พระเจ้ามีจริงหรือ โลกที่เราอยู่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญหรือมีผู้สร้าง
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> บทความคริสเตียน > พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี

พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

ในมหาวิทยาลัยจะมีระบบ “พี่เลี้ยง น้องเลี้ยง” ทั้งนี้ก็เพื่อให้นักศึกษาใหม่มีที่ปรึกษาส่วนตัว มีพี่คอยแนะนำการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย คอยแนะนำเรื่องการเลือกและลงวิชาเรียน คอยแนะนำกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้เราได้เจอเพื่อนใหม่ ๆ มากมาย พี่เลี้ยงจะคอยดูแลน้องเลี้ยงให้สามารถเผชิญกับปัญหา เผชิญกับสิ่งใหม่ ๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย และมากไปกว่านั้นก็คือการฝึกน้องเลี้ยงให้โตขึ้นจนสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้นักศึกษาใหม่ในปีถัดไปได้ แต่น่าเสียดายที่เมื่อเราออกจากมหาวิทยาลัยไปเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง พี่เลี้ยงเหล่านี้ก็จะไม่มีอีกต่อไป หลายครั้งเราต้องดำเนินชีวิตด้วยตัวเองเพียงลำพัง ต้องลองผิดลองถูกกับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามา ต้องเจอกับปัญหาต่าง ๆ มากมายที่ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปหาใคร คงจะดีใม่น้อยหากการใช้ชีวิตของเราจะมีพี่เลี้ยงส่วนตัวที่คอยนำเราตลอดไป

ในสดุดีบทที่ 23 กษัตริย์ดาวิดได้เขียนบทเพลงที่เป็นเหมือนกับ “ข่าวดี” ให้แก่เรา เป็นบทเพลงที่ให้ความหวังว่ายังมี “พี่เลี้ยง” ในโลกแห่งความเป็นจริงแต่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือ เป็น “ผู้เลี้ยง” ส่วนตัวของเรา เป็นผู้ซึ่งรู้จักเราเป็นอย่างดีและรู้ว่าเรากำลังเผชิญอยู่กับอะไร และรู้ว่าเราจะผ่านสิ่งเหล่านั้นไปได้อย่างไร เพราะผู้เลี้ยงของเรานั้นเป็นที่ ”ปรึกษามหัศจรรย์” นั่นเอง

พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี

1. พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน

ในสมัยที่ดาวิดเป็นเด็ก เขาช่วยพ่อเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งหญ้า ทำให้เขารู้จักลักษณะของผู้เลี้ยงและรู้จักแกะเป็นอย่างดี ดาวิดเปรียบพระเจ้าเหมือนกับผู้เลี้ยงแกะ และตัวเขาเองเป็นเหมือนแกะที่พระเจ้าทรงดูแล เพราะดาวิดรู้ว่าพระเจ้าของเขานั้นทรงยิ่งใหญ่ ทรงเป็นพระเจ้าแห่งฤทธิอำนาจที่สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทรงเป็นพระเจ้าที่รู้จักเขาเป็นอย่างดีและต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับเขา ต้องการพูดคุยกับเขาและต้องการดูแลเขาตลอดไป

- เรามีผู้เลี้ยงที่คอยนำชีวิตเรา

ถ้าแกะต้องการมีชีวิตรอดจำเป็นต้องมีผู้เลี้ยงคอยดูแล และผู้เลี้ยงมีหน้าที่แค่อย่างเดียวคือ “ดูแลแกะให้ดี” เพราะแกะเป็นสัตว์ที่ไม่สามารถป้องกันตนเองได้ มันต้องการผู้เลี้ยงมาคุ้มครอง นี่จึงเป็นสาเหตุที่เมื่อพระเยซูมองเห็นฝูงชนที่ติดตามพระองค์ก็สงสาร เพราะเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง (มาระโก 6:34) และนั่นคือโอกาสที่ดีของมารที่มันกำลังมองหาเหยื่อที่สามารถกัดกินได้

ขนแกะขาว ๆ ที่ดูสวยงามนั้นเรารู้หรือไม่ว่ามันสกปรกได้ง่ายมาก แกะจึงจำเป็นต้องมีผู้เลี้ยงที่คอยชำระล้างขนให้ขาวสะอาดอยู่เสมอ เช่นเดียวกับชีวิตเราที่หลงทำบาปได้ง่ายและต้องการการชำระล้าง

