เว็บสยามคริสเตียน > รู้จักพระเยซู - อายุ 31 ปี เดือนที่ 7 - 12
เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์
สาวกเด็ดรวงข้าวในวันสะบาโต
(มัทธิว 12:1 - 8, มาระโก 2:23 – 28, ลูกา 6:1 - 5)
ต่อมาพระเยซูเสด็จผ่านทุ่งนาในวันสะบาโต (เป็นวันหยุดพักและนมัสการพระเจ้า ตั้งขึ้นตามธรรมบัญญัติ ดู อพยพ 20:8-11) สาวกของพระองค์หิวจึงเด็ดข้าวขยี้ด้วยมือแล้วกิน (เฉลยธรรมบัญญัติ 23:25 บอกว่าใช้มือเด็ดรวงข้าวเพื่อนบ้านได้ไม่ผิด) พอพวกฟาริสีเห็นก็ฟ้องพระเยซูว่าทำผิดกฎวันสะบาโต
พระเยซูจึงยกเรื่องดาวิดในสมัยที่อาบียาธาร์เป็นมหาปุโรหิต ว่าดาวิดและพรรคพวกหิว จึงเข้าไปในพระวิหารและกินขนมปังเฉพาะพระพักตร์ (1 ซามูเอล 21:1-6) ซึ่งมีแต่พวกปุโรหิตเท่านั้นที่กินได้ (เลวีนิติ 24:9) พระเยซูบอกว่าเรื่องวันสะบาโตก็ย่อมมีข้อยกเว้น ธรรมบัญญัติได้ยกเว้นให้ปุโรหิตทำงานในวันสะบาโตได้ ไม่ผิด (กันดารวิถี 28:9-10) พระเยซูบอกว่าถ้าท่านเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ที่ว่า “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา” (โอเชยา 6:6) พวกท่านก็คงไม่ตัดสินลงโทษคนที่ไม่มีความผิด วันสะบาโตตั้งไว้สำหรับมนุษย์ ไม่ใช่สร้างมนุษย์เพื่อวันสะบาโต ดังนั้นบุตรมนุษย์จึงเป็นใหญ่เหนือวันสะบาโต
ชายที่มือข้างหนึ่งลีบ
(มัทธิว 12:9 - 14, มาระโก 3:1 – 6, ลูกา 6:6 - 11)
ในวันสะบาโตอีกวันหนึ่ง พระเยซูเสด็จเข้าไปในธรรมศาลาเพื่อสั่งสอน มีชายคนหนึ่งมือขวาลีบนั่งอยู่ที่นั่นด้วย คนทั้งหลายถามพระเยซูว่าสามารถรักษาโรคในวันสะบาโตได้หรือไม่ พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีก็คอยจับตาดูพระเยซูเพื่อจะหาเรื่องเอาผิดพระองค์ พระเยซูทราบความคิดของคนเหล่านั้นจึงถามคนทั้งปวงว่าควรจะทำการดีหรือทำการร้ายในวันสะบาโต พระเยซูตรัสว่าถ้ามีคนที่มีแกะอยู่แค่ตัวเดียว แล้วแกะตกลงไปในบ่อในวันสะบาโต เขาก็คงจะช่วยแกะนั้นขึ้นมา แล้วมนุษย์ไม่ประเสริฐกว่าแกะหรือ ดังนั้นจึงอนุญาตให้ทำความดีในวันสะบาโตได้ จากนั้นพระเยซูก็เรียกชายมือลีบให้ออกมาข้างหน้า และบอกให้เหยียดมือออก เมื่อเขาทำตาม มือของเขาก็หายเป็นปกติ พวกฟาริสีจึงโกรธแค้นพระเยซูมาก จึงออกไปปรึกษากับพรรคพวกของเฮโรดว่าทำยังไงถึงจะฆ่าพระเยซูได้
ผู้รับใช้ที่ทรงเลือก
(มัทธิว 12:15 - 21, มาระโก 3:7 – 12)
พระเยซูรู้ว่าคนเหล่านั้นต้องการจะทำอะไร จึงเสด็จออกจากธรรมาศาลาไปยังทะเลสาบ มีคนเป็นอันมากตามพระเยซูไป คนเหล่านั้นมาจากแคว้นกาลิลี แคว้นยูเดีย กรุงเยรูซาเล็ม จากเอโดม จากแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก จากแคว้นเมืองไทระและไซดอน มีคนจำนวนมากมาเบียดเสียดเข้ามาเพื่อจะได้ถูกตัวพระองค์ พระเยซูจึงสั่งให้สาวกเอาเรือมารับพระองค์ พระองค์ก็รักษาคนเหล่านั้นให้หายโรคและขับผีออกจากเขาเหล่านั้น พวกผีก็หมอบกราบพระเยซูและร้องบอกว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า” พระเยซูจึงกำชับไม่ให้บอกว่าพระองค์คือใคร เพื่อจะได้สำเร็จตามคำพยากรณ์ที่ได้พยากรณ์เล็งถึงพระองค์ ในพระธรรม อิสยาห์ 42:1-4
การทรงเลือกสาวกสิบสองคน
(มัทธิว 10:1 - 4, มาระโก 3:13 – 19, ลูกา 6:12 - 16)
พระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขาและทรงอธิษฐานตลอดคืน พอรุ่งเช้าพระองค์ทรงเรียกสาวกมา ทรงเลือก 12 คน และเรียกคนเหล่านั้นว่าอัครทูต (แปลว่าผู้ที่ทรงใช้ไป) พระองค์ทรงใช้คนเหล่านั้นออกไปประกาศและประทานสิทธิอำนาจในการขับผี สามารถรักษาโรคและความเจ็บป่วยทุกอย่างให้หายได้ สิบสองคนที่เลือกนั้นมีชื่อดังนี้ ซีโมน (พระองค์ประทานอีกชื่อว่าเปโตร) อันดรูว์น้องชายของเปโตร ยากอบบุตรเศเบดีกับยอห์นน้องของยากอบ (ทั้งสองคนนี้พระองค์ประทานอีกชื่อหนึ่งว่า โบอาเนอเย แปลว่า ลูกฟ้าร้อง) ฟีลิป บารโธโลมิว มัทธิวคนเก็บภาษี โธมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ธัดเดอัสผู้มีอีกชื่อหนึ่งว่าเลบเบอัส (ลูกา 6:16 ใช้ชื่อ ยูดาสบุตรของยากอบ) ซีโมน พรรคชาตินิยม ที่เรียกกันว่าเศโลเท (ภาษากรีกคือ คานาไนโอส แปลว่า พวกเอาจริงเอาจัง) และยูดาสอิสคาริโอท คนที่ทรยศพระองค์
การทรงปรนนิบัติมวลชน
พระเยซูและอัครทูตพร้อมทั้งสาวกคนอื่น ๆ ลงมาที่ราบแห่งหนึ่ง มีประชาชนจำนวนมากมาหาพระองค์ทั้งจากแคว้นยูเดีย กรุงเยรูซาเล็ม เมืองไทระและเมืองไซดอน เพื่อจะฟังคำสอนและให้พระเยซูรักษาโรค รวมทั้งคนที่ถูกผีเข้าสิงก็ได้รับการรักษาด้วย คนต่าง ๆ พยายามแตะต้องพระเยซู เพราะมีฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์และรักษาทุกคนให้หาย
พระเยซูไม่ได้แค่รักษาโรคและสำแดงการอัศจรรย์เพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าเท่านั้น แต่พระองค์ยังคงให้คำสอนที่ยิ่งใหญ่แก่พวกเราทุกคนด้วย เมื่อพระเยซูทรงเห็นฝูงชนจำนวนมาก จึงเสด็จขึ้นไปบนภูเขา เมื่อหยุดพักแล้วพระองค์ก็ได้สอนเหล่าสาวกของพระองค์ดังนี้
ผู้เป็นสุข
พระเยซูบอกว่าผู้เป็นสุขคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และมอบทุกสิ่งให้พระองค์ทรงดูแล ไม่ว่าจะเป็นคนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณ เขาก็เป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา คนที่โศกเศร้าก็ได้รับการหนุนใจ คนสุภาพอ่อนโยนก็ได้แผ่นดินโลกเป็นมรดก คนที่หิวและกระหายพระเจ้าก็ทรงทำให้อิ่ม คนที่มีใจเมตตาพระเจ้าก็ทรงเมตตาตอบ คนที่มีใจบริสุทธิ์ก็จะได้เห็นพระเจ้า คนสร้างสันติพระเจ้าทรงเรียกว่าเป็นลูก คนที่ถูกข่มเหงเพราะความชอบธรรมแผ่นดินสวรรค์ก็เป็นของเขา ถ้าหากเราถูกคนสร้างเรื่องเท็จใส่ร้ายเพราะเรื่องเชื่อพระเยซูก็เป็นสุข เพราะเราจะได้บำเหน็จมากมายบนสวรรค์
พรและวิบัติ
คนที่ยากจน อดอยากและร้องไห้ก็เป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา และเขาจะได้อิ่มท้องและหัวเราะ และคนที่ถูกเกลียดชัง ถูกหาว่าเป็นคนชั่วเพราะเห็นแก่พระเยซูก็เป็นสุข เพราะบำเหน็จจะมีบริบูรณ์ในสวรรค์ แต่วิบัติสำหรับคนที่ร่ำรวย อิ่มท้องและหัวเราะ เพราะท่านได้รับความสะดวกสบายแล้ว ท่านจะอดอยากและร้องไห้
เกลือและความสว่าง
เกลือเป็นสิ่งมีค่า ช่วยปรุงรสอาหาร ช่วยถนอมอาหาร พระเยซูบอกว่าคนที่เชื่อในพระองค์ก็เปรียบเหมือนเกลือของโลกนี้ ถ้าเราไม่มีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง ไม่บอกเรื่องข่าวดีของพระเจ้าให้พวกเขาฟัง ไม่บอกวิธีที่จะทำให้ตนเองเป็นผู้เป็นสุข เราก็เหมือนเกลือที่หมดรสเค็ม แม้ภายนอกจะดูเหมือนเกลือทั่วไป แต่ก็ไร้ประโยชน์ ต้องทิ้งไปเท่านั้น
พระเยซูยังเปรียบผู้ที่เชื่อในพระองค์เหมือนแสงสว่างของโลกนี้ โลกนี้อยู่ในความมืด อยู่ในความบาป ต้องการแสงสว่างส่องเพื่อจะได้มองเห็น พระเยซูบอกว่าอย่าให้อะไรมาบังแสงสว่างนี้ได้ เพราะเมื่อคนได้เห็นสิ่งดี ๆ ที่เราทำ ก็จะสรรเสริญพระเจ้าผู้ซึ่งเป็นพระบิดาของเราที่สถิตอยู่ในสวรรค์
พระเยซูทรงสอนเรื่องธรรมบัญญัติ
