซู คนนั้นก็จะรอด

บำเหน็จ

(มัทธิว 10:40 – 42)

คนที่ต้อนรับสาวกของพระเยซู ก็ต้อนรับพระเยซูด้วย และใครที่ต้อนรับพระเยซูก็ต้อนรับพระเจ้าเช่นกัน คนที่ต้อนรับผู้เผยพระวจนะเพราะเป็นผู้เผยพระวจนะ คนที่ต้อนรับคนชอบธรรมเพราะเป็นผู้ชอบธรรม ก็จะได้รับบำเหน็จอย่างที่ผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมจะได้รับ ใครก็ตามแค่ให้น้ำเย็นแก้วนึงแก่สาวกของพระองค์ ก็จะได้รับบำเหน็จเช่นกัน

เมื่อพระเยซูสั่งสาวกสิบสองคนเสร็จแล้วก็ออกไปสั่งสอนและประกาศในเมืองต่าง ๆ (มัทธิว 11:1) พวกสาวกจึงออกไปประกาศข่าวประเสริฐตามหมู่บ้าน รักษาโรคและขับผีหลายตนออกไป (มาระโก 6:12 – 13, ลูกา 9:6)

ความสับสนของกษัตริย์เฮโรด

(มัทธิว 14:1 – 2, มาระโก 6:14 – 16, ลูกา 9:7 - 9)
เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินกิติศัพท์ต่าง ๆ ของพระเยซูก็รู้สึกสับสน บางคนก็พูดว่าพระองค์คือยอห์นผู้ให้บัพติสมาที่ฟื้นขึ้นจากตาย เลยทำการอัศจรรย์ได้ บ้างก็ว่าเป็นเอลียาห์ บ้างก็ว่าเป็นผู้เผยพระวจนะเหมือนผู้เผยพระวจนะในอดีต เฮโรดจึงพูดว่ายอห์นนั้นพระองค์ทรงตัดศีรษะไปแล้ว ชายผู้นี้เป็นใครกันแน่ เฮโรดจึงหาโอกาสที่จะพบกับพระเยซู

การตายของยอห์นผู้ให้บัพติศมา

(มัทธิว 14:3 – 12, มาระโก 6:17 – 29)

กษัตริย์เฮโรดได้นำภรรยาของน้องชายคือฟิลลิปชื่อนางเฮโรเดียสมาเป็นภรรยา ยอห์นจึงเตือนเฮโรดว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น นางเฮโรเดียสจึงผูกพยาบาทยอห์นและอย่าฆ่าให้ตายแต่ทำไม่ได้เพราะเฮโรดเกรงกลัวยอห์นซึ่งเป็นคนชอบธรรมจึงปกป้องยอห์นไว้ ในวันเกิดของกษัตริย์เฮโรดลูกสาวนางเฮโรเดียสมาเต้นรำถวาย ทำให้กษัตริย์เฮโรดและแขกทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นพวกขุนนาง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ และคนสำคัญต่าง ๆ ชอบใจเป็นอันมาก เฮโรดจึงบอกว่าจะขออะไรก็ได้ จะให้ถึงขนาดครึ่งนึงของราชสมบัติ เมื่อไปปรึกษากับแม่ แม่จึงบอกให้ขอศรีษะของยอห์นผู้ให้บัพติสมา เพราะเห็นแก่หน้าแขกและขัดไม่ได้ กษัตริย์เอโรดจึงสั่งให้เพชฌฆาตไปตัดหัวยอห์นมาให้ลูกสาวของนางเฮโรเดียส เมื่อศิษย์ของยอห์นรู้เรื่องจึงนำศพยอห์นไปฝังไว้ในอุโมงค์และมาทูลให้พระเยซูทรงทราบ

การทรงเลี้ยงคนห้าพันคน

(มัทธิว 14:13 – 21, มาระโก 6:30 – 44, ลูกา 9:10 - 17, ยอห์น 6:1 - 15)