แกะพึ่งพาตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาผู้เลี้ยงในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย และการปกป้อง ผู้เลี้ยงจึงต้องทำงาน 24 ชั่วโมง 7 วัน เพื่อดูแลแกะให้เติบโตขึ้นมาอย่างปลอดภัย เช่นเดียวกับชีวิตเรา พระเจ้าไม่ใช่แค่สร้างเรา แต่ทรงเข้าใจเรา ทรงรู้ว่าเราแต่ละคนต้องการสิ่งใด และพระองค์ทรงคอยดูแลเราตลอดเวลาโดยไม่มีวันหยุดพัก

ในสดุดี 23 นั้น ดาวิดกำลังพูดเพื่อเล็งถึงพระเยซู ด้วยเหตุนี้เองพระเยซูจึงบอกว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี” ดังนั้นเมื่อเราต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ผู้ช่วยให้รอดผู้นี้ได้กลายมาเป็นผู้เลี้ยงของเรา พระองค์เป็นผู้เลี้ยงที่สามารถดูแลเราได้ เราถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ แต่ผู้เลี้ยงของเราไม่ เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่ผู้เลี้ยงรู้ ผู้เลี้ยงเห็นในสิ่งที่เราไม่เห็น รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ ได้ยินในสิ่งที่เราไม่ได้ยิน และที่สำคัญคือผู้เลี้ยงที่ดีนั้นไม่เคยทิ้งแกะของตน แต่กลับสละชีวิตของตนเพื่อแกะนั้น

เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น หากเราตกงาน เราไม่รู้ว่าจะได้งานอีกเมื่อไร? เราไม่แน่ใจว่าจะสามารถใช้หนี้ต่าง ๆ ได้ไหม? หากเรากำลังเจ็บป่วย เราไม่รู้ว่าสุขภาพเราจะดีขึ้นได้ไหม เราจะหายป่วยเมื่อไร? แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ เพราะการที่เรามีผู้เลี้ยงที่คอยนำชีวิตเรา นั่นก็เพียงพอแล้ว

- เรามีผู้เลี้ยงที่คอยดูแลชีวิตเรา

หน้าที่ของผู้เลี้ยงแกะมีแค่ 3 อย่าง คือ จัดหาที่พัก ปกป้องแกะจากอันตราย และจัดหาอาหารให้ ตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เราได้เห็นถึงการดูแลของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์เป็นอย่างดี เมื่อโมเสสต้องนำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญา เพราะการไม่เชื่อฟังของคนอิสราเอล จึงถูกพระเจ้าลงโทษ โมเสสต้องนำคนเป็นล้าน ๆ คน เดินวนเวียนอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึง 40 ปี แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ความเป็นผู้เลี้ยงของพระเจ้ายังคงเหมือนเดิม พระเจ้าทรงคอยดูแลคนอิสราเอล พระองค์ทรงจัดหาที่พัก ปกป้องคนอิสราเอล และจัดเตรียมอาหารและสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ให้ ในเวลานั้นไม่มีโรงแรม ไม่มีร้านอาหาร ไม่มีรถยนต์ ไม่มีห้างสรรพสินค้า ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ แต่ตลอด 40 ปี นั้น พระเจ้าทรงเลี้ยงดูประชากรของพระองค์ด้วยมานา ด้วยนกคุ่ม ทรงประทานน้ำให้ ทรงนำทางด้วยเสาเมฆและเสาเพลิง คนอิสราเอลไม่เคยขาดสิ่งใดเลย

“เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ได้ทรงอวยพรเจ้าในงานทุกอย่างที่มือของเจ้าทำ พระองค์ทรงทราบทางที่เจ้าเดินในถิ่นทุรกันดารใหญ่นี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าได้อยู่กับเจ้ามาสี่สิบปีแล้ว เจ้าไม่ขาดสิ่งใดเลยเฉลยธรรมบัญญัติ 2:7

มีพระสัญญาต่าง ๆ มากมายในพระคัมภีร์ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับเราว่า เราจะไม่ขาดสิ่งจำเป็นใด ๆ พระเจ้าไม่ได้ให้ “ทุกสิ่งตามที่เราต้องการ แต่ให้ทุกสิ่งตามที่เราจำเป็น” ไม่ใช่ให้ตามความโลภของเรา ไม่ใช่ให้เพื่อตอบสนองต่อกิเลศตัณหาของเรา แต่ทรงประทานทุกสิ่งให้ตามความเหมาะสมสำหรับเราแต่ละคน

“และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานทุกสิ่งที่จำเป็นแก่พวกท่านจากทรัพย์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์ในพระเยซูคริสต์” ฟิลิปปี 4:19

พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี

- เรามีผู้เลี้ยงที่รักเรา

ในภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า The Lord is My Shepherd พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงของเรา ไม่ใช่ของคนอื่น ถ้าไม่มีคำว่า “My” นี่ก็ไม่ใช่บทเพลงของเรา เราอาจจะรู้จักพระเจ้าว่าเป็นผู้เลี้ยง คำถามคือ แล้วพระเจ้าเป็นผู้เลี้ยงของเราหรือไม่? เรารู้จักพระเยซูเป็นการส่วนตัวหรือไม่? ถ้าเรายอมรับว่าเราเป็นคนบาป ถ้าเรายอมรับว่าพระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้าได้มาบังเกิดบนโลกนี้ ทรงยอมตายบนไม้กางเขนเพื่อรับโทษบาปผิดแทนเรา ทรงฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่ 3 และตอนนี้กำลังจัดเตรียมบ้านในสวรรค์ให้สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ ถ้าเรายอมรับและต้อนรับพระองค์เข้ามาในใจ ให้พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา เพียงเท่านี้เราก็จะมี “ผู้เลี้ยง” ส่วนตัวสำหรับชีวิตเรา เป็นผู้เลี้ยง “ของเรา” และเป็นผู้เลี้ยงที่ “รักเรา” รักเรามากจนยอมตายบนไม้กางเขนเพื่อรับโทษบาปแทนเรา และถ้าพระเจ้าเป็นผู้เลี้ยงของเรา เราก็เป็นแกะของพระองค์

ในอิสราเอลเมื่อผู้เลี้ยงแกะนำแกะออกไปหาอาหาร อาจจะมีฝูงแกะอื่น ๆ มาร่วมทางด้วย แต่ตอนเย็นเมื่อต้องแยกย้าย สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ ผู้เลี้ยงรู้จักและจำแกะทุกตัวได้ แม้ว่ามันจะดูหน้าตาเหมือน ๆ กันสำหรับเรา แต่ไม่ใช่สำหรับผู้เลี้ยง และแกะก็จำผู้เลี้ยงของตนเองได้เช่นกัน เมื่อถึงเวลาแยกย้าย ไม่มีแกะตัวไหนหลงฝูงเลย ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อแกะนอนลง ผู้เลี้ยงสามารถรู้ได้ทันทีว่าแกะตัวนั้นป่วยหรือไม่ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผู้เลี้ยงมีปฏิสัมพันธ์กับแกะทุก ๆ ตัวอย่างสม่ำเสมอ เขารู้จักแกะแต่ละตัวเป็นอย่างดี

พระเจ้าของเราก็เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงรู้จักเราเป็นอย่างดี พระองค์ปรารถนาที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับเรา พระองค์ต้องการพูดคุยกับเรา ใกล้ชิดกับเรา ดูแลเราเหมือนผู้เลี้ยงที่คอยดูแลเอาใจใส่แกะเป็นอย่างดี ดังนั้น เราต้องไม่เพียงแค่รู้จักผู้เลี้ยงเท่านั้น แต่เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับพระองค์และมีชีวิตที่ใกล้ชิดติดสนิทกับผู้เลี้ยงของเราด้วย เราต้องพูดคุยกับพระองค์ เชื่อฟังพระองค์และไม่หันออกไปจากทางที่ผู้เลี้ยงแนะนำนั้น ไม่เช่นนั้นเราอาจจะเป็นแกะหลงทางและอาจจะนำอันตรายมาสู่ชีวิตของเราได้

พระเยซูทรงแตกต่างจากผู้เลี้ยงคนอื่น ๆ ที่เราเคยพบ เนื่องจากผู้เลี้ยงคนอื่น ๆ อาจจะให้ทุกสิ่งที่จำเป็นต่อแกะ แต่พระเยซูทรงเป็นทุกสิ่งที่แกะต้องการ ถ้าเราหิว “พระองค์เป็นอาหารแห่งชีวิต” ถ้าเรากระหาย “พระองค์เป็นน้ำแห่งชีวิต” ถ้าเราหลงไปอยู่ในความมืด “พระองค์เป็นความสว่างของโลก” ถ้าเราสับสน “พระองค์ทรงเป็นความจริง” ถ้าเราตาย “พระองค์ทรงเป็นชีวิต” ถ้าหากเราต้องการอะไร พระองค์ทรงมีให้เราเสมอ แต่ถ้าพระองค์ไม่มี ก็หมายความว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ

ดังนั้นในข้อที่ 1 ของพระธรรมสดุดีบทที่ 23 จึงไม่ใช่แค่บทเกริ่นนำเท่านั้น แต่เป็นพื้นฐานของบทเพลงนี้ทั้งหมด เพราะการที่เรามีพระเจ้าเป็นผู้เลี้ยงของเรา นั่นก็หมายความว่าเรามีทุกสิ่งที่จำเป็นแล้วนั่นเอง เราจึงไม่ “ขัดสน” ในสิ่งใด หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า การมีพระเจ้าเพียงผู้เดียวก็เกินพอแล้ว

2. พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ

การพักผ่อนเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ เราจำเป็นต้องพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงพร้อมสำหรับวันใหม่ แต่การพักผ่อนทางด้านร่างกายอย่างเดียวนั้นอาจไม่เพียงพอ จิตใจและจิตวิญญาณของเราก็ต้องการการพักผ่อนด้วยเช่นเดียวกัน

เหมือนโทรศัพท์ของเรา การใช้โทรศัพท์ทำให้แบตค่อย ๆ น้อยลง ดังนั้นทุก ๆ คืนเราจึงจำเป็นต้องนำโทรศัพท์กลับมาชาตร์แบตใหม่ทุกครั้ง ชีวิตเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราใช้ชีวิตไป พลังงานชีวิตก็เริ่มน้อยลง เราจำเป็นต้องหาเวลามาชาตร์พลังงานชีวิตให้เต็มอีกครั้ง

แต่การพักผ่อนให้เพียงพอมักจะเป็นเรื่องยาก เรามักมีข้ออ้างหรือมีสิ่งที่ต้องทำก่อนเสมอ เหมือนกับการบอกเด็ก ๆ ให้นอนตอนกลางคืน เด็ก ๆ ก็จะร้องว่าไม่ง่วง ขอเล่นอีก ไม่อยากนอน เราจึงต้องจัดการให้เขานอนลง เพื่อประโยชน์แก่ตัวเขาเอง สำหรับผู้ใหญ่เองนั้น บางครั้งหมอก็ทำให้เรานอนลง เมื่อเราไม่สบาย ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของตัวเราเองเช่นเดียวกัน

ในหลาย ๆ ครั้ง ทั้งนี้ก็เพื่อฟื้นฟูจิตใจเรา ฟื้นฟูชีวิตเรา ให้ชีวิตเรากลับคืนมาเหมือนเดิม บางครั้งชีวิตเราเจ็บ ทนทุกข์ มีปัญหาสุขภาพ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาด้านความสัมพันธ์ ชีวิตเราแย่ โดยเฉพาะสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีการระบาดของโรคโควิด หลายคนกลัวการออกไปข้างนอก เมื่อออกไปก็ต้องใส่หน้ากากอนามัย พระเจ้าทรงทำให้เรานอนลงหรือบางทีก็ถูกกักตัว ห้ามออกจากบ้าน ถูกเคอร์ฟิว ชีวิตเราไม่ปกติ ชีวิตเราจึงเริ่มป่วยลง

“ทุ่งหญ้าเขียวสด” ดาวิดให้เราเห็นภาพของความอุดมสมบูรณ์ แกะไม่ต้องกังวลใด ๆ ดังนั้นจึงสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ หญ้าคืออาหารของแกะฉันใด พระคำพระเจ้าก็เป็นอาหารฝ่านจิตวิญญาณของเราฉันนั้น ดังนั้นการพักผ่อนในพระคำของพระเจ้า หรือการอ่านพระคำของพระองค์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พระคำของพระเจ้าทำให้เกิดการฟื้นฟูฝ่ายจิตวิญญาณและพระสัญญาของพระองค์เป็นกำลังที่จะช่วยให้เราสามารถเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้

พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี

“ริมน้ำแดนสงบ” เป็นภาพของการพักผ่อนแบบสบาย ๆ ผ่อนคลาย ไม่มีความกังวลใด ๆ โดยปกติแกะจะกลัวน้ำ เพราะขนของแกะอุ้มน้ำ ดังนั้นถ้ามันตกน้ำมันจะจมและอาจตายได้ ชีวิตเราก็เช่นเดียวกัน หลาย ๆ คนอาจจะจมลงไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายต่าง ๆ หลาย ๆ คนกำลังเผชิญอยู่กับน้ำไหลเชี่ยวและพยายามหาทางขึ้นมาจากน้ำ แต่ถ้าเรามีพระเจ้าเป็นผู้เลี้ยงของเรา พระองค์จะนำเราออกมาจากกระแสน้ำนั้นและพาเราไปยังริมน้ำแดนสงบ การมีพระเจ้าก็มากเกินพอ พระองค์ทรงสามารถฟื้นฟูจิตวิญญาณของเราได้