ก่อนที่พระเยซูจะมานั้น คนยิวนับถือบัญญัติ 10 ประการ นับถือบทบัญญัติที่บันทึกในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม รวมทั้งประพฤติตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีการปฏิบัติต่อ ๆ กันมา พระเยซูบอกว่าพระองค์ไม่ได้มาล้มเลิกธรรมบัญญัติเหล่านั้น แต่พระองค์มาทำให้สมบูรณ์ เพราะเนื้อหาในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเน้นว่าพระเจ้าจะทรงประทานพระคริสต์มาไถ่บาปคนเป็นอันมาก และพระเยซูก็คือผู้นั้น ผู้ที่ทำให้คำของผู้เผยพระวจนะต่าง ๆ สำเร็จ พระเยซูพูดเกี่ยวกับธรรมบัญญัติว่า ตัวอักษรสักขีดหนึ่งจะไม่มีทางสูญหายไปจนกว่าสิ่งที่ธรรมบัญญัติพูดถึงจะเกิดขึ้น
เรื่องความโกรธ
พระเยซูบอกว่ามาตรฐานของพระเจ้านั้นแท้จริงสูงกว่าที่เราคิดไว้มาก ในบทบัญญัติบอกว่าใครที่ฆ่าคนจะต้องถูกพิพากษา แต่พระเยซูบอกว่าแค่เราโกรธหรือเหยียดหยามพี่น้องของเราก็ต้องถูกพิพากษา แค่ด่าคนว่าโง่ ก็ต้องตกนรก พระเยซูบอกว่าถ้าหากเราโกรธใครก็ควรรีบไปคืนดี หรือถ้าหากเรามีเรื่องกับใครก็ควรรีบไปไกล่เกลี่ยก่อนที่เรื่องจะถึงศาล
เรื่องการล่วงประเวณี
เราคงเคยได้ยินบทบัญญัติที่ว่าห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา แต่พระเยซูบอกว่าแค่เรามองผู้หญิงด้วยใจกำหนัด เราก็ได้ล่วงประเวณีในใจกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว พระเยซูบอกว่านี่คือเรื่องใหญ่ พระองค์เปรียบถึงขนาดว่าถ้าตาข้างไหนเป็นเหตุให้เราทำผิด ให้เราควักลูกตาข้างนั้นออกมา เพราะเสียตาข้างนึงดีกว่าทั้งตัวต้องตกนรก
เรื่องการหย่าร้าง
มีคนบอกว่าถ้าเราอยากหย่าภรรยา ก็ให้ทำหนังสือหย่า แต่พระเยซูบอกว่าการจะหย่าได้มีสาเหตุเดียวคือผู้หญิงคนนั้นมีชู้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ใครที่แต่งงานกับหญิงคนนั้นก็ต้องผิดฐานล่วงประเวณี
เรื่องการสาบาน
มีคนบอกว่าเมื่อสาบานแล้ว ห้ามกลับคำพูด แต่พระเยซูบอกว่าอย่าสาบานโดยอ้างฟ้าสวรรค์ เพราะสวรรค์เป็นที่ประทับของพระเจ้า อย่าอ้างแผ่นดินโลก เพราะแผ่นดินโลกเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นราชธานีของพระมหากษัตริย์ หรืออ้างว่าเอาหัวเป็นประกันเลย เพราะเราไม่สามารถบังคับให้เส้นผมเปลี่ยนสีของมันเองโดยธรรมชาติได้ พระเยซูบอกว่าอย่าสาบานเลย จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากความชั่ว
เรื่องการตอบแทน
(มัทธิว 5:38 – 42, ลูกา 6:27 - 36)
มีคนบอกว่าตาแทนตา ฟันแทนฟัน ทำอะไรก็ต้องตอบสนองกลับอย่างนั้น แต่พระเยซูบอกว่าอย่าทำอย่างนั้นเลย ถ้าใครตบเราข้างหนึ่ง ก็ให้หันอีกข้างให้ ถ้าใครฟ้องศาลเพื่อจะเอาเสื้อเรา ก็ให้เสื้อคลุมเขาไปด้วย ใครจะเกณฑ์ให้เราเดินไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เราทำเป็นสองเท่า เดินไปสองกิโลเมตรเลย ถ้าใครจะขอยืมจากเรา ก็จงให้เขา อย่าเมินหน้าหนีจากเขาเลย
จงรักศัตรู
มีคนบอกให้เรารักเพื่อนบ้านของเรา แต่ให้เราเกลียดชังศัตรู แต่พระเยซูบอกว่าให้เรารักศัตรูและอธิษฐานเผื่อคนที่ข่มเหงเรา ให้เราเป็นคนดีพร้อมเหมือนกับพระเจ้าพระบิดาที่อยู่บนสวรรค์ พระองค์ทรงดีพร้อม ถ้าเรารักแต่คนที่รักเรา พระเจ้าจะให้บำเหน็จอะไรกับเรา เพราะคนชั่วยังทำแบบนั้นเลย ดังนั้นเราต้องมีชีวิตที่แตกต่าง มีชีวิตเหมือนที่พระเจ้าอยากให้เราเป็น
เรื่องการทำทาน