เมื่อใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของพวกยิว พวกอัครทูต (แปลว่าผู้ที่ทรงใช้ไป) มาหาพระเยซูและเล่าสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ทำและสั่งสอน จากนั้นพระเยซูจึงให้ทุกคนไปกับพระองค์เพื่อหาที่สงบพักผ่อน เพราะมีคนมากจนไม่มีเวลารับประทานอาหาร พระเยซูจึงลงเรือพร้อมกับสาวกของพระองค์ข้ามทะเลสาบกาลิลีที่เรียกว่าทะเลทิเบเรียส เพื่อจะไปใกล้ ๆ เมืองเบธไซดา มีคนจำนวนมากเห็นและจำพระองค์ได้ จึงพากันออกมาจากเมืองต่าง ๆ วิ่งไปถึงที่หมายล่วงหน้าก่อนพระเยซู เมื่อพระเยซูขึ้นจากเรือเห็นฝูงชนจำนวนมากก็ทรงสงสาร จึงสั่งสอนเขาถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าและรักษาโรคต่าง ๆ ให้หาย พอใกล้ค่ำสาวกของพระเยซูจึงมาทูลให้พระองค์บอกให้ฝูงชนกลับบ้านเพราะที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดาร พวกเขาจะได้ไปหาซื้ออาหารตามชนบทและหมู่บ้านที่อยู่ในแถบนั้นได้ ประชาชนที่มากันนั้นมีผู้ชายประมาณห้าพันคนไม่รวมผู้หญิงและเด็ก พระเยซูจึงตรัสกับสาวกว่าให้เลี้ยงฝูงชนเหล่านี้เถิด พระองค์ทรงถามฟีลิปเพื่อจะทดสอบเขาว่าจะซื้ออาหารให้ประชาชนเหล่านี้ได้ที่ไหน เพราะพระเยซูทรงทราบอยู่แล้วว่าจะทำประการใด ฟีลิปบอกว่าสองร้อยเหรียญเดนาริอัน (หนึ่งเหรียญเดนาริอันเท่ากับค่าจ้างคนงานหนึ่งวัน) ก็ยังไม่พอซื้ออาหารให้คนเหล่านี้ได้ อันดูรว์น้องชายของเปโตรบอกว่ามีเด็กคนหนึ่งมีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่แค่นี้ก็คงไม่พอสำหรับคนมากเข่นนี้ พระเยซูจึงสั่งให้ประชาชนนั่งลงเป็นหมู่ ๆ หมู่ละห้าสิบถึงร้อยคน เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวมาแล้วก็อธิษฐานขอพระพร จากนั้นก็หักขนมปังและแบ่งปลาให้สาวกเอาไปแจกคนทั้งปวง ประชาชนได้กินอิ่มกันทุกคน พระเยซูจึงสั่งให้สาวกเก็บเศษอาหารที่เหลืออย่าให้มีอะไรตกหล่น สาวกเก็บอาหารที่เหลือได้ถึงสิบสองตระกร้า

ประวัติเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ประสูติจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และเสด็จสู่สวรรค์เพื่อเตรียมบ้านให้สำหรับคนที่เชื่อในพระองค์ จะได้ไปอยู่กับพระองต์ในวันสุดท้าย ที่มา : http://thelandandthebook.blogspot.com/2011/11/where-did-jesus-walk-on-water.html

พระเยซูทรงดำเนินบนทะเล

(มัทธิว 14:22 – 33, มาระโก 6:45 – 52, ยอห์น 6:16 - 21)

พอค่ำลงพระเยซูทรงรับสั่งให้สาวกลงเรือทันทีข้ามฝากไปยังคาเปอรนาอูมก่อนพระองค์ ในขณะที่พระองค์ทรงส่งฝูงชนกลับบ้าน เมื่อฝูงชนเห็นก็พูดกันว่าพระเยซูคือผู้เผยพระวจนะที่จะมานั้น จึงจะมาจับพระองค์เพื่อไปแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ พอพระเยซูทรงทราบก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาตามลำพัง ในขณะที่สาวกกำลังพายเรืออยู่ในทะเล ในเวลานั้นทะเลมมีลมแรง เรือถูกคลื่นซัดเพราะทวนลมอยู่ เมื่อสาวกตีกรรเชียงเรือด้วยความลำบากไปได้ประมาณห้าถึงหกกิโลเมตร ตอนนั้นเป็นเวลายามที่สี่ (ระหว่างตีสามถึงหกโมงเช้า)