3. พระองค์ทรงคืนความสดชื่นแก่ชีวิตข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์

สมัยก่อนเวลาจะไปทางไหนที่ไม่คุ้นเคย เราก็จะต้องกางแผนที่ออกมาดูและคาดเดาเอาเองว่าตอนนี้เราอยู่ตรงจุดไหน และจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไร แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก เรามีระบบ GPS ที่สามารถระบุตำแหน่งเราในปัจจุบันได้ เรามี Google Map คอยเป็นแผนที่ให้เรา เพียงแค่เปิด App Google Map เท่านั้น มันก็จะนำเราไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างง่ายดาย Google Map ไม่ใช่แค่นำทางเราเท่านั้น แต่ยังสามารถเตือนเราเมื่อเราออกนอกเส้นทางหรือหลงทาง และทำการคำนวณเส้นทางใหม่และนำเรากลับไปในทางที่ถูกต้องอีกด้วย

หลายครั้งเราพลาดไปจากทางของพระเจ้า เราทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราไม่เชื่อฟังพระเจ้า เพราะเราหลาย ๆ คนถูก GPS ที่ผิดนำทางไป ไม่ว่าจะเป็น GPS ของโลกนี้ วัฒนธรรมของเรา สื่อต่าง ๆ Social Media หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง เมื่อเราล้มลงเพราะความบาป เพราะการติดสินใจที่ผิดพลาด สิ่งที่เราต้องทำก็คือ “สารภาพและกลับใจใหม่” ในบางครั้งที่เราตกต่ำนั้นไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดต่อบาป แต่เป็นเพราะความเศร้าเสียใจ เช่น การหย่าร้าง เป็นโรคร้าย ทะเลาะกับใครบางคน ฯลฯ แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะฟื้นจิตวิญญาณของเรา และเรามีความหวังได้เพราะไม่มีสิ่งใดยากเกินกำลังที่ผู้เลี้ยงของเราจะทำได้ จงจำไว้ว่าไม่มีใครสามารถซ่อมใจของเราได้ยกเว้นแต่พระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้สร้างใจของเรานั่นเอง

การที่พระเจ้ายกเราขึ้นมาอีกครั้งนั้นยังไม่เพียงพอ เพราะเราอาจจะกลับไปทำผิดอีก พระเจ้าจึงต้องนำเราไปในทางที่ถูกต้องด้วย เราจำเป็นที่จะต้องนำ GPS ของพระเจ้ามาใช้แทน GPS เดิม พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงของเรา พระเจ้าทรงรู้จักเรา พระองค์รู้ว่าตอนนี้เรากำลังหลงทาง พระองค์จะนำ GPS ที่ถูกต้องมาให้เราและจะนำเราไปในทางชอบธรรม

นี่จึงเป็นสาเหตุที่มีคำสั่งต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ไม่ว่าจะเป็น “อย่าทำ” เพราะพระเจ้าต้องการนำเราออกจากทางที่ปวดหัว ทางที่ผิด หรือ “จงทำ” เพราะพระเจ้าต้องการจะนำเราไปในทางแห่งสันติสุข ทางเดียวที่แกะจะตามผู้เลี้ยงได้คือมีสายตาจับจ้องไปที่ผู้เลี้ยงเท่านั้น ดังนั้นการที่เราจะรู้ว่าเราตัดสินใจถูกหรือผิด เราได้ตามผู้เลี้ยงหรือยัง ก็คือให้เช็คจากพระคัมภีร์เป็นหลัก ให้ยึดพระคำของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญ และเมื่อเรามีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า ผลก็คือ “พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์”

4. แม้ข้าพระองค์จะเดินฝ่าหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์ปลอบโยนข้าพระองค์

หุบเขาเงามัจจุราชในที่นี้ก็คือหุบเขาที่อยู่ระหว่างภูเขาสองลูก เมื่อแกะเดินมาที่หุบเขานี้ก็จะเจอเงาของภูเขาบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้แกะนึกว่ากำลังจะมืดแล้ว จึงมีความกลัวเกิดขึ้น

