พระเจ้ามีจริงหรือ โลกที่เราอยู่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญหรือมีผู้สร้าง
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> บทความคริสเตียน > รู้จักผู้ช่วยมือหนึ่ง – พระวิญญาณบริสุทธิ์

รู้จักผู้ช่วยมือหนึ่ง – พระวิญญาณบริสุทธิ์

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

เราทุกคนต่างคุ้นเคยและรู้จักโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างดี ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือไม่ใช่แค่เครื่องมือในการสื่อสารเท่านั้น แต่ได้พัฒนาไปไกลจนกลายเป็นผู้ช่วยที่จำเป็นสำหรับชีวิตเรา เราใช้โทรศัพท์เพื่อความบันเทิง เพื่อการเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ประกอบธุรกิจ และบ่อยครั้งเราก็ใช้โทรศัพท์ในการติดต่อกับผู้คนจำนวนมากทางโลก Social Media แต่เรารู้หรือไม่ว่าโทรศัพท์ในมือเรานั้นสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน คนจำนวนมากใช้ความสามารถในโทรศัพท์มือถือไม่ถึง 50% เสียด้วยซ้ำ

เช่นเดียวกับ “องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์” เรารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นหนึ่งในตรีเอกานุภาพ นั่นคือ พระเจ้าพระบิดา พระเยซูพระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเทียบกับพระเจ้าพระบิดา และพระเยซูแล้ว เราต้องยอมรับว่าเรารู้จักกับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์น้อยเหลือเกิน และคริสเตียนจำนวนมากได้ละเลยพระองค์ ไม่ได้ให้พระองค์เข้ามามีบทบาทในชีวิตเท่าที่ควร เปรียบเหมือนกับโทรศัพท์มือถือที่เราคุ้นเคยแต่ไม่ได้รับประโยชน์จากศักยภาพที่มีอยู่อย่างเต็มที่

รู้จักผู้ช่วยมือหนึ่ง – พระวิญญาณบริสุทธิ์

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เราได้รู้จักพระเจ้าพระบิดาว่าพระองค์ทรงมีพระลักษณะอย่างไร เราได้เห็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามวาระและโอกาสต่าง ๆ และพระเจ้าพระบิดาได้ทรงแนะนำพระเยซูพระบุตรผ่านทางคำพยากรณ์ต่าง ๆ ที่เล็งถึงการเสด็จมาของพระองค์

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เราได้รู้จักพระเยซูพระบุตรตั้งแต่การประสูติของพระองค์ไปจนถึงการสิ้นพระชนม์บนกางเขนและเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ แต่ในคืนก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงกางเขนนั้น พระเยซูได้ทรงแนะนำพระวิญญาณบริสุทธิ์ หนึ่งในพระเจ้าตรีเอกานุภาพให้โลกได้รับรู้ว่าพระองค์เป็นใครและมีบทบาทอย่างไรในชีวิตของผู้เชื่อแต่ละคน

1. พระลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์

1.1 พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคล

คริสเตียนหลายคนเมื่อพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็มักจะนึกถึงการพูดภาษาแปลก ๆ นึกถึงเสียงที่ดังสนั่นไปทั้งห้องประชุม นึกถึงพลังและฤทธิ์อำนาจต่าง ๆ แต่พระองค์ไม่ใช่พลังงาน พระองค์ทรงเป็นบุคคลเช่นเดียวกับพระเยซู ทรงมีบุคลิกภาพ ทรงมีพระลักษณะเป็นพระเจ้า

พระเยซูทรงแนะนำพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับสาวกของพระองค์ว่า เมื่อพระองค์ทรงจากโลกนี้ไปแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเพื่อช่วยเราในเรื่องต่าง ๆ เช่น

- สอนเราในทุกสิ่ง และระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ตรัสเอาไว้ (ยอห์น 14:26)

อย่าลืมว่าสาวกของพระเยซูนั้นไม่มีพระคัมภีร์เหมือนกับเราในปัจจุบัน สิ่งที่เขามีก็คือ “ความจำ” ที่เขาได้ติดตามพระเยซูมาตลอดสามปีกว่า ๆ ดังนั้นการระลึกถึงคำสอนของพระเยซูจึงเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าปัจจุบันเราจะมีพระคัมภีร์แล้วก็ตาม แต่พระองค์ยังทรงทำหน้าที่นี้อยู่เหมือนเดิม พระองค์ทรงให้เราระลึกถึงคำสอนและข้อพระคำในพระคัมภีร์เมื่อมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา

- เป็นพยานเรื่องพระเยซู (ยอห์น 15:26)

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำงานผ่านทางผู้เชื่อทุกคนเพื่อเป็นพยานในสิ่งที่พระเยซูได้ทำ พระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณแห่งความจริง พระองค์จะนำความจริงเกี่ยวกับความรอดไปให้ผู้คนต่าง ๆ ได้รับรู้

- ทำให้เรารู้เรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา (ยอห์น 16:8 - 11)

นั่นคือการทำให้เรารู้ตัวว่าตนเองเป็นคนบาป พระเยซูเป็นทางเดียวที่จะนำเราไปสู่ความชอบธรรมได้ และหากเราพลาดจากความชอบธรรมนั้นสิ่งที่รอเราอยู่ข้างหน้าก็คือการพิพากษานั่นเอง

- นำเราไปสู่ความจริง จะตรัสแต่สิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และบอกเราถึงสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น (ยอห์น 16:13)

การช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้เหล่าสาวกเข้าใจถึงแผนการทรงไถ่ของพระเจ้า เข้าใจถึงความจำเป็นที่พระเยซูต้องตายบนกางเขนเพื่อบาปของเรา และพระองค์ทรงรู้ถึงพระดำริของพระบิดา (1 โครินธ์ 2:11) พระองค์จึงสามารถทำให้มนุษย์เข้าใจถึงน้ำพระทัยและแผนการของพระเจ้าได้

การที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคลนั้น พระองค์จึงมีบุคลิกภาพ มีพระประสงค์ มีความรัก มีการเสียใจ (เอเฟซัส 4:30 บอกว่า ”และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย”) และเราสามารถมีปฏิสัมพันธ์พูดคุยกับพระองค์ได้ นี่จึงเป็นการยืนยันถึงความเป็นบุคคลของพระองค์ เพราะเราคงไม่สามารถมีความสัมพันธ์พูดคุยกับพลังงาน กับคลื่นแม่เหล็ก หรือกับกระแสไฟฟ้าได้

คริสเตียนหลาย ๆ คนมักจะเข้าใจผิดเมื่อพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะจะมุ่งหาแต่ฤทธิ์อำนาจ หาแต่การอัศจรรย์ หาแต่สิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ท่าทีที่ถูกต้องคือการแสวงหาบุคคลและถามตัวเองดูว่าจะให้พระองค์ทรงครอบครองชีวิตของเรามากขึ้นได้อย่างไร?

รู้จักผู้ช่วยมือหนึ่ง – พระวิญญาณบริสุทธิ์

1.2 พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้า

พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่ทูตสวรรค์ที่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่ชื่ออีกชื่อหนึ่งที่เรียกแทนพระเจ้า แต่พระองค์ทรงเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่เป็นพระเจ้า เหมือนพระเจ้าพระบิดา และพระเจ้าพระเยซู

- พระองค์ทรงสถิตอยู่ในชีวิตผู้เชื่อทุกคนตลอดไป (ยอห์น 14:16)

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้า และทรงเป็นวิญญาณที่ไม่ได้มีร่างกายเหมือนมนุษย์ ดังนั้นพระองค์จึงสามารถอยู่ได้หลาย ๆ แห่งในเวลาเดียวกัน สามารถสถิตอยู่ในผู้เชื่อทุกคนพร้อม ๆ กันได้ และเมื่อเราเชื่อพระเยซู เราได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (เอเฟซัส 1:13) การประทับตราแสดงถึงการเป็นเจ้าของ นั่นคือเราเป็นของพระเจ้า และพระเจ้าจะทรงปกป้องเรา นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ที่เชื่อในพระเจ้าจึงไม่สามารถสูญเสียความรอดได้ เพราะเมื่อพระเจ้าประทับตราไว้แล้วจะไม่มีใครสามารถมาทำให้เป็นโมฆะได้

- พระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระเจ้าพระบิดา (ยอห์น 15:26)

ทรงเป็นหนึ่งในตรีเอกานุภาพ ดังนั้นการโกหกพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เท่ากับโกหกพระเจ้า

