เว็บสยามคริสเตียน > บทความคริสเตียน > ความจริงเกี่ยวกับยุคสุดท้าย
เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์
หลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกับคำพูดที่ว่า “เราอยู่ในยุคสุดท้าย พระเยซูใกล้จะเสด็จกลับมาแล้ว!!” และมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ภัยพิบัติทางธรรมชาติ โรคระบาดต่าง ๆ ซึ่งล่าสุดก็คือ Covid-19 ยิ่งทำให้หลาย ๆ คนมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าเราอยู่ในยุคสุดท้ายจริง ๆ แต่คำถามก็คือเรารู้หรือมีความเข้าใจเกี่ยวกับยุคสุดท้ายมากน้อยแค่ไหน? เราตื่นตระหนกมากจนเกินไปหรือว่าเราเพิกเฉยกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา? ลองทำความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับคำว่า “ยุคสุดท้าย” เพื่อที่เราจะได้ดำเนินชีวิตให้สมกับการอยู่ในยุคนี้จริง ๆ
ความจริง 4 ประการ เกี่ยวกับยุคสุดท้าย
1. ยุคสุดท้ายมีการคาดการณ์ไว้ในพระคัมภีร์
ในพระคัมภีร์มีการพยากรณ์เกี่ยวกับยุคสุดท้ายเอาไว้มากมาย เช่น
“แต่จงเข้าใจข้อนี้คือ วาระสุดท้ายนั้นจะเป็นเวลาที่น่ากลัว เพราะผู้คนจะเห็นแก่ตัว รักเงินทอง โอ้อวด หยิ่งยโส ชอบดูหมิ่น ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อกตัญญู ชั่วร้าย ไร้มนุษยธรรม ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี ทรยศ มุทะลุ โอหัง รักความสนุกมากกว่ารักพระเจ้า ยึดถือทางพระเจ้าแต่เพียงเปลือกนอก แต่ปฏิเสธฤทธิ์เดชของทางนั้น จงอย่าเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น” 2 ทิโมธี 3:1 – 5
“ก่อนอื่นพึงรู้ข้อนี้คือ ในวาระสุดท้ายพวกที่ชอบเยาะเย้ยจะมาเยาะเย้ย และทำตามตัณหาของตนเอง” 2 เปโตร 3:3
“แต่ตัวเจ้าดาเนียลเอ๋ย จงปิดถ้อยคำเหล่านั้นไว้และประทับตราหนังสือนั้นเสียจนถึงวาระสุดท้าย คนเป็นอันมากจะวิ่งไปวิ่งมา และความรู้จะทวีขึ้น” ดาเนียล 12:4
“แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ตรัสกับเราทางพระบุตร ผู้ที่พระองค์ทรงตั้งให้เป็นทายาทรับสิ่งทั้งปวง พระเจ้าทรงสร้างจักรวาลทางพระบุตร” ฮิบรู 1:2
ข้อพระคัมภีร์ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างบางข้อเท่านั้นที่พูดเกี่ยวกับยุคสุดท้าย ซึ่งคำว่า “ยุดสุดท้าย” นั้นหมายถึงช่วงเวลาระหว่างการเสด็จมาครั้งแรกของพระเยซูกับการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระองค์ ทุก ๆ เวลาในช่วงนี้คือ “ยุดสุดท้าย” เหมือนกับที่เปโตรได้พูดไว้ในวันเพ็นเทคอสต์ว่า
“แต่เปโตรได้ยืนขึ้นพร้อมกับอัครทูตสิบเอ็ดคน และกล่าวกับเขาทั้งหลายด้วยเสียงดังว่า “พี่น้องชาวยิวกับทุกท่านที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงทราบเรื่องนี้และฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า คนเหล่านี้ไม่ได้เมาเหล้าองุ่นเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายคิด เพราะว่าเพิ่งจะเก้าโมงเช้าเท่านั้น แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตามคำที่โยเอลผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ว่า พระเจ้าตรัสว่า ในวาระสุดท้าย เราจะเทพระวิญญาณของเราบนมนุษย์ทั้งหมด บุตรา บุตรีของท่านทั้งหลายจะเผยพระวจนะ บรรดาคนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต และบรรดาคนแก่ของท่านทั้งหลายจะฝันเห็น” กิจการ 2:14 - 17
เปโตรเองก็เชื่อว่าพวกเขานั้นอยู่ในยุคสุดท้าย เพราะสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะได้พยากรณ์ไว้ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิมได้สำเร็จในยุคของเขา เปโตรและคนในยุคนั้นต่างก็รอคอยการเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ของพระเยซู ซึ่งนี่ก็หมายความว่าเราได้อยู่ใน “ยุดสุดท้าย” มา 2,000 กว่าปี แล้ว !!
