เว็บสยามคริสเตียน > บทความคริสเตียน > กำลังในยามยากลำบาก
เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์
สำหรับหลาย ๆ คนแล้ว ช่วงเวลานี้คงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของชีวิต ในภาวะปัจจุบัน เมื่อเราเห็นจำนวนคนติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ จากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 เราก็คงรู้สึกวิตกกังวลและกลัวโรคร้ายที่ยังไม่สามารถหายาที่จะรักษาได้ และเมื่อเราเห็นประกาศปิดร้านค้า ปิดสถานที่ต่าง ๆ คนไม่กล้าออกมาเดินตามถนน เศรษฐกิจต่างหยุดชะงัก เราก็กังวลอนาคตของชีวิตว่าจะตกงานไหม? หนี้สินที่มีจะทำอย่างไร? เงินเก็บที่มีจะเพียงพอหรือไม่? และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วชีวิตเราจะเป็นปกติเหมือนก่อนหน้านี้ไหม? ถ้าไม่เหมือนเดิมแล้วเราจะทำอย่างไร? ทำไมพระเจ้าถึงให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับโลกที่พระองค์ทรงสร้าง? แล้วพระเจ้าจะช่วยเราให้ผ่านสถานการณ์นี้ได้ยังไง?
ใน อิสยาห์ 40:27 – 31 คนอิสราเอลต่างก็มีคำถามต่าง ๆ มากมายเช่นเดียวกัน เมื่อเขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก เมื่อเขาต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรบาบิโลน เขาต่างถามว่าพระเจ้าอยู่ไหน? ทำไมพระองค์ปล่อยให้ประชากรของพระองค์ต้องทุกข์ยากแบบนี้? พระเจ้าไม่เห็นหรือว่าเขากำลังเผชิญกับเรื่องอะไรอยู่ มันไม่ยุติธรรมเลยที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา (27)
จะมีช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ห่างจากเรา พระเจ้าไม่ได้อยู่ข้างเรา เหมือนกับที่โยบรู้สึกและบอกว่าเขาได้มองหาพระเจ้าทั้ง 4 ทิศ แต่ก็หาพระองค์ไม่พบ
“ดูเถิด ข้าเดินไปข้างหน้า แต่พระองค์มิได้สถิตที่นั่น และไปข้างหลัง แต่ก็ไม่สังเกตเห็นพระองค์ ข้างซ้ายที่พระองค์ทรงทำกิจ ข้าก็ไม่เห็นพระองค์ ข้างขวาที่พระองค์ทรงซ่อนอยู่ ข้าก็ไม่พบพระองค์” โยบ 23: 8 – 9
พระเจ้ายังทรงเหมือนเดิม
เมื่อเวลาแห่งความยากลำบากมาถึง แม้ว่าเราจะมองไม่เห็นพระเจ้า แม้ว่าเราจะหาพระองค์ไม่พบ เราต้องจำไว้ว่าพระเจ้ายังทรงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระเจ้าเป็นพระเจ้าในวันที่สุขสมหวังของชีวิต พระองค์ยังคงเป็นพระเจ้าเมื่อชีวิตเราพบกับความมืดมนด้วยเช่นเดียวกัน เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะวิ่งหนีออกจากพระองค์ แต่เป็นเวลาที่เราจะวิ่งเข้าหาพระองค์ เป็นเวลาที่เราจะต้องเข้ามารื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าอีกครั้ง
ในข้อ 28 บอกเราว่า “ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือ? ท่านเคยได้ยินไม่ใช่หรือ? พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ เป็นผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย ความเข้าใจของพระองค์ก็เหลือจะหยั่งรู้ได้” และนี่คือพระลักษณะของพระเจ้าที่เราควรระลึกถึงเมื่อเราประสบกับความทุกข์ยากลำบาก