“แต่มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีราขายที่ดินของตน แล้วเก็บเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ด้วย อีกส่วนหนึ่งนั้นเขานำมาวางไว้ที่เท้าของพวกอัครทูต เปโตรจึงถามว่า “อานาเนีย ทำไมซาตานจึงควบคุมใจของเจ้าให้โกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้? เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้าไม่ใช่หรือ? เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในสิทธิอำนาจของเจ้าไม่ใช่หรือ? มีอะไรทำให้ใจของเจ้าคิดทำอย่างนี้? เจ้าไม่ได้โกหกมนุษย์แต่โกหกพระเจ้า”” กิจการ 5:1 – 4

- พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่ง

“พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้กับเราทางพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า” 1 โครินธ์ 2:10

- ทรงอยู่ทุกหนทุกแห่งในเวลาเดียวกัน

“ข้าพระองค์จะไปไหนให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้? หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์? ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ก็สถิตที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในแดนคนตาย พระองค์ทรงอยู่ที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะบินไปไกลถึงที่ตะวันออก หรือถ้าข้าพระองค์อาศัยอยู่สุดขอบทะเลตะวันตก แม้ที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะจูงข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะฉวยข้าพระองค์ไว้ ถ้าข้าพระองค์จะว่า “ความมืดจะบังข้าไว้แน่ทีเดียว และความสว่างรอบข้าจะเป็นกลางคืน” สำหรับพระองค์ แม้ความมืดก็ไม่มืด กลางคืนก็สว่างอย่างกลางวัน ความมืดเป็นอย่างความสว่าง” สดุดี 139 :7 – 12

- ทรงกอรปด้วยฤทธิ์อำนาจ ทรงสร้างโลกและสร้างเราทุกคน

“ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน แผ่นดินก็ร้างและว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปกอยู่เหนือน้ำนั้น” ปฐมกาล 1:1 – 2

“พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสร้างข้าพเจ้า และลมหายใจขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้า” โยบ 33:4

ทำไมการรู้จักพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตคริสเตียน? ถ้าเราไม่รู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นใคร เราก็จะไม่รู้ว่าพระองค์ทรงสามารถทำอะไรได้บ้าง และถ้าเราไม่สำนึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ในเรา เราก็จะไม่สนใจเรื่องฝ่ายวิญญาณ เราก็จะนับถือศาสนาแต่เปลือกนอก (2 ทิโมธี 3:5) และถ้าเราไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับฝ่ายจิตวิญญาณ เราก็จะเลิกสนใจเรื่องการอธิษฐาน การนมัสการ และพระคำพระเจ้า เราจะเลิกสนใจโบสถ์ที่สอนพระคำพระเจ้า เราจะสนใจแต่โบสถ์ที่ให้ความบันเทิง ให้ความสุขภายนอกแก่เราเท่านั้น!!

1.3 พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ช่วยเรา

ในยอห์น 14:16 พระเยซูตรัสว่า “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป” นั่นคือพระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นผู้ช่วยเรา คำว่า “ผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง” ในที่นี้หมายถึงผู้ช่วยที่เหมือนกับพระเยซู พระองค์กำลังบอกสาวกว่าจะมีผู้ช่วยที่เหมือนพระเยซูมาแทนพระองค์เมื่อพระองค์จากไป

นี่คือแผนการที่สุดยอดของพระเจ้าที่เราผู้เชื่อทุกคนในปัจจุบันไม่ได้แตกต่างจากสาวกของพระเยซูในสมัยนั้นเลย การที่เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ช่วยเราก็เหมือนกับเหล่าสาวก 12 คน ที่มีพระเยซูทรงสอนอยู่ข้าง ๆ และไม่ใช่อยู่กับเราแค่ 3 ปี กว่า ๆ เหมือนพระเยซูเท่านั้น แต่พระองค์จะทรงเป็นผู้ช่วยเราและอยู่กับเราตลอดไป

2. บทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์

เรารู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้า ทรงเป็นบุคคลไม่ใช่พลังงาน และทรงเป็นผู้ช่วยที่จะอยู่กับเราตลอดไป แล้วพระองค์ทรงเริ่มสถิตกับเราตั้งแต่เมื่อไร? ก่อนหรือหลังจากการเชื่อในพระเจ้ากันแน่?