2. พระเยซูคือจุดศูนย์กลางของทุก ๆ สิ่ง
ถ้าจะให้สรุปพระคัมภีร์ทั้ง 66 เล่ม เราสามารถสรุปได้เป็นคน ๆ เดียว กับ 2 เหตุการณ์ นั่นก็คือ พระเยซู กับ การเสด็จกลับมาครั้งแรกและครั้งที่สองของพระองค์ พระเยซูทรงเสด็จมาในโลกครั้งแรกเพื่อจัดการกับความบาป ส่วนการเสด็จกลับมาครั้งที่สองก็เพื่อปกครองร่วมกับผู้เชื่อที่ได้รับการยกโทษบาปแล้ว
หลังจากที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์แล้ว พระองค์ได้พบกับสาวกของพระองค์ 2 คน ที่เดินทางจากเยรูซาเล็มเพื่อจะไปยังเอมมาอูส พระเยซูได้อธิบายให้สาวกของพระองค์เข้าใจว่า พระองค์คือจุดศูนย์กลางของทุก ๆ สิ่ง พระคัมภีร์ต่าง ๆ นั้นล้วนแล้วแต่เล็งถึงพระองค์
“พระองค์จึงตรัสกับสองคนนั้นว่า “โอ คนโง่เขลาและมีใจเฉื่อยช้าในการเชื่อถ้อยคำซึ่งพวกผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้นั้น พระคริสต์จำเป็นต้องทนทุกข์อย่างนั้นแล้วจึงเข้าในพระสิริของพระองค์ไม่ใช่หรือ?” แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งหมด” ลูกา 24: 25 - 27
3. เต็มไปด้วยคำสอนเทียมเท็จและการละทิ้งความเชื่อ
เมื่อค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับคริสเตียน เกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้า เราจะเห็นคำสอนของลัทธิเทียมเท็จต่าง ๆ แทรกเข้ามาอย่างมากมาย ลัทธิเทียมเท็จคืออะไร? ก็คือ ความเชื่อที่มีการบิดเบือนออกไปจากความจริงของพระเจ้า เอาความจริงจากพระคัมภีร์มาตีความใหม่ หรือการสอนในสิ่งใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นจากในพระคัมภีร์ เพื่อให้เราเชื่อว่านี่คือการค้นพบสิ่งที่พระคำพระเจ้าซ่อนอยู่ คำสอนผิดเหล่านี้มีมาตั้งแต่ในสมัยคริสตจักรยุคแรก เหมือนที่อาจารย์เปาโลได้บอกไว้ใน 2 โครินธ์ 11:3 – 4 ว่า “แต่ข้าพเจ้ากลัวว่า งูนั้นล่อลวงนางเอวาด้วยอุบายของมันอย่างไร ความคิดของท่านทั้งหลายก็จะถูกทำให้หลงไปจากความซื่อ และความบริสุทธิ์ต่อพระคริสต์อย่างนั้น เพราะว่าถ้าใครมาเทศนาถึงพระเยซูอีกองค์หนึ่ง ซึ่งไม่ใช่องค์ที่เราเคยเทศนานั้น หรือถ้าพวกท่านรับพระวิญญาณ ซึ่งแตกต่างจากที่ท่านเคยรับนั้น หรือรับข่าวประเสริฐซึ่งแตกต่างกับที่พวกท่านเคยรับไว้แล้ว ท่านทั้งหลายก็ช่างอดกลั้นดีจริงๆ”
เรามักเข้าใจผิดว่าคำสอนเท็จนั้นมาจากบุคคลภายนอก มาจากที่อื่น แต่ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ คำสอนเท็จต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ทั้งหมดเริ่มต้นมาจากภายในคริสตจักร เริ่มต้นมาจากผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และปลายทางของการหลอกลวงส่วนใหญ่ก็คือการปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธพระเยซู เหมือนกับที่เปโตรได้บอกไว้ใน 2 เปโตร 2:1-3 ว่า
“แต่ว่าได้มีผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จเกิดขึ้นในชนชาตินั้น เช่นเดียวกับที่จะมีผู้สอนเท็จเกิดขึ้นในพวกท่าน ซึ่งจะลอบเอาลัทธินอกรีตอันจะให้ถึงความพินาศเข้ามาเสี้ยมสอน จนถึงกับปฏิเสธองค์เจ้านายผู้ได้ทรงไถ่พวกเขาไว้ ซึ่งจะนำความพินาศมาสู่พวกเขาเองอย่างรวดเร็ว จะมีคนจำนวนมากประพฤติลามกตามอย่างพวกเขา และเพราะคนเหล่านั้น ทางของความจริงจะถูกลบหลู่ และพวกสอนเท็จจะหาผลประโยชน์จากท่านทั้งหลายด้วยนิยายที่แต่งขึ้นโดยใจโลภ การลงโทษคนเหล่านั้นที่ได้ประกาศไว้นานมาแล้วจะไม่เนิ่นช้า และความพินาศที่จะเกิดกับพวกเขาก็จะไม่นิ่งเฉย”
ในยุคสุดท้ายนั้น เราไม่เพียงแต่พบคำสอนเทียมเท็จจำนวนมากเท่านั้น เรายังเห็นการละทิ้งความเชื่ออย่างมากมายด้วยเช่นเดียวกัน เราจะเห็นหลาย ๆ ประเทศในอดีตที่มีคริสเตียนจำนวนมาก แต่ในปัจจุบันกลับมีน้อยลง หรือเป็นคริสเตียนแต่ในนามเท่านั้น หรือแม้แต่ในประเทศไทยเองเราก็เห็นผู้เชื่อจำนวนมากหันหลังให้กับทางของพระเจ้า ถ้าหากเราลองสังเกตให้ดี เราจะเห็นว่าโบสถ์ต่าง ๆ ในประเทศไทยหลาย ๆ แห่งมีคนมาเชื่อพระเจ้าเกือบทุกอาทิตย์ แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ ทำไมจำนวนผู้มานมัสการพระเจ้าในคริสตจักรกลับเพิ่มขึ้นมาไม่มากนัก มีคนใหม่เข้ามา แต่ก็มีอีกหลาย ๆ คนที่หายไป เพราะนี่คือยุคสุดท้ายที่พระคัมภีร์บอกเอาไว้ว่าจะมีคนหันหลังให้กับพระเจ้าเป็นจำนวนมาก
