เว็บสยามคริสเตียน > บทความคริสเตียน > รู้ทันกลยุทธ์ของมาร
เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์
ถ้าหากมีคนมาหาคุณและบอกคุณว่าจะต้องเดินทางไปที่แห่งหนึ่ง แต่ระหว่างทางนั้นเต็มไปด้วยกับระเบิดและหลุมพรางต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่เขาให้แผนที่เรามาฉบับหนึ่ง ซึ่งในนั้นระบุตำแหน่งของกับระเบิดทุก ๆ จุดที่ซ่อนอยู่ คำถามคือ เราจะทำอย่างไรกับแผนที่ฉบับนี้? เราจะเพิกเฉยไม่สนใจ หรือนาน ๆ จะหยิบมาดูสักที หรือว่าเราจะนำมันมาดูและศึกษามันอย่างสม่ำเสมอ?
เราทุกคนกำลังเดินอยู่บนเส้นทางสายหนึ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม เราจำเป็นต้องเดินบนเส้นทางนี้ตราบที่เรายังมีชีวิตอยู่ และพระเจ้าทรงให้แผนที่แห่งชีวิตแก่เรา ซึ่งก็คือพระคัมภีร์นั่นเอง ในพระคำของพระองค์ได้บอกเราถึงหลุมพรางและกับดักต่าง ๆ ที่มารซาตานได้วางเอาไว้ เพราะพระวจนะของพระเจ้าเป็นโคมสำหรับส่องเท้าในชีวิตของเรา (สดุดี 119:105) คำถามคือ เราทำอย่างไรก็แผนที่ฉบับนี้? เราเคยอ่านมันบ้างไหม? หรือเราอ่านแบบนาน ๆ ครั้ง? หรือว่าเราอ่านอย่างสม่ำเสมอ ใคร่ครวญเป็นประจำทุกวัน?
โดยปกติทีมนักฟุตบอลอาชีพนั้นไม่เพียงแต่มีการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น แต่เขายังต้องศึกษากลยุทธ์ต่าง ๆ ของคู่ต่อสู้ด้วย เขาจะต้องดูเกมการแข่งขันอื่น ๆ ของคู่ต่อสู้อย่างละเอียด นำมาคิดวิเคราะห์ และดูว่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างไร
ในชีวิตเราก็เช่นเดียวกัน มารซาตานพยายามศึกษาชีวิตของเราแต่ละคนอย่างละเอียด มันรู้ว่าเราพักอยู่ที่ไหน เรียนโรงเรียนอะไร ทำงานอะไร เราชอบกินอะไร ชอบเที่ยวแบบไหน นิสัยเราเป็นอย่างไร ความฝันและเป้าหมายของเราคืออะไร หน้าที่ของมันก็คือพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำลายเรา ทำให้เราออกห่างจากพระเจ้า ให้เราเดินเข้าไปยังหลุมพรางต่าง ๆ ที่มันวางไว้ ให้เราเดินเข้าไปหากับระเบิด และตายในที่สุด
ใน ปฐมกาล 3:1-6 นั้นได้บันทึกถึงจุดเริ่มต้นของมารซาตานที่มาล่อลวงมนุษย์ และนั่นทำให้เราได้เห็นกลยุทธ์ของมันบางประการ ดังนี้
ในบรรดาสัตว์ป่าทั้งหมด ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงสร้างนั้น งูฉลาดกว่าหมด… ปฐมกาล 3:1
มารซาตานใช้งูเป็นเครื่องมือในการล่อลวงมนุษย์ พระคัมภีร์บอกว่างูฉลาดกว่าสัตว์อื่น ๆ ทั้งหมด มารซาตานใช้งูมาพูดคุยกับมนุษย์ และการสนทนาแรกของงูกับมนุษย์ก็คือ การพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องศาสนา เกี่ยวกับเรื่องของพระเจ้า
เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก สร้างสัตว์ และมนุษย์นั้น พระองค์ทรงเห็นว่าดี ในปฐมกาล 1:31 บอกว่า “พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ดูสิ ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่หก” ดังนั้นงูจึงเป็นสัตว์ที่ดีด้วย ถ้าหากซาตานเอาสิ่งไม่ดีมาหาเรา เราก็คงรู้ทันและไม่หลงกลมัน