พระเยซูทรงดำเนินบนทะเลไปยังพวกสาวกและดูเหมือนว่าจะเดินเลยไป เมื่อสาวกเห็นพระเยซูก็ร้องตกใจด้วยความกลัวเพราะคิดว่าเป็นผี พระเยซูจึงตรัสว่าไม่ต้องกลัวเพราะนี่คือพระองค์เอง เปโตรจึงบอกว่าถ้าเป็นพระองค์จริง ๆ ขอให้เขาได้เดินไปหาพระองค์ด้วย พระเยซูอนุญาต เปโตรจึงเดินบนน้ำไปหาพระองค์ เมื่อเห็นลมแรงก็กลัวจึงจมลงและร้องให้พระเยซูช่วย พระเยซูจึงจับมือเปโตรและพาไปที่เรือพร้อมกับถามว่าสงสัยทำไม ทำไมถึงมีความเชื่อน้อย เมื่อทั้งสองขึ้นเรือแล้วลมก็สงบ และทันใดนั้นพวกเขาก็ถึงฝั่งที่จะไปนั้น พวกสาวกก็ประหลาดใจมาก เพราะเรื่องขนมปังก็ยังไม่เข้าใจอยู่เนื่องจากใจพวกเขาแข็งกระด้าง แต่พวกเขาก็มากราบนมัสการพระเยซูและยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า

พระเยซูคืออาหารแห่งชีวิต

(ยอห์น 6:22 - 59)

วันรุ่งขึ้นประชาชนที่เหลืออยู่อีกฝั่งหนึ่งเห็นว่าเดิมมีเรืออยู่เพียงแค่ลำเดียวและพระเยซูไม่ได้ไปพร้อมกับพวกสาวก จึงได้ออกตามหาพระเยซูแต่ก็ไม่พบ ขณะนั้นมีเรือลำอื่น ๆ จากทิเบเรียสผ่านมาแถวนั้นพวกประชาชนจึงลงเรือไปตามหาพระเยซูที่เมืองคารเปอรนาอูม เมื่อเขาพบพระเยซูอยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ถามพระองค์ว่าเสด็จมาตั้งแต่เมื่อไร พระเยซูตอบพวกเขาว่าที่เขาตามหาพระองค์ไม่ใช่เพราะเห็นหมายสำคัญแต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม อย่าทำงานเพื่ออาหารที่จะเสื่อมสูญได้ แต่เพื่ออาหารที่คงทนอยู่จนถึงชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระเยซูจะเป็นคนมอบให้พวกท่านเพราะพระเจ้าได้ทรงรับรองพระเยซูแล้ว ประชาชนจึงถามว่าต้องทำอะไรบ้างจึงจะทำงานของพระเจ้าได้ พระเยซูตอบว่าให้วางใจในพระองค์ ประชาชนจึงขอหมายสำคัญจากพระเยซูเพื่อจะได้เห็นและวางใจ เพราะในสมัยบรรพบุรุษของเขา โมเสสได้ให้มานาในถิ่นทุรกันดารซึ่งเป็นอาหารจากสวรรค์ (อพยพ 16:31) พระเยซูตรัสว่าโมเสสไม่ได้เป็นคนให้แต่พระบิดาของพระองค์ต่างหากเป็นผู้ให้ อาหารของพระเจ้าก็คือผู้ที่ลงมาจากสวรรค์และประทานชีวิตให้กับโลก ประชาชนจึงขออาหารนั้นให้แก่พวกเขาตลอดไป พระเยซูจึงตอบว่าพระองค์เป็นอาหารแห่งชีวิต คนที่มาหาพระองค์จะไม่หิว คนที่วางใจในพระองค์จะไม่กระหายอีกเลย พระเยซูลงมาจากสวรรค์เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงใช้พระองค์มา ซึ่งก็คือให้รักษาทุกสิ่งที่มอบไว้ให้กับพระเยซูไม่ให้หายไปสักสิ่งเดียวแต่ให้เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย พระประสงค์ของพระบิดาก็คือผู้ที่วางใจในพระบุตรจะมีชีวิตนิรันดร์และจะเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย พวกยิวจึงซุบซิบกันเพราะพระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ เพราะเขารู้จักพ่อแม่ของพระเยซู แล้วพระองค์มาพูดได้ยังไงว่าลงมาจากสวรรค์ พระเยซูจึงตรัสว่าอย่าซุบซิบเลย ไม่มีใครเชื่อพระเยซูได้นอกจากคนที่พระเจ้าทรงเลือกและพระเยซูจะให้คนนั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย พระองค์ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต บรรพบุรุษของท่านได้กินมานาแต่ก็ยังต้องตาย แต่พระองค์เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ คนที่กินแล้วก็จะไม่ตาย อาหารที่พระเยซูจะให้แก่โลกนี้ก็คือเลือดและเนื้อของพระองค์ คนยิวจึงเถียงกันว่าพระเยซูจะเอาเนื้อของพระองค์ให้กินได้ยังไง พระเยซูตรัสว่าคนที่กินเนื้อและเลือดของพระองค์เท่านั้นถึงจะมีชีวิตและจะเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะเนื้อของพระองค์เป็นอาหารแท้ โลหิตของพระองค์เป็นเครื่องดื่มแท้ คำเหล่านี้พระเยซูทรงตรัสในธรรมศาลาขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนในเมืองคาเปอรนาอูม

ถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์

(ยอห์น 6:60 - 71)

เมื่อพวกสาวกของพระเยซูได้ยินก็พูดว่าคำสอนนี้ยากมาก ใครจะรับได้ พระเยซูทรงทราบว่าพวกสาวกซุบซิบกันจึงตรัสว่า เรื่องนี้ทำให้พวกท่านสะดุดหรือ ถ้าท่านเห็นบุตรมนุษย์เสด็จขึ้นไปบนสวรรค์แล้วพวกท่านจะว่ายังไง ถ้อยคำที่พระเยซูได้กล่าวเป็นมาจากพระวิญญาณและเป็นชีวิต แต่ก็มีบางคนที่ไม่เชื่อ เพราะพระเยซูทรงทราบแต่แรกแล้วว่าใครไม่เชื่อและใครที่จะทรยศพระองค์ พระเยซูตรัสอีกว่า นี่คือสาเหตุที่พระองค์ทรงบอกว่าไม่มีใครมาถึงพระองค์ได้นอกจากพระบิดาจะทรงโปรดคนนั้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสาวกของพระองค์หลายคนก็เลิกติดตามพระองค์ พระเยซูจึงถามสาวกสิบสองคนว่าพวกเขาจะจากพระองค์ไปด้วยหรือ เปโตรจึงตอบว่าพวกเขาจะจากและไปหาใครได้ เพราะพระองค์มีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์ พวกเขาทั้งหลายรู้และเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ (ผู้ที่ได้รับการทรงเจิม) พระเยซูจึงตรัสว่าพระองค์ทรงเลือกทั้งสิบสองคนนี้แต่มีคนหนึ่งเป็นพวกของมารร้าย พระเยซูทรงหมายถึงยูดาสลูกของซีโมนอิสคาริโอทซึ่งจะเป็นผู้ที่จะทรยศพระองค์

การทรงรักษาคนป่วยในเยนเนซาเรท

(มัทธิว 14:34 – 36, มาระโก 6:53 – 56)

เมื่อข้ามฝากไปแล้วก็จอดเรือที่แขวงเยเนซาเรท พอขึ้นจากเรือคนทั้งหลายก็จำพระเยซูได้ทันที จึงส่งข่าวไปทั่วแคว้นนั้นและนำคนเจ็บป่วยใส่แคร่หามมายังที่ที่พระเยซูทรงประทับ ไม่ว่าพระเยซูจะเสด็จไปที่ใด ในหมู่บ้าน ในเมือง หรือในชนบท ผู้คนก็จะเอาคนเจ็บป่วยมาวางกลางตลาดและทูลขอให้ได้แตะต้องชายฉลองของพระองค์ และทุกคนที่แตะก็หายป่วย


<<  ย้อนกลับ | หน้าถัดไป   >>

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com