แกะเป็นสัตว์ที่สายตาสั้น และการที่ตาแกะอยู่ด้านข้างของหัว ข้อดีคือ แกะสามารถมองเห็นภาพในองศาที่กว้างกว่าคนมาก แต่ข้อด้อยก็คือ แกะจะมองเห็นแต่ด้านข้างเท่านั้น ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าได้ นอกจากนี้รูม่านตาแกะจะเป็นสี่เหลี่ยมตามแนวนอน ทำให้ไม่สามารถมองเห็นความลึก ไม่สามารถรับรู้ภาพเป็นแบบสามมิติได้ ทำให้ยากที่จะรับรู้ถึงระยะทางและความเร็วของสิ่งที่มองเห็น แกะจึงไม่ชอบกลางคืน ไม่ชอบทางที่ไม่คุ้นเคย หุบเขาเงามัจจุราชจึงเป็นที่ที่น่ากลัวสำหรับแกะมาก

พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี

ตอนนี้ชีวิตเราอาจกำลังหลงอยู่ในหุบเขาเงามัจจุราช ทุก ๆ อย่างรอบตัวดูเหมือนว่ากำลังจะมืดลง เราอาจจะมีข้อจำกัดบางประการ ความรู้ความสามารถที่มีอาจไม่เพียงพอ เรามีอาจจะมีความอ่อนแอทางด้านร่างกายหรือจิตใจ เรากำลังกลัว เราไม่รู้ว่าจะหาทางออกไปจากหุบเขานี้ได้ยังไง แต่พระเจ้าสามารถมาหาเรา ณ ที่นั่นได้ และปลอบโยนเรา พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี พระองค์ทรงเฝ้าดูลูกแกะของพระองค์อยู่เสมอ ทรงรู้ว่าเรากำลังเผชิญอยู่กับสิ่งใด พระองค์ทรงมีสายตาที่ดีกว่าเรา และพระองค์จะทรงนำเราให้ออกไปจากหุบเขานี้เอง

เราอาจจะกลัวอดีตที่ผ่านมา เรากลัวปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญอยู่ และวิตกกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เรากลัวตาย กลัวเจ็บป่วย กลัวไม่มีเงิน กลัวคนรอบข้างจะมองเราไม่ดี แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้น แต่มันเหมือนเงาตามตัวเรา เราไม่สามารถบังคับอารมณ์ความรู้สึกของเราได้ บางครั้งเรากลัว แต่เพื่อปลอบใจตัวเองเราปฏิเสธว่าเราไม่กลัว นั่นคือ “การโกหก” เรากำลังทำบาป เราต้องยอมรับความรู้สึกของเราอย่างตรงไปตรงมาว่าเราไม่สามารถกำจัดอารมณ์ของเราออกไปได้ แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้คือเปลี่ยนจุด focus ไปที่พระเจ้า มองไปยังผู้เลี้ยงของเรา “แม้ข้าพระองค์จะเดินฝ่าหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์” ดาวิดไม่ได้ปฏิเสธความกลัว เขายอมรับความเป็นจริงของสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ แต่เขาเปลี่ยนการจดจ่อไปที่พระเจ้า ไม่ใช่สถานการณ์รอบข้าง ให้พระเจ้านำเขาไปทีละย่างก้าวของชีวิต คำถามคือ เรากำลังจดจ่ออยู่ที่เงามืดของหุบเขานั้นหรือกำลังจดจ่ออยู่ที่ผู้เลี้ยงของเรา? เรามองเห็นพระเจ้าท่ามกลางความกลัวนั่นไหม? สิ่งสำคัญที่สุดที่เราควรระลึกอยู่เสมอก็คือ “เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์” พระเจ้าจะเป็นผู้ปกป้องเรา และนี่ก็คือเคล็ดลับที่จะเอาชนะความกลัวนั่นเอง

"คทาและธารพระกรของพระองค์ปลอบโยนข้าพระองค์” เมื่อแกะไปผิดทาง ผู้เลี้ยงจะเอาส่วนโค้งที่คล้าย ๆ ตะขอของไม้เท้าลากแกะกลับมา เช่นเดียวกัน เมื่อชีวิตของเราเดินผิดทาง โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ก็จะใช้ไม้ของพระองค์เกี่ยวเราให้กลับมาเดินในทางที่ถูกต้อง พระเจ้าจะช่วยให้เราสงบท่ามกลางพายุนั้น แม้ว่าหลายครั้งพระเจ้าไม่ได้นำเราออกจากพายุ แต่พระองค์ทำให้เราสงบและสามารถเดินฝ่าพายุนั้นได้ เมื่อเรายอมจำนนกับพระผู้เลี้ยงของเรา

5. พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะอาหารให้ข้าพระองค์ต่อหน้าต่อตาคู่อริของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้า พระองค์ด้วยน้ำมัน ถ้วยของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่

ในข้อนี้ดาวิดอาจจะสื่อความหมายได้ 2 แบบ แบบแรกหมายถึงดาวิดเป็นแขกผู้มีเกียรติที่พระเจ้าทรงเชิญมาและกำลังจัดงานเลี้ยงให้ต่อหน้าต่อตาศัตรูของเขา และน้ำมันที่เจ้าบ้านนำมาชโลมบนศีรษะของแขกก็เพื่อให้แขกรู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกสบาย สำหรับถ้วยน้ำที่ล้นอยู่ก็หมายถึงการจัดเตรียมที่มีอย่างบริบูรณ์นั่นเอง

แบบที่สอง เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้เลี้ยงกับแกะ ปกติแกะจะไม่กินหากไม่รู้สึกถึงความปลอดภัย นี่จึงเป็นภาพของการปกป้องของผู้เลี้ยงแกะจากศัตรู แกะกำลังพักผ่อนอยู่ในคอก มีอาหารที่อยู่ในรางจนเต็ม และที่ด้านหน้าทางเข้าออกมีผู้เลี้ยงนอนเฝ้าเป็นประตูให้อยู่ หากจะมีอะไรเข้ามาก็ต้องผ่านผู้เลี้ยงก่อน เหมือนในยอห์น 10:7 ที่พระเยซูทรงบอกว่าพระองค์ทรงเป็น “ประตูของแกะทั้งหลาย” ผู้เลี้ยงใช้น้ำมันรักษาแกะที่ป่วย และการทาน้ำมันที่หัวแกะเป็นการป้องกันแมลงที่จะมารบกวนแกะด้วย ผู้เลี้ยงจะมีถ้วยขนาดใหญ่สำหรับให้แกะดื่มน้ำ การที่น้ำล้นอยู่หมายถึงการจัดเตรียมที่มีอย่างบริบูรณ์นั่นเอง

ไม่ว่าดาวิดจะเขียนพระธรรมข้อนี้ด้วยเล็งถึงสิ่งใดก็ตาม แต่ความหมายนั้นเหมือนกัน ก็คือพระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ที่คอยปกป้องเรา ประทานสิ่งจำเป็นต่อชีวิตของเรา และเป็นการให้อย่างครบบริบูรณ์ น้ำที่เต็มถ้วยนั้นหมายถึงการที่พระเจ้าทรงให้เรามากกว่าที่เราทูลขอหรือคิดได้ พระเจ้าสามารถทำให้ถ้วยนั้นล้นอยู่สำหรับเรา แม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าต่อตาศัตรูของเราก็ตาม น้ำที่ล้นอยู่หมายถึงความชื่นชมยินดี พระเจ้าสามารถให้ความชื่นชมยินดีท่ามกลางสิ่งที่เลวร้ายได้

พระเจ้าตอบสนองต่อความต้องการของเราท่ามกลางการระบาดของโรค พระเจ้ามีทางที่จะเลี้ยงดูเราเมื่อธุรกิจเราต้องปิดลง เราไม่รู้ว่าพระเจ้าจะช่วยสถานการณ์ของแต่ละคนอย่างไร แต่พระเจ้ามีวิธี พระองค์จะช่วยเรา เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงของเรา และนี่แหละคือสิ่งที่เราเรียกว่า “พระคุณพระเจ้า” นั่นเอง

6. แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไปตลอดวันคืนแห่งชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์สืบไปเป็นนิตย์

คำว่า “ติดตาม” ในภาษาฮิบรูที่ใช้ในตอนนี้แท้จริงหมายถึง “การไล่ตาม” ตัวอย่างการใช้คำนี้ในพระคัมภีร์ เช่น ตอนที่อับราฮัม “ไล่ตาม” คนที่จับโลทหลานชายของท่านไป (ปฐมกาล 14: 15) หรือหมายถึงทหารอียิปต์ที่ “ไล่ตาม” ชนชาติอิสราเอลไปถึงทะเลแดง (เฉลยธรรมบัญญัติ 11:4) เป็นต้น