รู้จักผู้ช่วยมือหนึ่ง – พระวิญญาณบริสุทธิ์

2.1 พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่กับเรา

“คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน” ยอห์น 14:17

พระเยซูบอกว่า “พระองค์สถิตอยู่กับท่าน” นี่เป็นเหตุการณ์ก่อนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทับอยู่ในผู้ที่เชื่อ นั่นหมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่กับเราตั้งแต่ก่อนที่เราจะตัดสินใจเชื่อพระเจ้า พระองค์ทรงอยู่กับคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ก่อนที่คนนั้นจะได้รู้จักกับพระองค์ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำอะไรกับผู้ที่ยังไม่เชื่อ?

- เป็นพยานเรื่องพระเยซู

งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือเปิดใจผู้ที่ยังไม่เชื่อให้มาถึงพระเยซู “แต่เมื่อองค์ผู้ช่วยเสด็จมา ซึ่งเป็นผู้ที่เราจะใช้จากพระบิดามาหาพวกท่าน คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งมาจากพระบิดานั้น พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา” ยอห์น 15:26

- ทำให้โลกรู้เรื่องความบาป

“เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา ในเรื่องความบาปนั้น คือเพราะพวกเขาไม่วางใจในเรา” ยอห์น 16:8 - 9

โดยปกติคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้านั้นจะไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นคนบาป เมื่อรู้สึกว่าไม่ป่วย ก็ไม่ต้องการหมอ นี่จึงเป็นหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะทำงานในใจคนที่ไม่เชื่อเพื่อให้คนนั้นรู้ตัวว่าตนเองกำลังป่วยอยู่ สิ่งสำคัญคือ “เราต้องไม่ทำหน้าที่แจ้งบาป” ให้คนอื่นรู้ เพราะบ่อยครั้งแทนที่จะทำให้คน ๆ นั้นรู้ตัวและสำนึกผิด กลับเป็นการกล่าวโทษคน ๆ นั้น ทั้ง ๆ ที่เรามีเจตนาดี

ลองดูตัวอย่างในวันเพ็นเทคอสต์ เปโตรได้ประกาศเรื่องของพระเยซูให้ผู้คนจำนวนมากได้ฟัง “เมื่อคนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลบปลาบใจ จึงกล่าวกับเปโตรและอัครทูตคนอื่นๆ ว่า “พี่น้องเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดี?”” กิจการ 2:37 เป็นการยากที่คนกว่า 3,000 คน จะสำนึกในบาปได้ แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานอยู่เบื้องหลังนั่นเอง

ใน ยอห์น 16:8 ถ้าหากดูพระคัมภีร์ภาคภาษาอังกฤษนั้น จะเขียนว่า Sin ไม่ใช่ Sins นั่นหมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้เรารู้แจ้งเรื่องความบาปแค่บาปเดียวเท่านั้น เพราะบาปอื่น ๆ นั้นจิตใต้สำนึกของเราจะเป็นคนบอกเอง บาปเดียวนั้นก็คือ “บาปแห่งการไม่เชื่อ” เพราะนี่คือการนำไปหาพระเยซู บาปแห่งการไม่เชื่อนี้จิตใต้สำนึกของเราจะไม่บอกเรา คนรอบข้างจะไม่บอกเรา ที่แย่ไปกว่านั้น หลาย ๆ คนเชื่อว่าการไม่เชื่อในศาสนาเป็นความฉลาด เป็นความภาคภูมิใจที่ตนเองไม่ใช่เป็นคนงมงาย ดังนั้นการนำคนมาถึงพระเจ้าจึงเป็นงานของพระองค์เท่านั้น 100% มนุษย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย นี่จึงเป็นพระคุณของพระเจ้าจริง ๆ ที่นำเราให้มาถึงความรอด

- ทำให้เรารู้เรื่องความชอบธรรม

“ในเรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และพวกท่านจะไม่เห็นเราอีก” ยอห์น 16:10

การที่พระเยซูจะเสด็จกลับสู่สวรรค์ได้นั้นแสดงว่าพระองค์ต้องทำงานในโลกนี้สำเร็จแล้ว แล้วงานของพระองค์คืออะไร? ก็คือการสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อรับบาปผิดของคนจำนวนมาก หลังจากนั้นพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์เพื่อเตรียมที่สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ ดังนั้นความชอบธรรมในที่นี้ก็คือ การเชื่อวางใจในองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั่นเอง