“ลูกทั้งหลายเอ๋ย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่พวกท่านได้ยินได้ฟังมาว่าศัตรูของพระคริสต์จะมา เดี๋ยวนี้ศัตรูของพระคริสต์จำนวนมากก็มาแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงรู้ว่าบัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว พวกเขาได้ออกไปจากเรา แต่เขาก็ไม่ได้เป็นของเรา เพราะว่าถ้าเขาเป็นของเรา เขาก็จะอยู่กับเราต่อไป แต่การที่เขาได้ออกไปนั้นแสดงให้เห็นชัดว่าเขาไม่ได้เป็นของเรา” 1 ยอห์น 2:18 – 19
4. แต่ผู้เชื่อจะเต็มไปด้วยความหวัง
เป็นเรื่องแปลกที่ในยุคสุดท้ายจะมีการละทิ้งความเชื่อมากมาย แต่ก็ยังเป็นยุคที่ผู้เชื่อมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีผู้คนจำนวนมากเชื่อว่าเรากำลังอยู่ในปลายของยุคสุดท้ายแล้ว พระเยซูคริสต์ใกล้จะเสด็จกลับมาครั้งที่สองแล้ว เราเต็มไปด้วยความหวังที่จะได้พบกับพระเยซู จะได้เห็นฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ แต่คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วเราควรจะดำเนินชีวิตยังไง?
อยากให้เราตระหนักความจริงข้อหนึ่งก็คือ สักวันหนึ่งโลกนี้จะต้องถูกทำลายลง บ้านที่เราอยู่ รถที่เรามี เงินทองที่เราสะสม หรือความมั่งคั่งต่าง ๆ วันหนึ่งทุกอย่างจะหายไปหมดสิ้น สิ่งต่าง ๆ ที่เราเห็นจะต้องถูกทำลายเพื่อให้แผ่นดินโลกใหม่เข้ามาแทนที่ แล้วเราควรจะเป็นคนแบบไหน? เรายังคงรักเงินทอง เรายังคงให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้เป็นอันดับแรกหรือไม่? หรือเราได้ทุ่มเทให้กับงานขององค์พระผู้เป็นเจ้ามากพอไหม?
สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือ การรักษาสมดุลระหว่างการดำเนินชีวิตในโลกนี้ กับการรอคอยการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ เหมือนกับสามีภรรยาที่ไปหาหมอ และพบว่าตนเองกำลังจะมีลูก ด้านหนึ่งก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับลูกที่จะคลอดออกมา ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตั้งชื่อให้ลูก การหาซื้อเสื้อผ้าเด็กอ่อน หาซื้อที่นอน ที่อาบน้ำ ขวดนม และสิ่งต่าง ๆ ให้พร้อม ขณะเดียวกัน ก็ยังคงต้องใช้ชีวิตตามปกติ ต้องไปทำงานหาเงิน ยังคงต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ยังคงต้องไปพบปะเพื่อนฝูง ยังคงต้องดำเนินชีวิตตามปกติประจำวัน
อยากให้เราลองสำรวจดูชีวิตของเราว่าเราดำเนินชีวิตแบบสมดุลหรือไม่? เราเริ่มตระหนักหรือยังว่าวันเวลานั้นใกล้เข้ามามากแล้ว? แล้วเราพร้อมไหมถ้าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาวันนี้?
“แต่วันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงเหมือนอย่างขโมย และในวันนั้น ฟ้าจะหายลับไปด้วยเสียงดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่บนนั้นจะถูกเผาจนหมดสิ้น เมื่อเห็นแล้วว่าทุกสิ่งจะต้องสลายไปเช่นนี้ พวกท่านควรจะเป็นคนแบบไหนในการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์และที่ยำเกรงพระเจ้า จงเฝ้ารอและเร่งวันของพระเจ้าให้มาถึง ซึ่งวันนั้นท้องฟ้าจะถูกเผาจนสลายไป และโลกธาตุก็จะสลายไปด้วยไฟ แต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น เราจึงคอยท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ความชอบธรรมจะดำรงอยู่” 2 เปโตร 3:10 - 13
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถอีเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com
เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com