เหมือนกับการเล่นมายากล นักมายากลพยายามทำบางอย่างเพื่อดึงความสนใจเรา และลับหลังก็แอบทำบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ และหลังจากนั้นก็โชว์สิ่งนั้นออกมาในตอนสุดท้ายให้เราได้เห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคาดคิดไม่ถึง เช่นเดียวกัน มารซาตานใช้สิ่งที่ดีล่อเราให้หลง แต่เบื้องหลังมันกำลังทำบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้เราตกที่นั่งลำบากหากเราหลงกลมัน
เหมือนกับการที่บริษัทบัตรเครดิตโทรมาหาเราและแจ้งว่า เพราะคุณเป็นลูกค้าที่ดีของเรา เราจึงยกระดับบัตรเครดิตให้คุณเป็นบัตรแพลทินัม คุณจะได้วงเงินเพิ่มอีกหลายแสนบาท และไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งหมด คุณสามารถจ่ายแค่ยอดขั้นต่ำได้ เมื่อเราฟังเราแล้วคงรู้สึกดี รู้สึกว่าเครดิตเราดีขึ้น บัตรนี้มีโปรโมชั่นมากมาย ชีวิตเราได้รับการยกระดับขึ้น เราใช้จ่ายเงินได้มากขึ้น ในขณะที่สามารถจ่ายชำระเงินแค่ยอดขั้นต่ำเท่านั้น เวลาผ่านไปจากเดือนเป็นปี มารู้อีกทีก็พบว่าเราเป็นหนี้มหาศาล สิ่งที่เราคิดว่าดีกลับทำร้ายเราได้โดยไม่รู้ตัว
…มันถามหญิงนั้นว่า “จริงหรือ? ที่พระเจ้าตรัสว่า ‘ห้ามพวกเจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนนี้’ ปฐมกาล 3:1
ความจริงคือพระเจ้าอนุญาตให้กินผลไม้จากต้นใดก็ได้ในสวน ยกเว้นเพียงต้นเดียวคือต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วเท่านั้นที่กินไม่ได้ (ปฐมกาล 2:17) แต่มารซาตานมันไม่พูดถึงเสรีภาพที่พระเจ้ามีต่อเรา มันมุ่งจู่โจมไปในสิ่งที่พระเจ้าห้าม พูดถึงข้อจำกัดที่พระเจ้าให้เรา
มารซาตานเปลี่ยนคำสั่งของพระเจ้าเป็นคำถาม “จริงหรือ” ซึ่งปกติคำถามนั้นจะฟังดูรุนแรงน้อยลง และเมื่อเราคล้อยตามมัน เมื่อเรามีคำถามและมีความสงสัยเกิดขึ้น เราก็กำลังตกหลุมพรางที่มันวางเอาไว้
เหมือนกับเด็กที่บ่นถึงของขวัญชิ้นเดียวที่ไม่ได้รับในวันคริสมาส แต่ไม่ยอมมองถึงของขวัญอีกมากมายที่มีคนให้ ผลก็คือเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญถึงสิ่งที่ไม่มีและไม่ได้ชื่นชมกับของขวัญดี ๆ อีกมากมายที่ตัวเองมี
กลยุทธ์ของมารซาตานก็คือพยายามทำให้เรารู้สึกว่าพระเจ้าห้ามไม่ให้เราสนุก ไม่ให้เราชื่นชมกับสิ่งดี ๆ อะไรเลย ซึ่งแท้จริงแล้วการที่พระเจ้าห้ามเราไม่ให้ทำอะไรก็เพื่อที่จะปกป้องเรา เหมือนกับการห้ามกินผลไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว เพราะพระองค์รู้ว่าถ้าเรากินผลของต้นนี้วันใด เราก็จะอดกินผลไม้ทุกต้นในสวนเอเดนเลย
จำไว้ว่ามารซาตานไม่สามารถบังคับเราให้ทำบาปได้ เมื่อมันบังคับเราไม่ได้ มันจึงพยายามทำให้เราก้าวเข้าไปหาความบาปเอง โดยการหลอกล่อเรา นี่คือการตัดสินใจของเราโดยมีอิทธิพลของมารอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่การบังคับของมารให้เราทำบาป ดังนั้นเมื่อเราทำบาป เราไม่สามารถโทษมารได้ เพราะเป็นการตัดสินใจของเรา มันทำให้ความคิดของมันเป็นความคิดของเรา และผลก็คือการกระทำที่ตามมานั่นเอง