โลกมีมาตรฐานของความชอบธรรม นั่นคือ เราไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่แย่กว่าคนบางคน เรามักเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น ๆ และบอกว่าเราดีกว่าคนอีกหลาย ๆ คน ถ้าให้บอกว่าเราเป็นคนดีกี่เปอร์เซ็นต์ บางคนอาจจะบอกว่า 20% 40% 60% แต่นั่นไม่เพียงพอ สำหรับพระเจ้า เราต้องเป็นคนดี 100% เท่านั้นจึงจะเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้ ซึ่งไม่มีใครไปถึง

สำหรับพระเจ้าแล้ว ความชอบธรรมของเราเป็นเหมือนผ้าที่สกปรก “ข้าพระองค์ทุกคนกลายเป็นเหมือนสิ่งที่เป็นมลทิน และความชอบธรรมทั้งหมดของพวกข้าพระองค์เหมือนเสื้อผ้าสกปรก” อิสยาห์ 64:6 นอกจากนี้พระเยซูยังบอกอีกว่าถ้าหากความชอบธรรมเราสู้พวกฟาริสีไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะได้เข้าแผ่นดินของพระเจ้าเลย “เพราะเราบอกพวกท่านว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่มากกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี พวกท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” มัทธิว 5:20

เราไม่สามารถทำให้พระเจ้าประทับใจในความชอบธรรมของเราได้ เพราะพระองค์สมบูรณ์แบบ แต่พระเยซูมาตายเพื่อบาปของเรา และขึ้นไปหาพระเจ้า นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์พระบิดา พระเจ้าบอกว่านี่แหละคือความชอบธรรมที่พระองค์ยอมรับ ดังนั้นการเชื่อในพระเยซูจึงเป็นทางเดียวเท่านั้นที่เราจะชอบธรรมตามมาตรฐานที่พระเจ้าวางไว้ได้

- ทำให้โลกรู้แจ้งเรื่องการพิพากษา

“ในเรื่องการพิพากษานั้น คือเพราะผู้ครองโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว” ยอห์น 16:11

มารซาตานไม่มีอำนาจเหนือพระเจ้า พระองค์ทรงกำหนดไว้แล้วว่าเมื่อกำหนดเวลามาถึง จะมีการพิพากษา มารซาตานจะตกนรก ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเยซูก็เช่นเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงแจ้งเรื่องบาปให้คนได้รู้ ทรงเป็นพยานถึงทางแห่งความรอดว่ามีเพียงทางพระเยซูทางเดียวเท่านั้น และหากปฏิเสธ การพิพากษาก็รออยู่ข้างหน้า และปลายทางของคนที่ไม่เชื่อมีทางเดียวก็คือ “นรก” นั่นเอง เพราะความชอบธรรมของมนุษย์ไปไม่ถึงมาตรฐานที่พระเจ้าวางไว้

รู้จักผู้ช่วยมือหนึ่ง – พระวิญญาณบริสุทธิ์

2.2 พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประทับในเรา

“คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน” ยอห์น 14:17

ในสมัยพระคัมภีร์เดิมนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประทับอยู่ในชีวิตผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่องานเสร็จ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จากไป เช่น 1 ซามูเอล 10:9 พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสวมทับซาอูล หรือ พระวิญญาณของพระยาห์เวห์สถิตกับโอทนีเอล ในผู้วินิฉัย 3:10 เป็นต้น

แต่ในยุคของคริสตจักร ในยุคของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่จนมาถึงปัจจุบัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ภายในผู้เชื่อตลอด 24 ชั่วโมง และจะทรงอยู่กับเราตลอดไป

อาจารย์เปาโลบอกว่าร่างกายเราเป็นพระวิหารของพระเจ้าและพระวิญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา (1 โครินธ์ 3:16) ดังนั้นเราต้องให้ร่างกายของเราถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วย (1 โครินธ์ 6:19 - 20)

แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์เริ่มประทับในเราตั้งแต่เมื่อไร? ก็เริ่มตั้งแต่วันที่เราเชื่อในพระเยซู แต่การประทับครั้งแรกของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในมนุษย์นั้นเริ่มขึ้นในวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์ พระเจ้าได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างกับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากการสถิตอยู่ด้วยกับเรา เป็นการประทับอยู่ในเรา เป็นการสำเร็จตามที่พระเยซูได้บอกเอาไว้ในกิจการ 1:4 – 5 ว่า “ขณะพระองค์ทรงพำนักอยู่กับพวกอัครทูต ทรงกำชับพวกเขาว่า “อย่าออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้รอคอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา” ซึ่งพวกท่านได้ยินจากเรา “นั่นก็คือยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่อีกไม่นานพวกท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์””

แล้วการรับบัพติสมาคืออะไร? การบัพติศมาคือการเป็นส่วนหนึ่งในบางสิ่งบางอย่าง ถ้ายอห์นให้รับบัพติสมาด้วยน้ำ คือการจุ่มลงไปเป็นส่วนหนึ่งของน้ำ แล้วการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์คืออะไร?