อย่าบริจาคเพราะอยากอวดคนอื่น พระเยซูบอกว่าอย่าให้เราเป็นเหมือนอย่างคนหน้าซื่อใจคด ทำไปเพื่อให้คนสรรเสริญยกย่อง ถ้าทำแบบนั้น นั่นก็คือรางวัลที่เขาได้รับ พระเยซูเปรียบการทำทานว่าอย่าให้มือซ้ายรู้การกระทำของมือขวา การทำทานแบบนี้พระเจ้าจะเป็นผู้ให้บำเหน็จแก่เราเอง
เรื่องการอธิษฐาน
พระเยซูบอกว่าเวลาอธิษฐานอย่าทำในที่สาธารณะที่ให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นคนเคร่งครัดในศาสนา อย่าทำเพื่อโอ้อวดว่าเราเป็นคนมีศีลธรรมดี แต่พระองค์ให้เราเข้าไปอธิษฐานในที่ที่เป็นส่วนตัว ไม่มีคนเห็น แล้วพระเจ้าจะทรงประทานบำเหน็จให้ และเวลาอธิษฐานอย่าพูดคำซ้ำ ๆ อย่าคิดว่ายิ่งพูดหลายคำจะยิ่งดี เพราะจริง ๆ แล้วพระเจ้าทรงทราบความคิดของเราอยู่แล้วว่าเราจะอธิษฐานเรื่องอะไร จากนั้นพระเยซูก็ได้ให้ตัวอย่างคำอธิษฐานแก่ประชาชนที่มาฟังพระองค์สั่งสอน (มัทธิว 6:9 - 15)
เรื่องการถืออดอาหาร
เมื่อถืออดอาหาร อย่าทำตัวให้โทรมเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าเราถืออดอาหาร อย่าทำเพื่อจะได้หน้า เราต้องไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเราถืออดอาหาร แล้วพระเจ้าจะประทานบำเหน็จให้เรา
เรื่องการสะสมทรัพย์สมบัติ
อย่าสะสมทรัพย์สมบัติในโลกนี้ เพราะมันเสื่อมสูญได้ และเมื่อเราตายก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ แต่ให้เราสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์ ก็คือให้เรารับใช้พระองค์ ทำงานของพระเจ้า พระเยซูบอกว่าทรัพย์สมบัติอยู่ที่ไหน ใจของเราก็อยู่ที่นั่น
ประทีปของร่างกาย
พระเยซูให้ความสำคัญกับทัศนะคติในการมองเรื่องทรัพย์สมบัติของเรา ถ้าหากสายตาเราจดจ่ออยู่แต่ทรัพย์สมบัติในโลกนี้ มุ่งแต่ทำงานของตัวเองเพื่อเก็บเงิน ก็เหมือนกับการที่เราสายตามืดบอด แต่ถ้าเราจดจ่ออยู่กับการสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์ ก็เหมือนกับการมองในความสว่าง ก็จะเห็นอะไรอย่างชัดเจน
การเป็นบ่าวสองนาย
ไม่มีใครรับใช้นายสองคนได้ เราต้องเลือกระหว่างเงินทองกับการรับใช้พระเจ้า เลือกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ความกังวลและความกระวนกระวาย
อย่าให้เรากังวลถึงความต้องการฝ่ายร่างกายว่าจะเอาอะไรกิน จะหาเสื้อผ้าที่ไหนใส่ เพราะชีวิตเราสำคัญกว่าอาหาร ร่างกายเราสำคัญมากกว่าเสื้อผ้า พระเจ้ายังเลี้ยงดูนกในท้องฟ้า ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้ทำงานอะไร เราประเสริฐกว่านกมาก การกระวนกระวายไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ไม่ทำให้อายุเรายืนขึ้นได้ อย่ากระวนกระวายว่าจะมีเสื้อผ้าใส่ไหม เพราะดอกไม้แค่ดอกเดียวก็ยังสวยกว่าเสื้อผ้าของกษัตริย์ ขนาดสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้พระเจ้ายังดูแลมันให้สวยงาม พระเจ้าจะไม่ดูแลเราซึ่งเป็นลูกของพระองค์มากกว่าสิ่งเหล่านั้นหรือ อย่าให้เรากระวนกระวาย แต่ให้เราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้
การพิพากษาผู้อื่น
(มัทธิว 7:1 – 6, ลูกา 6:37 - 42)
พระเยซูบอกว่าอย่าตัดสินคนอื่น ถ้าเราตัดสินคนอื่นโดยใช้มาตรฐานแบบไหน พระเจ้าก็จะใช้มาตรฐานแบบนั้นมาพิพากษาเราเหมือนกัน พระเยซูบอกว่าเรามักจะเห็นความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนอื่น แต่ไม่เคยเห็นความผิดของตัวเอง เหมือนกับเห็นผงในตาของคนอื่น แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาเรากลับมองไม่เห็น พระเยซูสอนให้เราจัดการกับความผิดของตัวเองก่อน จากนั้นจึงค่อยช่วยผู้อื่น