1. พระองค์ทรงเป็นนิรันดร์
การทรงเป็นนิรันดร์ของพระองค์นั้นก็คือ การที่พระองค์ไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่
2. พระองค์ทรงประกอบด้วยฤทธิ์อำนาจ
พระเจ้าของเราทรงสร้างโลก สร้างฟ้าสวรรค์และจักรวาล นั่นก็คือพระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจ ทรงครอบครองเหนือทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดยากหรือเกินกำลังพระองค์
3. ความเข้าใจเหลือหยั่งรู้
พระเจ้าของเราทรงสัพพัญญู พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่ง ทรงจำได้ทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทรงลืมเลย
ดังนั้นเมื่อเรามีปัญหา เมื่อมีคำถามต่าง ๆ มากมาย ให้เรากลับมาดูว่าพระเจ้าคือใคร 3 ข้อ นี้ เพื่อให้ความเชื่อของเรามั่นคงมากยิ่งขึ้น
พระเจ้าไม่ได้ตอบเราทุกคำถาม
เป็นเรื่องปกติเมื่อเรามีความสุขนั้น เรามักไม่มีคำถามหรือปัญหาอะไรใด ๆ แต่เมื่อความทุกข์ผ่านเข้ามาในชีวิต คำถามต่าง ๆ ก็เริ่มต้นขึ้น ทำให้หลายคนคิดว่าพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่ยากที่จะเข้าใจได้ เพราะบางทีเราคิดว่าพระเจ้าน่าจะตอบเรา พระองค์น่าจะทำสิ่งนี้ น่าจะจัดการกับสิ่งนั้น แต่พระองค์กลับนิ่งเงียบ พระองค์กลับทำในสิ่งอื่นที่ไม่เหมือนกับความคิดเรา หลาย ๆ ครั้งพระเจ้าก็ไม่ได้บอกอะไรเรา ไม่ได้อธิบายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และช่วงที่พระเจ้าเงียบนั้นเป็นช่วงที่เราหลาย ๆ คนมักไม่สบายใจ เป็นช่วงที่ความสงสัยในพระองค์กลับมาทวีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ในเฉลยธรรมบัญญัติ 29:29 บอกว่า “สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย แต่สิ่งที่ทรงสำแดงนั้นเป็นของเราทั้งหลายและของลูกหลานของเราเป็นนิตย์ เพื่อเราจะทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของธรรมบัญญัตินี้”
ในหลาย ๆ ครั้ง พระเจ้าทรงบอกสิ่งต่าง ๆ ให้เราได้รู้ อธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ให้เราเข้าใจ แต่ในบางครั้ง พระเจ้าก็มีสิ่งลี้ลับที่ซ่อนเราอยู่ สิ่งที่ไม่บอกเรา ไม่อธิบายให้เราฟัง เหมือนกับลูกของเราที่ถามคำถามเรา บางครั้งเราก็ตอบ แต่ในหลาย ๆ ครั้งเราก็นิ่งเงียบ เพราะรู้ว่าตอบไป อธิบายไป ลูกเราก็ยังไม่เข้าใจ เพราะเขายังเด็ก เพราะความรู้และประสบการณ์เขานั้นมีจำกัด หรือว่าอาจจะยังไม่ถึงเวลาที่เขาควรรู้ การไม่บอกเขาในตอนนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า
แน่นอนว่าเราสามารถถามคำถามพระเจ้าได้ แต่เราต้องไม่สงสัยในพระองค์ เพราะการสงสัยในพระองค์นั้นก็คือการท้าทายพระองค์นั่นเอง เหมือนกับมีคนบอกว่าตัวเองเป็นนักกิน สามารถกินข้าวได้ 3 กิโลในคราวเดียว เมื่อเราไม่เชื่อ หากเราสงสัยว่าเขาจะทำได้ไหม ขั้นต่อมาก็คือท้าทายเขา ให้เขาทำให้เราดู เพื่อที่เมื่อเราเห็นกับตา เราก็จะได้เชื่อในสิ่งที่เขาพูด และนี่คือการท้าทายพระเจ้าเช่นเดียวกันหากเรามีความสงสัยในพระเจ้า สงสัยในฤทธิ์อำนาจของพระองค์ สงสัยว่าพระองค์ทรงทำได้หรือไม่ เพราะพระเจ้าบอกว่า หากเราไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าไม่ได้เลย (ฮิบรู 11:6)