งูจึงพูดกับหญิงนั้นว่า “พวกเจ้าจะไม่ตายแน่” ปฐมกาล 3:4
มารซาตานพยายามหลอกเราว่านี่ยุคอะไรแล้ว ความเจริญก้าวหน้าของโลกไปถึงไหนแล้ว ทำไมมาเชื่อพระคัมภีร์ซึ่งเป็นข้อเขียนโบร่ำโบราณ ผ่านมาตั้ง 2,000 – 4,000 ปี แล้ว ยังจะมายึดถืออะไรอีก พระคัมภีร์ล้าหลัง เชื่อไม่ได้แล้ว เอามาปรับใช้กับโลกยุคไอทีไม่ได้อีกต่อไป
“พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรกและไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา” ยอห์น 8:44
มารคือพ่อแห่งการโกหก มันพยายามบอกเราว่าโอเค ทำได้ไม่เป็นไร เราไม่ตายหรอก เราไม่แย่หรอก เราไม่ป่วยหรอก ไม่มีใครเขาว่าเราหรอก ใคร ๆ เขาก็ทำกันเป็นเรื่องปกติ เราจำเป็นต้องเช็คให้ดีว่าเสียงที่เข้ามาในหัวของเรานั้นเป็นเสียงของใคร เป็นเสียงของสัจจะ หรือเสียงของพ่อแห่งการมุสา
“เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า พวกเจ้ากินผลจากต้นไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า คือรู้ความดีและความชั่ว” ปฐมกาล 3:5
มารซาตานต้องการเป็นอิสระจากพระเจ้า มันจึงกบฏต่อพระองค์ มันไม่อยากอยู่ใต้บังคับบัญชาพระเจ้า และมันอยากล่อลวงเราให้กบฏต่อพระองค์เหมือนมันด้วย มันพยายามบอกเราว่าพระเจ้าไม่อยากให้เราเท่าเทียมกับพระองค์จึงห้ามไม่ให้เรากินผลไม้นั้น ถ้าเรากิน เราก็จะเป็นเหมือนพระเจ้า
การเป็นเหมือนพระเจ้าในที่นี้คืออะไร ก็คือการรู้ดีรู้ชั่วได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีพระเจ้ามาเกี่ยวข้อง การกินผลไม้เป็นเหมือนการทำให้เรามีข้อมูล มีความรู้ รู้ว่าอะไรดี อะไรบาป เมื่อเราเป็นเหมือนพระเจ้า เราก็อยู่ระดับเดียวกับพระเจ้า ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังพระองค์อีกต่อไป เป็นเหมือนพระเจ้าคือรู้ดีรู้ชั่ว และเมื่อเรากบฏ เมื่อเราอยากมีอิสรภาพ อยากเป็นอิสระจากพระเจ้า เราก็ต้องรับผลแห่งการกระทำนั้นด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าแบบนี้คุ้น ๆ ในชีวิตของเราบ้างไหม? มีคนที่อยากจะเป็นเหมือนเราและต้องการเป็นอิสระจากเรา พ่อแม่ที่มีลูกเป็นวัยรุ่นคงจะเข้าใจดี พวกเขาพูดคุยอย่างผู้ใหญ่ พูดคุยเหมือนนักวิชาการ พวกเขาพยายามทำตัวว่ารู้ดีเหมือนเรา พยายามกบฏ ไม่ต้องการที่จะเชื่อฟังเรา ต้องการเป็นอิสระ แต่ปัญหาก็คือพวกเขาอยากเป็นอิสระในขณะที่ยังต้องพึ่งพาพ่อแม่ อย่าบอกเขาว่าต้องทำอะไร แค่ให้อาหารเขากินทุกมื้อก็พอ อย่าบอกว่าต้องทำอะไร แค่ซื้อเสื้อผ้าให้ใส่ อย่าบอกว่าต้องทำอะไร แค่ไปส่งเขาก็พอ เพราะยังไม่มีใบขับขี่ วัยรุ่นอยากเป็นอิสระ แต่ก็ยังต้องการอยู่ภายใต้การโอบอุ้มของพ่อแม่ ความสัมพันธ์นี้ช่างเหมือนกับมนุษย์ที่กบฏต่อพระเจ้า ต้องการเป็นอิสระจากพระองค์ แต่ก็ยังต้องพึ่งพาพระเจ้าอยู่เสมอ เราช่างเป็นลูกที่ไม่ประสีประสาอะไรเลย และผลของการกบฏของเราก็คือ “ความตาย” ที่เราทุกคนต้องเผชิญ คือการที่เราต้องพรากจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างเรามา