ต่อมาพระเยซูได้พูดถึงเกี่ยวกับการแบ่งปันเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าให้ผู้อื่นฟังว่า ข่าวดีเรื่องของความรอด เรื่องของการยกบาปนั้นมีค่ามาก เปรียบเหมือนของบริสุทธิ์ หรือไข่มุก แต่ถ้าหากเราไม่ใช้สติปัญญาในการสังเกตคน เราอาจจะมอบของมีค่านี้ให้สุนัขหรือสุกรก็ได้ ซึ่งคนเหล่านั้นคงไม่เห็นคุณค่า อาจจะเหยียบย่ำมันและหันมาทำร้ายเราก็ได้ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่พระเจ้าเลือกให้รอด เลือกให้เป็นลูกของพระองค์ เหมือนกับที่บอกไว้ใน ยอห์น 6:44 ว่า ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย
ขอ หา เคาะ
(มัทธิว 7:7 -12)
พระเยซูบอกว่าถ้าหากเราขอสิ่งใดจากพระเจ้า พระองค์ก็จะประทานให้เรา พระเจ้าก็เปรียบเหมือนพ่อของเรา พระองค์ไม่มีทางให้สิ่งไม่ดี หรือทำร้ายเราอย่างแน่นอน เพราะขนาดเราที่เป็นคนบาปยังให้สิ่งดีต่าง ๆ แก่ลูกเรา แล้วพระเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ประเสริฐกว่าเรามากนัก พระองค์จะไม่ให้สิ่งที่ดีกว่านั้นแก่เราหรือ
ประตูคับแคบ
ในโลกนี้มีศาสนามากมาย มีคนชี้ทางไปสวรรค์หลากหลายทาง แต่พระเยซูบอกว่าแท้จริงแล้วทางไปสวรรค์มีเพียงทางเดียว คือทางพระเยซู ซึ่งเป็นทางที่แคบ ไม่ใช่ทางกว้าง ๆ เดินสบาย ๆ แบบที่คนทั้งหลายชอบไปกัน ทางของพระองค์แม้จะลำบาก แต่เป็นทางที่ให้ชีวิต ไม่ใช่ทางที่นำไปสู่ความตาย
รู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน
(มัทธิว 7:15 -20, ลูกา 6:43 - 45)
พระเยซูให้ระวังคนที่สอนเท็จ คำสอนของพระเยซูตอนนี้สำคัญมากสำหรับปัจจุบัน เพราะมีลัทธิเทียมเท็จจำนวนมาก มีคำสอนผิด ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา พระเยซูบอกว่าให้ดูที่ผลของมัน ถ้าเป็นคำสอนที่ดี ที่มาจากพระเจ้า ก็จะส่งแต่ผลดีเท่านั้น อย่าให้เรามองที่การแต่งตัวดี การพูดจาที่ดี เพราะนั่นเป็นแค่เปลือกนอก แต่ผลของคำสอนเหล่านั้นต่างหากที่สำคัญ
เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย
พระเยซูบอกว่าการเชื่อในพระองค์ต้องเชื่อด้วยใจจริง พระเจ้าดูที่จิตใจ ไม่ว่าเราจะรับใช้พระองค์มากแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าการรับใช้นั้นไม่ได้ทำด้วยบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ทำเพื่อพระองค์จริง ๆ การร้องออกพระนามของพระองค์ก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น คนพวกนี้ไม่มีทางที่จะได้ขึ้นสวรรค์ แต่คนที่ทำตามคำสอนของพระเจ้าต่างหากที่จะได้เข้าสวรรค์
รากฐานสองชนิด
(มัทธิว 7:24 -27, ลูกา 6:46 - 49)
พระเยซูเปรียบคนที่ฟังคำสอนของพระองค์แล้วทำตาม ก็เหมือนการสร้างบ้านบนศิลา แม้ว่าฝนจะตก น้ำจะท่วม ลมจะแรง บ้านก็ยังคงอยู่ ถ้าไม่ทำตามพระคำของพระเจ้าก็เหมือนบ้านที่ไม่มีฐานราก สร้างบนทราย ในที่สุดก็ต้องพังทลายไป
สิทธิอำนาจของพระเยซู
คำสอนของพระเยซูสัมผัสแตะต้องใจคนจำนวนมาก ทั้ง ๆ ที่พระองค์เป็นเพียงลูกของช่างไม้ พระองค์ไม่ใช่คนที่ได้รับการศึกษาอย่างดีเหมือนอาจารย์ในสมัยนั้น แต่คำของพระองค์ส่งผลกระทบต่อชีวิตคนที่ได้ยินได้ฟัง ไม่เหมือนกับอาจารย์คนอื่น ๆ ที่เคยฟังมา เพราะพระองค์สอนด้วยสิทธิอำนาจ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
การทรงรักษาบ่าวของนายร้อย
(มัทธิว 8:5 -13, ลูกา 7:1 - 10)