จงรอคอยพระเจ้า
ความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อเกิดปัญหา ถ้าหากเรารู้จักพระเจ้าของเราน้อย ปัญหาก็จะคุมเรา แต่ถ้าเรารู้จักพระองค์ดีพอ ปัญหาก็ทำอะไรเราไม่ได้ อย่าให้เราหันไปพึ่งพาสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์ อย่าให้เราไปพึ่งดวงดาว พึ่งโชคชะตาราศีเพื่อดูอนาคต พระเจ้าเป็นผู้สร้างดวงดาวทุกดวง และมันไม่สามารถบอกอนาคตของเราได้ พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ พระเจ้าอยากให้เราระลึกถึงพระองค์เมื่อเราต้องเผชิญกับปัญหาหรืออยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เราต้องให้พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเราในยามที่ชีวิตของเรารุ่งเรือง และเป็นพระเจ้าของเราในช่วงเวลาที่ตกต่ำของชีวิตด้วยเช่นเดียวกัน พระเจ้าต้องเป็นพระเจ้าของเราในทุกสถานการณ์ของชีวิต คำถามต่อมาก็คือ แล้วเราจะทำยังไงเมื่อเกิดปัญหา?
ในข้อ 31 บอกเราว่า “แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระยาห์เวห์จะได้รับกำลังใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่อ่อนเปลี้ย เขาจะเดินและไม่เหน็ดเหนื่อย”
พระเจ้าต้องการให้เรา “รอคอย” การรอคอยในที่นี้ไม่ใช่การนั่งเฉย ๆ แล้วรอดูว่าพระเจ้าจะทำอะไร แต่เป็นการที่ชีวิตของเราต้องติดสนิทกับพระเจ้า มอบสถาการณ์ต่าง ๆ และการตัดสินใจของเราไว้กับพระเจ้า ให้พระองค์ทรงเป็นผู้นำทางชีวิตเรา ดังนั้นชีวิตของเราจึงไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์อีกต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า เหมือนกับผมของเรา หากเราปล่อยไว้เฉย ๆ ผมก็จะปลิวไปปลิวมาตามแรงลมพัด แต่เมื่อเรามัดผมหรือถักเปีย ลมต่าง ๆ ที่พัดมาก็ไม่สามารถทำให้ผมเคลื่อนไหวได้ เช่นเดียวกัน เมื่อเรามัดชีวิตของเรากับพระเจ้า เมื่อเราติดสนิทกับพระองค์ แรงลมแห่งสถานการณ์ที่ยากลำบากก็ไม่สามารถทำให้ชีวิตเราเซไปเซมาตามแรงลมนั้นได้
ในพระคัมภีร์ได้พูดถึงการรอคอยพระเจ้าไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอับราฮัมที่รอบุตรตามพระสัญญา หรือโนอาห์รอวันที่น้ำจะลดลงจากแผ่นดินโลก โยเซฟต้องทนทุกข์และรอคอยอยู่ในคุกเป็นเวลาหลายปี สาวกของพระเยซูที่รอคอยพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาตามพระสัญญา คนเหล่านี้ไม่ได้นั่งรอเฉย ๆ แต่เขาเหล่านั้นล้วนมีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้าและรอให้พระองค์ทรงกระทำการบางอย่าง คำถามก็คือ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังรอคอยพระเจ้าแบบนี้อยู่?