ก็คือ การเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระคริสต์ หรือคริสตจักรนั่นเอง เหมือนที่บอกไว้ใน 1 โครินธ์ 12:12 – 13 ว่า “เพราะว่า เหมือนกับร่างกายเดียวที่มีหลายๆ อวัยวะ และอวัยวะทั้งหมดของร่างกายนั้นแม้จะมีหลายส่วนก็ยังเป็นร่างกายเดียว พระคริสต์ก็ทรงเป็นเช่นนั้น เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นยิวหรือกรีก ทาสหรือเสรีชน เราได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายเดียวกัน และพระวิญญาณองค์เดียวกันเป็นเหมือนน้ำที่ประทานให้เราทุกคนได้ดื่ม”

และยังหมายถึงการเป็นส่วนหนึ่งในการตายของพระคริสต์ เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากตาย เราก็มีชีวิตใหม่ร่วมกับพระองค์ด้วย เหมือนที่บอกไว้ใน โรม 6:1 – 4 ว่า “ถ้าอย่างนั้น เราจะว่าอย่างไร? เราจะอยู่ในบาปต่อไปเพื่อให้พระคุณเพิ่มทวีขึ้นหรือ? เปล่าเลย เราที่ตายต่อบาปแล้วจะมีชีวิตในบาปต่อไปได้อย่างไร? ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราผู้ที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในการตายของพระองค์? เพราะฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระบิดาทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายโดยพระสิริของพระองค์แล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน”

ในวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์ได้เกิด 2 เหตุการณ์ขึ้น ก็คือ การบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะวันนั้นคริสตจักรได้ถูกก่อตั้งขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้ผู้เชื่อมารวมตัวกันเป็นกลุ่ม กับ การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้ผู้เชื่อในวันนั้นพูดภาษาอื่น ๆ ประกาศเป็นพยานเรื่องราวของพระเยซู

ในยอห์น 7:37 – 39 บอกว่า “ในวันสุดท้ายของงานเทศกาลซึ่งเป็นวันยิ่งใหญ่นั้น พระเยซูทรงยืนขึ้นและทรงประกาศว่า “ถ้าใครกระหาย ให้คนนั้นมาหาเรา และให้คนที่วางใจในเราดื่ม ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น’” สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณซึ่งคนที่วางใจพระองค์จะได้รับ เพราะว่าพระวิญญาณยังไม่สถิตด้วย เพราะพระเยซูยังไม่ได้รับพระเกียรติ” น้ำ ที่พระเยซูหมายถึงก็คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง ซึ่งจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น ดังนั้นเป้าหมายของผู้เชื่อทุกคนก็คือ ไม่ใช่แค่ให้ตนเองได้รับพร แต่ต้องเป็นพรไปสู่ผู้อื่นด้วย

รู้จักผู้ช่วยมือหนึ่ง – พระวิญญาณบริสุทธิ์

2.3 พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือเรา

“แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”” กิจการ 1:8

เราจะได้รับฤทธิ์เดชเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือเรา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การประกอบด้วยพระวิญญาณ” หรือ “การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ” ก็ได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเปโตรในวันเพ็นเทคอสต์ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือเปโตร เขาได้เป็นพยานเรื่องพระเยซูจนมีคนกลับใจถึง 3,000 คน

อยากให้เราลองมองย้อนกลับไป เพียงไม่นานก่อนหน้านี้มีหญิงคนใช้คนหนึ่งมาบอกว่าเปโตรอยู่กับพระเยซู แต่เปโตรบอกว่าไม่ใช่ เขาได้ปฏิเสธพระเยซูถึง 3 ครั้ง เกิดอะไรขึ้นกับเปโตร? อะไรทำให้เขามีความกล้าได้ขนาดนี้? เหตุผลก็คือการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซู ทำให้เขามั่นใจว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เขาประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง

เป็นที่น่าสังเกตว่า “การบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” จะเกิดขึ้นเมื่อคน ๆ นั้นได้รับความรอด และนำเขาเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระเยซู และจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ไม่มีครั้งที่สอง แต่ “การประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” เกิดหลังจากคน ๆ นั้นได้รับความรอดแล้ว เขาได้รับฤทธิ์เดชเพื่อที่จะเป็นพยานและรับใช้พระเจ้า สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้หลาย ๆ ครั้ง และเราควรจะอธิษฐานขอให้เราประกอบด้วยพระวิญญาณตลอดเวลา เพราะ

- เป็นคำสั่ง

ในเอเฟซัส 5:18 กล่าวว่า “และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ” ทำไมอาจารย์เปาโลจึงเปรียบการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณกับการเมาเหล้า? ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเราเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ เราจะสูญเสียการควบคุมตัวเอง เราจะพูดเสียงดัง ๆ มีภาษาแปลก ๆ ออกมา หรือทำอะไรอื่น ๆ ที่ปกติเราไม่ทำ นี่ไม่ใช่ความหมายที่อาจารย์เปาโลต้องการจะบอกเรา แต่หมายถึงการให้พระวิญญาณบริสุทธ์ทรงควบคุมเรา เหมือนกับการกินเหล้า เมื่อเราเมา คนที่ควบคุมเราก็คือฤทธิ์แอลกอฮอล์นั่นเอง

ตัวอย่างการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์มีมากมายในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เช่นในยอห์น 1:15 ที่พูดถึงยอห์นผู้ให้บัพติสมาว่า “เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะไม่ดื่มน้ำองุ่นหมักและเหล้าเลยและเขาจะเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา” หรือในกิจการ 4:8 เมื่อเปโตรอยู่ต่อหน้าสภา เป็นต้น “ขณะนั้นเปโตรเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์กล่าวกับพวกเขาว่า “นี่แน่ะ ท่านผู้ครอบครองพลเมืองและพวกผู้ใหญ่ทั้งหลาย”

- ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าสถิตอยู่

เป็นที่น่าสังเกตว่าเมื่อเราเห็นคำว่า “เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ” ในพระคัมภีร์ เราจะเห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าปรากฏพร้อมความเชื่ออย่างเต็มล้นทุกครั้ง เช่น อานาเนียที่ไปหาเซาโลผู้ข่มเหงคริสตจักร เขาต้องใช้ทั้งความเชื่อและการเชื่อฟังในการทำภารกิจนี้ และเมื่อไปถึง ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าก็มาปรากฎ เซาโลก็สามารถมองเห็นได้อีกครั้ง และนี่ก็คืองานของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง

“แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในบ้านนั้น วางมือบนตัวเซาโลกล่าวว่า “พี่เซาโล พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่ปรากฏแก่ท่านระหว่างทางที่ท่านมาที่นี่ ทรงใช้ข้าพเจ้ามาเพื่อให้ท่านมองเห็นอีก และเพื่อให้ท่านเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” ทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดหลุดจากตาของเซาโล แล้วท่านก็เห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติศมา พอรับประทานอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น” กิจการ 9:17 - 19

เราอาจสรุปได้ว่าการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือ การให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงควบคุมชีวิตเรา และมีชีวิตอยู่เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า มากกว่าการทำตามความต้องการของตนเอง เป้าหมายของการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณก็เพื่อพระเยซู ไม่ใช่เพื่อตนเอง

แล้วเราจะเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างไร? ก็โดยการอธิษฐาน “ขอ” แต่มีสิ่งที่เราจะต้องระวัง 2 ประการ คือ

1. อย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย

“และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย ด้วยพระวิญญาณนั้นท่านได้รับการประทับตราไว้สำหรับวันที่จะได้รับการไถ่” เอเฟซัส 4:30

เพราะพระองค์ทรงเป็นบุคคล พระองค์ทรงมีความรู้สึก สามารถเสียใจได้ พระองค์ไม่ใช่พลังงานหรือเป็นแค่ฤทธิ์อำนาจแบบที่หลาย ๆ คนเข้าใจผิด หากพระองค์เสียพระทัย เราก็ไม่สามารถเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณได้ แล้วลักษณะแบบใดที่จะทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัยละ?