หลังจากสั่งสอนประชาชนแล้ว พระเยซูทรงเสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม มีทาสของนายร้อยคนหนึ่งที่นายรักมาก นอนป่วยเป็นง่อยได้รับความทุกข์ทรมานใกล้ตาย เมื่อนายร้อยได้ยินเรื่องราวของพระเยซูจึงส่งผู้ใหญ่ของพวกยิวบางคนไปเชิญพระเยซูให้มารักษาทาสของเขา คนเหล่านั้นบอกพระเยซูว่านายร้อยคนนี้สมควรได้รับการช่วยเหลือ เพราะเขารักคนยิวและสร้างธรรมศาลาให้คนยิว พระเยซูจึงตามพวกเขาไปจนเกือบจะถึงบ้านนายร้อย แต่นายร้อยได้ให้เพื่อน ๆ ไปแจ้งพระเยซูว่าเขาไม่สมควรที่จะต้อนรับพระเยซูเข้ามาในบ้าน แค่พระองค์สั่ง ทาสของเขาก็จะหาย แต่ที่ทำเช่นนี้เขาไม่มีเจตนาจะสั่งให้พระเยซูทำตามคำสั่งเขา เขารู้ดีว่าเขาเป็นทหารที่ต้องอยู่ใต้บังคับบัญชา และมีทหารที่อยู่ใต้อำนาจเขา เขาจะสั่งให้ไปไหน ก็ต้องไป เขายังมีทาสที่อยู่ใต้เขาด้วย เขาจะสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ เมื่อพระเยซูได้ยินดังนั้นก็แปลกใจและชมเชยว่าไม่เคยเห็นใครในอิสราเอลที่มีความเชื่อเหมือนนายร้อยที่เป็นคนต่างชาติคนนี้ พระเยซูบอกว่าจะมีคนจำนวนมากจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตกมาร่วมงานเลี้ยงกับอับราฮัม อิศอัค และยาโคบ ในแผ่นดินสวรรค์ ในขณะที่คนอิสราเอลซึ่งเป็นทายาทกลับต้องถูกส่งไปในที่มืด ที่ ๆ มีแต่การขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
การทรงให้บุตรแม่ม่ายที่นาอินเป็นขึ้นจากตาย
หลังจากนั้นไม่นานพระเยซูเสด็จไปเมืองนาอินกับสาวกและมีคนจำนวนมากตามพระองค์ไป เมื่อไปถึงประตูเมืองก็พบคนหามศพชายหนุ่มซึ่งเป็นลูกของหญิงม่าย มีชาวเมืองจำนวนมากเดินทางมาพร้อมกับนางด้วย พระเยซูทรงสงสารหญิงม่ายและบอกนางว่าอย่าร้องไห้ แล้วพระเยซูทรงไปที่โลงศพบอกชายหนุ่มว่า “ชายหนุ่มเอ๋ย เราสั่งท่านให้ลุกขึ้น” คนตายก็ฟื้น คนทั้งปวงก็สรรเสริญพระเจ้า และชื่อเสียงของพระเยซูก็เลื่องลือไปตลอดทั่วยูเดียและแคว้นโดยรอบ
ผู้ส่งข่าวของยอห์นผู้ให้บัพติศมา
(มัทธิว 11:1 -19, ลูกา 7:18 - 35)
เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติสมาซึ่งอยู่ในคุกได้ยินเรื่องต่าง ๆ ที่พระเยซูทรงทำ จึงเรียกศิษย์ของท่านสองคนมาและให้ไปถามพระเยซูว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ผู้ที่จะมาตามคำทำนายนั้นหรือ หรือว่าจะต้องรอคนอื่นอีก ในเวลานั้นพระเยซูทรงรักษาคนเป็นจำนวนมากให้หายจากโรคต่าง ๆ ให้รอดพ้นจากอำนาจวิญญาณชั่ว พระเยซูจึงให้สองคนนั้นกลับไปบอกยอห์นในสิ่งที่ตัวเองได้เห็นและได้ยิน คือว่าคนตาบอดเห็นได้ คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน (อิสยาห์ 35:5 - 6) คนตายเป็นขึ้นมา และพวกคนยากจนก็ได้รับฟังข่าวดี (อิสยาห์ 61:1) เมื่อสองคนนั้นกลับไปแล้ว พระเยซูได้พูดเกี่ยวกับยอห์นให้คนทั้งหลายฟังว่ายอห์นเป็นยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะ เป็นคนที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า “เราจะใช้ทูตของเรานำหน้าท่าน (ท่าน หมายถึง พระเมสสิยาห์) ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน” พระเยซูบอกว่าในบรรดาผู้ที่เกิดจากผู้หญิงไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์น แต่ว่าผู้ที่เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก้ยังใหญ่กว่ายอห์นอีก (ทุกคนรวมทั้งบรรดาคนเก็บภาษี เมื่อได้ยินก็ยอมรับว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม โดยเขาได้รับบัพติศมาจากยอห์นแล้ว แต่พวกฟาริสีและพวกผู้เชี่ยวชาญบัญญัติไม่ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา โดยเขาไม่รับบัพติศมาจากยอห์น) พระเยซูบอกว่ายอห์นคือเอลียาห์ที่จะมานั้น (มาลาคี 4:5; มัทธิว 17:10 - 13; มาระโก 9:11-13)