สดุดี 130:5 - 6 บอกว่า “ข้าพเจ้าคอยพระยาห์เวห์ จิตใจของข้าพเจ้าคอยอยู่ และข้าพเจ้าหวังในพระวจนะของพระองค์ จิตใจของข้าพเจ้าคอยองค์เจ้านายยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า”
เพลงคร่ำครวญ 3:25-26 บอกว่า “พระยาห์เวห์ทรงดีต่อผู้ที่คอยพระองค์และต่อผู้ที่แสวงหาพระองค์ เป็นการดีที่จะรออย่างเงียบๆ คือรอความรอดจากพระยาห์เวห์”
การรอคอยแบบที่คนของพระเจ้าทำกันก็คือการที่ชีวิตเราเข้าสนิทอยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงเข้าสนิทอยู่ในเรา เหมือนแขนงที่สนิทอยู่กับต้น เราไม่สามารถมีชีวิตที่ติดกับพระเจ้าได้ภายในชั่วข้ามคืนและเป็นการยากที่เราจะมีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า ดังนั้นเราจึงต้องการการฝึกฝน เพราะเมื่อเวลาที่ยากลำบากมาถึง เราก็จะพร้อมที่จะรอคอยพระองค์ เพราะเรามีชีวิตติดสนิทกับพระองค์แล้ว
ในยามที่เรารอคอยพระองค์นั้น เมื่อเรามีคำถาม เมื่อเราต้องการรู้คำตอบบางอย่างจากพระเจ้า พระองค์ไม่ได้สัญญาว่าจะตอบเราทุกคำถาม ไม่ได้สัญญาว่าจะให้ความเข้าใจแก่เรา แต่พระเจ้าสัญญาว่า
“แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระยาห์เวห์จะได้รับกำลังใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่อ่อนเปลี้ย เขาจะเดินและไม่เหน็ดเหนื่อย” (ข้อ 31)
พระเจ้าสัญญาจะให้กำลังใหม่แก่เรา คือกำลังที่เราไม่เคยมี เพราะเมื่อเราเผชิญกับปัญหา เราอาจจะหมดแรงและไม่อยากลุกไปไหน เหมือนกับโทรศัพท์เมื่อแบตหมดก็ไม่สามารถใช้การได้ มันต้องการการชารต์ไฟใหม่ ต้องการกำลังใหม่อีกครั้ง ซึ่งทำได้โดยการเสียบโทรศัพท์เข้ากับปลั๊กไฟเท่านั้น เช่นเดียวกัน เมื่อพลังงานแห่งชีวิตของเราหายหรือหมดไป เราต้องต่อสายตรงกับพระเจ้า เพื่อให้ได้รับกำลังใหม่ พระเจ้าทรงให้กำลังใหม่เราได้ 3 ทาง ดังนี้
1. เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี
เมื่อแม่นกอินทรีผลักลูกให้ลงจากหน้าผาเพื่อฝึกบิน เมื่อเห็นว่าลูกบินไม่ได้ แม่ก็จะไปโฉบเอาลูกบินขึ้นฟ้าและกลับไปที่รัง เช่นเดียวกัน การให้กำลังใหม่จากพระเจ้าแบบนี้จะเหมือนกับนกอินทรีที่โฉบลูกของตนขึ้นไปบนฟ้า คือดึงเราออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้โดยทันทีทันใด เราบินขึ้นที่สูงและพ้นจากความยากลำบากทันที สถานการณ์ของเราพลิกกลับเป็นดีได้ภายในชั่วข้ามคืน อย่างไรก็ตาม ในหลายต่อหลายครั้ง พระเจ้าก็ไม่ได้ให้กำลังใหม่เราโดยวิธีนี้ แต่พระองค์จะให้กำลังใหม่เราในแบบอื่น
2. เขาจะวิ่งและไม่อ่อนเปลี้ย