ผู้เลี้ยงแกะบางคนก็มีผู้ช่วย นั่นก็คือ “หมาเลี้ยงแกะ” ซึ่งจะพยายามต้อนแกะไปข้างหน้า มันพยายามเห่าและขู่แกะ แต่มันไม่ทำร้ายแกะ ทั้งนี้ก็เพื่อให้แกะเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง เช่นเดียวกัน ความดีของพระเจ้าจะติดตามหรือไล่ตามเราไปตลอดวันคืนชีวิตเรา ไม่ใช่เพื่อทำร้ายเรา แต่เป็นความตั้งใจที่แน่วแน่เพื่อให้เราเดินไปข้างหน้า เพื่อให้เราไม่หลงไปจากแผนการนิรันดร์ของพระองค์ ดาวิดมั่นใจว่า ไม่ว่าทางข้างหน้าของชีวิตเขาจะเป็นทุ่งหญ้าเขียวสด จะเป็นริมน้ำแดนสงบ หรือแม้แต่เป็นหุบเขาเงามัจจุราชก็ตาม เขาก็ไม่กลัวเพราะความดีของพระเจ้าจะติดตามชีวิตเขาตลอดไป และเมื่อเขาต้องจากโลกนี้ไป เขาก็มั่นใจว่าจะได้มีชีวิตอยู่ร่วมกับพระเจ้า พระผู้เลี้ยงของเขาบนสวรรค์ตลอดไปเป็นนิจนิรันดร์

พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี

อยากให้เรามองไปที่ความดีของพระเจ้าแม้ว่าชีวิตเรากำลังประสบกับความเจ็บปวด ให้เรามองหาความรัก ความอ่อนโยนและความเมตตาของพระองค์ท่ามกลางอุปสรรคและปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้น พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี พระองค์พร้อมที่จะดูแลและตอบสนองต่อความต้องการของเรา ไม่ใช่เพียงแค่ในโลกนี้เท่านั้น แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะประทานสิ่งที่ดีให้กับเราเป็นนิจนิรันดร์หลังจากที่เราจากโลกนี้ไปแล้วด้วยเช่นเดียวกัน

เราหลายคนอาจจะเคยดูหนังเรื่องซุปเปอร์แมนทั้งแบบภาพยนตร์หรือแบบการ์ตูนก็ตาม มีอยู่ตอนหนึ่งเป็นตอนที่ผู้ชายคนนึงติดอยู่ในตึกที่ไฟไหม้และกำลังร้องขอความช่วยเหลือ ซุปเปอร์แมนบินไปด้วยความเร็วสูงเข้าไปในตึกและอุ้มชายคนนั้นออกมา เมื่อบินสูงขึ้น ๆ จากเดิมที่ชายคนนั้นกลัวไฟไหม้ แต่ตอนนี้เขากลับกลัวความสูงแทน เมื่อซุปเปอร์แมนเห็นชายคนนั้นกลัว จึงถามผู้ชายคนนั้นว่า “อะไรที่ทำให้คุณคิดว่าเมื่อผมช่วยคุณให้รอดจากกองไฟแล้ว ผมจะทำคุณตกขณะที่กำลังบินขึ้นฟ้าละ?”

เมื่อเราเชื่อในพระเยซู เมื่อเรายอมให้พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา เราถูกช่วยให้รอดจากกองไฟแล้ว เราได้รับของขวัญเป็นชีวิตนิรันดร์ อย่างไรก็ตาม ระหว่างทางที่จะขึ้นไปบนฟ้านั้น สิ่งต่าง ๆ รอบตัวอาจจะทำให้เรากลัว เรากลัวว่าจะถูกทิ้งลงมาที่พื้น แล้วอะไรละที่ทำให้เราคิดว่า พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ พระผู้ช่วยให้รอดของเราผู้ที่สามารถเป็นขึ้นมาจากความตายเพื่อช่วยเราให้รอดจากบึงไฟ จะทิ้งเราให้ตกระหว่างทางที่เรากำลังเดินทางไปสู่สวรรค์นั้น? พระเจ้าของเราทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี การมีแค่พระองค์เพียงผู้เดียว เท่านี้ก็เกินพอแล้ว คำถามคือ ตอนนี้พระเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราหรือยัง? เรายอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราหรือไม่? พระเยซูไม่สามารถเป็นผู้เลี้ยงของเราได้ ถ้าเราไม่เชื่อพระองค์ แล้ววันนี้คุณอยากจะมีผู้เลี้ยงคอยนำพาชีวิตของคุณหรือยัง?

“จงวางใจในพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า แล้วพระองค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น” สุภาษิต 3:5 - 6


ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com