วิบัติแก่เมืองที่ไม่ได้กลับใจใหม่
(มัทธิว 11:20 -24, ลูกา 10:13 - 15)
พระเยซูได้ติเตียนเมืองต่าง ๆ ที่พระองค์ได้ไปทำการอัศจรรย์ว่าวิบัติแก่เมืองโคราซินและเมืองเบธไซดา ถ้าการอัศรรย์นี้เกิดที่เมืองไทระและเมืองไซดอน คนในเมืองคงกลับใจกันแล้ว ดังนั้นในวันพิพากษาโทษของเจ้าจะต้องหนักกว่าเมืองไทระและเมืองไซดอน เมืองคาเปอรนาอูมก็เช่นเดียวกัน ถ้าการอัศจรรย์นี้เกิดกับเมืองโสโดม เมืองนั้นก็คงไม่ถูกทำลาย ดังนั้นในวันพิพากษาโทษของเมืองคาเปอรนาอูมจะหนักกว่าโทษของเมืองโสโดมแน่นอน
หญิงที่เคยทำบาปได้รับการยกโทษ
มีฟาริสีคนหนึ่งชื่อซีโมนเชิญพระเยซูไปรับประทานอาหารที่บ้าน เมื่อพระองค์ทรงเอนกายที่โต๊ะอาหาร ก็มีหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นคนบาป มาใกล้พระบาทพระองค์ แล้วร้องไห้น้ำตาเปียกพระบาท จึงได้เอาผมเช็ด จูบพระบาทพระองค์และเอาน้ำมันชโลม ฟาริสีคนที่เชิญพระเยซูมาก็คิดในใจว่าถ้าพระเยซูทรงเป็นผู้เผยพระวจนะก็น่าจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนอย่างไร พระเยซูจึงถามว่า ถ้าเจ้าหนี้ยกหนี้ให้ลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้ห้าร้อยเหรียญ อีกคนเป็นหนี้ห้าสิบเหรียญ ลูกหนี้คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน ซีโมนตอบว่าก็ต้องเป็นคนที่ยกหนี้ให้มาก ก็รักมาก พระเยซูบอกว่าตัดสินได้ถูกแล้วและบอกว่าเมื่อพระองค์เข้ามา ซีโมนไม่ได้เอาน้ำล้างเท้าพระองค์ ไม่ได้จูบพระองค์ ไม่ได้เอาน้ำมันชโลมศรีษะพระองค์ แต่หญิงคนนี้ใช้น้ำตาล้างเท้าและเอาผมเช็ดให้ จูบเท้าพระองค์ไม่หยุด และเอาน้ำมันมาชโลมเท้าพระองค์ ดังนั้นบาปที่มากมายของนางนั้นก็ได้รับการยกโทษแล้ว เพราะนางรักมาก คนที่รับการยกโทษน้อยก็รักน้อย แล้วพระเยซูก็บอกหญิงคนนั้นว่า “บาปของเธอได้รับการยกโทษแล้ว” คนที่ร่วมโต๊ะอาหารต่างก็พูดกันว่าพระเยซูเป็นใครถึงยกบาปได้ แต่พระเยซูบอกหญิงคนนั้นว่า “ความเชื่อของเธอทำให้เธอรอด จงไปเป็นสุขเถิด”
สตรีบางคนไปกับพระเยซู
พระเยซูทรงเสด็จออกไปประกาศตามหมู่บ้านและตามเมืองต่าง ๆ โดยมีสาวก 12 คน และผู้หญิงบางคนที่พระเยซูทรงรักษาให้พ้นจากโรคและวิญญาณชั่ว ได้แก่ มารีย์ชาวมักดาลาที่มีวิญญาณชั่ว 7 ตนออกจากคัว โยอันนาภรรยาของคูซาซึ่งเป็นหัวหน้ากรมวังของเฮโรด สุสันนา และหญิงคนอื่น ๆ อีกหลายคนที่เคยปรนนิบัติพระเยซูและสาวกด้วยทรัพย์สิ่งของของพวกนาง
พระเยซูกับเบเอลเซบูล
(มัทธิว 12:22 – 32, มาระโก 3:20 – 30, ลูกา 11:14 – 23, 12:10)
พระเยซูเสด็จเข้าไปในบ้าน มีฝูงชนมาชุมนุมกันจนพระเยซูและพวกสาวกไม่สามารถรับประทานอาหารได้ เมื่อญาติพี่น้องของพระเยซูรู้ก็เข้าไปรั้งพระเยซูไว้ และบอกฝูงชนว่าพระเยซูได้เสียสติไปแล้ว ขณะนั้นมีคนที่เป็นใบ้และตาบอดเพราะถูกผีเข้าสิงมาหาพระเยซู พระองค์ทรงรักษาให้หาย คนนั้นก็มองเห็นและพูดได้ คนจึงประหลาดใจและพูดกันว่าคนนี้ใช่เป็นบุตรดาวิดหรือไม่ (หมายถึงพระเมสสิยาห์) แต่พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ที่มาจากเยรูซาเล็มได้พูดกันว่า พระเยซูถูกผีเบเอลเซบูล (ชื่อหนึ่งของมาร) เข้าสิง ที่พระเยซูขับผีออกได้ก็เพราะใช้อำนาจของนายผีนั้น