“จงเอาความขมขื่น ความฉุนเฉียว ความโกรธ การทุ่มเถียง การพูดจาดูหมิ่น รวมทั้งการร้ายทุกอย่างออกไปจากพวกท่าน แต่จงมีใจกรุณา ใจสงสาร และใจให้อภัยแก่กันและกัน เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงให้อภัยพวกท่านในพระคริสต์” เอเฟซัส 4:31 - 32

การเป็นคนดีไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ถึงการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ เพราะมีคนดีมากมายที่ไม่เชื่อพระเจ้า แต่การประพฤติดีเป็นเครื่องชี้วัดอย่างหนึ่งของการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ ในทางตรงกันข้าม หากเราประพฤติไม่ดี คิดไม่ดี สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นตัวชี้อย่างชัดเจนว่าคน ๆ นั้นไม่ได้เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ เพราะเราคงไม่สามารถมีอารมณ์ขมขื่นแล้วเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณได้ หรือมีอารมณ์โกรธ ฉุนเฉียว แล้วบอกคนอื่น ๆ ว่าเรากำลังเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณได้

2. อย่าดับพระวิญญาณ

“อย่าขัดขวางพระวิญญาณ” 1 เธสะโลนิกา 5:19

การดับพระวิญญาณ ก็คือ การหยุดหรือการขัดขวางไม่ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานผ่านชีวิตเราได้ แล้วทำไมเราถึงดับพระวิญญาณ? เพราะหลาย ๆ ครั้งเราก็อยากอยู่อย่างสบาย ๆ ไม่อยากลำบาก หรือในทางตรงข้าม เราอาจจะมีความกลัว มีความกังวลกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นหากทำตามการทรงนำของพระวิญญาณ หรือชีวิตอาจเต็มด้วยความโลภ การเย่อหยิ่ง การพูดนินทาให้ร้าย และเรายังอยากรักษาชีวิตแบบนี้ไว้ ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สามารถทำงานในชีวิตเราได้

สิ่งที่น่ากลัวก็คือ หลาย ๆ ครั้งเราไม่รู้ว่าเรากำลังทำให้พระวิญญาณของพระเจ้าเสียพระทัย หรือว่าเรากำลังดับพระวิญญาณอยู่ เพราะนี่คือวิถีชีวิตที่เราดำเนินมาเป็นปกติจนคุ้นชิน ตัวช่วยในการทดสอบชีวิตของเราก็คือ เรามีผลของพระวิญญาณในชีวิตของเราหรือไม่?

“ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ 23ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย” กาลาเทีย 5:22 – 23

หรือว่าชีวิตของเราเต็มไปด้วยการงานของเนื้อหนัง?

“การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การเสเพล 20การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การฉุนเฉียวกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน 21การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้ซึ่งข้าพเจ้าเคยเตือนพวกท่านมาก่อนว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า” กาลาเทีย 5:19 – 21

นี่จึงเป็นสาเหตุที่อาจารย์เปาโลสั่งเราว่า “จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ " ไม่ใช่ตามการตอบสนองต่อความต้องการของเนื้อหนังนั่นเอง

“แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ขัดแย้งเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ” กาลาเทีย 5:16 – 17

ในโลกฝ่ายร่างกายเราทุกคนมีมือถือเป็นผู้ช่วยมือหนึ่ง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันจนไม่อาจจะขาดได้ แล้วในโลกฝ่ายวิญญาณเราได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราหรือไม่? แม้เราอาจจะใช้โทรศัพท์มือถือไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะอย่างมากก็แค่สะดวกน้อยลง แต่ถ้าเราไม่เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผลก็คืองานของพระเจ้าไม่เกิดผลเท่าที่ควร นั่นหมายถึงอีกหลายชีวิตต้องจากโลกนี้ไปโดยไม่มีโอกาสรู้จักกับพระเจ้า อีกหลายชีวิตต้องถูกพิพากษาและบั้นปลายก็คือต้องอยู่ในนรกนิรันดร์ ถึงเวลาหรือยังที่เราจะทำความรู้จักกับพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้น? ถึงเวลาหรือยังที่เราจะเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์? ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อที่เราจะเป็นเหมือนแม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตไหลออกมาจากภายในเรา เพื่อผู้อื่นจะได้รับพร

“ถ้าใครกระหาย ให้คนนั้นมาหาเรา และให้คนที่วางใจในเราดื่ม ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น’” ยอห์น 7:37 – 38


ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com