วิธีนี้พระเจ้าไม่ได้เอาเราออกจากสถานการณ์ แต่ให้เรามีกำลังพอที่จะวิ่งจนผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ เราจะมีแรงวิ่งมากขึ้น เหมือนเราวิ่งบนลู่วิ่งและดูทีวี เราจดจ่ออยู่ที่ทีวี ทำให้เราวิ่งได้นานกว่าวิ่งเฉย ๆ เช่นเดียวกัน ถ้าเราจดจ่อที่พระเจ้า ไม่ใช่ที่ความเจ็บป่วย ไม่ใช่ที่ความทุกข์ยาก ไม่ใช่ที่สถานการณ์ เมื่อเราจดจ่อที่พระองค์ เราก็จะวิ่งได้นานขึ้น และพระเจ้าจะให้กำลังเราจนสามารถผ่านมันไปได้
3. เขาจะเดินและไม่เหน็ดเหนื่อย
ในหลาย ๆ ครั้งของชีวิตเราต้องพบกับสถานการณ์ที่หนักมากจนไม่มีแรงพอที่จะวิ่งได้ เราทำได้ดีที่สุดก็แค่เดิน การเสริมกำลังใหม่แบบนี้นั้น พระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนสถานการณ์รอบข้างเรา แต่พระองค์ทรงเปลี่ยนเราท่ามกลางปัญหานั้น พระเจ้าไม่ได้พลิกสถานการณ์ แต่เปลี่ยนเรา หนุนใจเรา อาจจะผ่านทางคำเทศนา ผ่านบทเพลงที่หนุนใจเรา ผ่านพี่น้องที่อยู่รอบข้าง สถานการณ์เราไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงยกเว้นตัวเรา บางครั้งพระเจ้านำเราไปสู่บางสถานการณ์เพื่อให้เรายอมรับมัน สิ่งที่เราทำได้คือเดิน และพระเจ้าจะเสริมกำลังเราให้สามารถเดินได้จนกว่าสถานการณ์นี้จะผ่านไป หรือไม่เราก็สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี เหมือนกับคำที่นิยมพูดกันในปัจจุบันคือ “New Normal” นั่นเอง
ที่เมืองนอกนั้นมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ในรถเข็นที่ซุปเปอร์มาเก็ต อยากกินคุกกี้จึงขอแม่ให้ซื้อให้หน่อย แม่บอกไม่ได้เพราะว่าวันนี้กินขนมเยอะแล้ว เด็กคนนี้อ้อนวอนขอแม่หลายต่อหลายครั้ง แต่แม่ก็ยืนยันคำเดิมว่า “ไม่ให้” จนกระทั่งแม่เลือกของเสร็จและกำลังเข้าแถวรอจ่ายเงิน เด็กคนนี้จึงลุกขึ้นยืนบนรถเข็นและอธิษฐานเสียงดังว่า “เมื่อวันอาทิตย์หนูได้เรียนรวีมาว่าเมื่อเราอธิษฐาน พระเจ้าจะตอบ พระเจ้าหนูขอคุกกี้แต่ทำไมแม่ไม่ให้ ทำไมพระเจ้าไม่ตอบหนูเหมือนที่หนูเคยเรียนมาละ” มีผู้หญิงข้าง ๆ ได้ยิน เลยถามแม่ว่าทำไมเรื่องแค่นี้ถึงไม่ยอมให้ลูกละ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ซื้อคุกกี้ให้เด็กคนนี้แทน
ใครจะรู้ ชีวิตของเราเวลานี้อาจจะอยู่ในแถวต่อคิวรอจ่ายเงินก็เป็นได้ เมื่อเราไม่ได้อย่างที่คิดไว้ เมื่อเราพยายามทำตามวิธีของเราหมดทุกอย่าง แต่ก็ไม่เป็นผล ทำไมเราถึงไม่ลองขอต่อพระเจ้าดูละ? ให้เราทูลขอต่อพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงมีทางออกให้เราเสมอ
“แต่พระองค์ทรงทราบทางที่ข้าไป เมื่อทรงทดสอบข้าแล้ว ข้าก็จะเป็นอย่างทองคำ” โยบ 23:10
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com
เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com