คนอื่น ๆ ก็ทดลองพระองค์โดยขอให้พระองค์แสดงหมายสำคัญจากท้องฟ้า (มัทธิว12:38; 16:1; มาระโก.8:11) แต่พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขา จึงตรัสเป็นเรื่องเปรียบเทียบว่า ซาตานจะขับซาตานออกได้ยังไง ถ้าอาณาจักรใดแตกแยกก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าครอบครัวใดแตกแยกก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าซาตานสู้กันเอง และแตกแยกกัน อาณาจักรของมันก็ต้องพบจุดจบ พระเยซูบอกว่าถ้าพระองค์ขับผีออกโดยอำนาจของเบเอลเซบูล แล้วลูกน้องของพวกเขาขับผีออกโดยอำนาจของใคร ถ้าใครเชื่อว่าพระเยซูขับผีออกโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงพวกเขาแล้ว ถ้าจะไปปล้นบ้านของคนที่มีกำลังมาก ก็ต้องจับเขามัดก่อน จึงจะเอาทรัพย์สินออกไปได้ ใครไม่อยู่ฝ่ายพระเยซูก็ต่อต้านพระเยซู บาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างให้อภัยได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ไม่สามารถให้อภัยได้ ทั้งในยุคนี้และยุคหน้า พระเยซูตรัสอย่างนั้นก็เพราะพวกเขากล่าวว่า พระองค์มีผีโสโครกเข้าสิง
ต้นไม้และผลของมัน
(มัทธิว 12:33 – 37, ลูกา 6:43 – 45)
เรารู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน ต้นไม้ดีก็ให้ผลดี ต้นไม้เลวก็ให้ผลเลว คนดีก็เอาส่วนดีออกมาจากตัว คนชั่วก็จะสำแดงสิ่งที่ชั่วออกมา เพราะปากย่อมพูดในสิ่งที่ตนเองคิดไว้ในใจ เราจะพูดอะไรก็ได้ แต่เราต้องรับผิดชอบทุกคำพูดของเราในวันสุดท้ายที่มีการพิพากษา เราจะพ้นผิดหรือถูกตัดสินลงโทษก็เพราะคำพูดของเรา
การแสวงหาหมายสำคัญ
พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีบางคนมาขอหมายสำคัญจากพระเยซู พระเยซูจึงตรัสว่าคนในยุคชั่วร้ายชอบแสวงหาหมายสำคัญ แต่จะให้แค่หมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น โยนาห์อยู่ในท้องปลาสามวันสามคืนเพื่อเป็นหมายสำคัญให้แก่ชาวนีนะเวห์ บุตรมนุษย์ก็จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนเพื่อเป็นหมายสำคัญให้กับคนในยุคนี้อย่างนั้น ราชินีแห่งทิศใต้ที่เดินทางมาฟังสติปัญญาจากซาโลมอนและชาวนีนะเวห์ จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขา และคนที่ใหญ่กว่าโยนาห์และซาโลมอนก็อยู่ที่นี่แล้ว
ผีโสโครกกลับเข้ามาใหม่
(มัทธิว 12:43 – 45, ลูกา 11:24 – 26)
ถ้าผีโสโครกออกไปจากใครแล้ว ถ้าหากมันหาที่พักใหม่ไม่ได้ มันก็จะกลับไปหาคนนั้น และเมื่อเห็นบ้านนั้นถูกกวาดและเป็นระเบียบ มันก็จะพาผีอื่นอีก 7 ตัว ที่ร้ายกว่ามันเข้าไปอยู่อาศัย และคน ๆ นั้นก็จะตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าตอนแรก คนชั่วร้ายก็จะเป็นอย่างนั้น
มารดาและบรรดาน้องชายของพระเยซู
(มัทธิว 12:46 – 50, มาระโก 3:31 – 35, ลูกา 8:19 – 21)
พระเยซูกำลังตรัสกับฝูงชนที่อยู่ล้อมรอบพระองค์ มารดาและพวกน้องชายของพระเยซูมาหาและยืนอยู่ข้างนอก จึงใช้คนให้ไปทูลเรียกพระเยซู คนนั้นจึงไปบอกพระเยซูว่ามารดาและน้องชายของพระองค์กำลังรอพบพระองค์อยู่ด้านนอก พระเยซูจึงถามชายคนนั้นว่า ใครเป็นมารดาและพี่น้องของพระองค์ แล้วพระเยซูก็ชี้ไปยังสาวกทั้งหลายของพระองค์พร้อมตรัสว่า ใครก็ตามที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คนที่ฟังพระวจนะและทำตาม คนเหล่านี้คือพี่น้องชายหญิงและมารดาของพระองค์
เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com