“เมื่อหญิงนั้นเห็นว่าต้นไม้นั้นดีน่ากิน ทั้งเป็นต้นไม้น่าปรารถนาที่ทำให้เกิดปัญญา จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน แล้วส่งให้สามีที่อยู่กับเธอกินด้วย เขาก็กิน” ปฐมกาล 3:6
มารซาตานหลอกล่อเราด้วยสิ่งที่ตาเรามองเห็น จากผลไม้ต้องห้ามที่เอวาไม่เคยสนใจ แต่มันสามารถพูดหลอกล่อให้เอวาเปลี่ยนใจ หันมามองใหม่และเห็นว่าผลของต้นไม้นั้นน่ากินดี เหมาะสำหรับเป็นอาหาร แต่มันไม่ชี้ให้เห็นผลที่จะตามมา
ไม่เพียงเท่านี้ มันยังทำให้เราเกิดความปรารถนาในใจอีกด้วย เหมือนกับที่เอวาเริ่มรู้สึกดีกับต้นไม้ต้นนี้ ไม่เพียงแต่สายตาที่มองเห็นว่าน่ากิน แต่ในใจยังรู้สึกดีด้วย เพราะมีเหตุผลมารองรับว่าทำให้เกิดปัญญา ซึ่งตรงกับการดำเนินชีวิตของหลาย ๆ คนในปัจจุบันที่มักทำอะไรตามความรู้สึก ถ้ารู้สึกชอบ รู้สึกดี ก็ทำไปเลย โดยไม่สนใจผลลัพธ์ที่จะตามมาภายหลัง
การใช้แนวคิดว่า ถ้ารู้สึกดี ก็ทำไปเลย เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตนั้นอันตรายมาก ไม่ได้หมายความว่าทุกเรื่องที่เรารู้สึกดีนั้นทำไม่ได้ เป็นสิ่งไม่ดี แต่อย่าลืมว่าความบาปส่วนใหญ่นั้นน่าดู และหลายอย่างก็มีเหตุผลมารองรับทำให้รู้สึกดี และเมื่อเราทำบ่อย ๆ ก็จะเป็นความเคยชิน เป็นนิสัย และปลายทางหรือผลลัพธ์ที่ซ่อนอยู่ก็คือความตายนั่นเอง เหมือนกับในสุภาษิต 14:12 ที่บอกว่า “มีทางหนึ่งซึ่งคนเราคิดว่าถูก แต่ปลายทางคือความมรณา”
เราจำเป็นต้องมีพระคำพระเจ้า เพราะคนของพระเจ้าจะรู้จักแยกแยะดีชั่วได้ เหมือนใน ฮิบรู 5: 14 บอกว่า “อาหารแข็งนั้นสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับคนที่ฝึกฝนจนมีความสามารถแยกแยะดีชั่วได้แล้ว”
หากเราต้องการเดินบนเส้นทางแห่งชีวิตได้อย่างปลอดภัย เราจำเป็นต้องยึดพระคำพระเจ้าไว้ให้มั่น เราจำเป็นต้องรู้กลยุทธ์ของมารซาตาน เราต้องรู้ทันอุบายที่มันวางเอาไว้ และพระคำพระเจ้าจะเป็นแผนที่บอกเราว่ามีกับดักและหลุมพรางซ่อนอยู่ที่ไหนบ้าง คำถามก็คือ เมื่อเรารู้แล้ว เราจะทำอย่างไร เดินหลบไปอีกทาง หรือว่าเดินเข้าไปหามัน?
“อย่าให้คนที่ถูกล่อลวงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงล่อลวงข้าพเจ้า” เพราะว่าพระเจ้าจะไม่ถูกความชั่วล่อลวง และพระองค์เองก็ไม่ทรงล่อลวงใครเลย แต่ทุกคนถูกล่อลวงด้วยตัณหาของตัวเอง คือถูกตัณหานั้นล่อลวงและชักนำ เมื่อตัณหาฟักตัวขึ้นแล้วก็ก่อให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็ก่อให้เกิดความตาย
พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า อย่าถูกหลอกเลย ของประทานที่ดีและเลิศทุกอย่างนั้นมาจากเบื้องบน คือมาจากพระผู้สร้างแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระองค์ไม่มีการแปรปรวนหรือเงาของการเปลี่ยนแปลง เมื่อตั้งพระทัยแล้ว พระองค์ทรงให้เราบังเกิดด้วยพระวจนะแห่งความจริง เพื่อให้เราเป็นผลิตผลแรกของสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงสร้าง” ยากอบ 1:13 - 18
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com
เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com