เว็บสยามคริสเตียน > บทความคริสเตียน > สวรรค์ ดินแดนแห่งความฝัน
เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์
สวรรค์หน้าตาเป็นอย่างไร? บางคนจินตนาการว่าสวรรค์คือที่ที่มีทูตสวรรค์ตัวเล็ก ๆ หน้าตาเหมือนเด็กทารกและมีปีกบินไปบินมา หรือไม่ก็เป็นที่ที่มีทูตสวรรค์นั่งอยู่บนเมฆกำลังเล่นฮาร์ปอย่างมีความสุข สวรรค์เป็นสถานที่ที่แปลก เพราะไม่มีใครเคยเห็น แต่ทุกคนอยากจะไป ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วสวรรค์มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เราทุกคนเชื่อว่าสวรรค์เป็นสถานที่ที่ดี เป็นที่ที่มีแต่ความสุข เป็นสถานที่สวยงาม และเรามีทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับสวรรค์ และมีมากพอที่จะทำให้ทุกคนปรารถนาที่จะไปที่นั่น คำถามคือ เราเตรียมตัวพร้อมแค่ไหนที่จะเข้าอยู่ในสวรรค์? เพราะอย่าลืมว่าถ้าหากชีวิตเราไม่เข้าเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เราก็ไม่สามารถไปได้
มีศิษยาภิบาลคนหนึ่งได้เทศนาเกี่ยวกับปฐมกาล 28:10 – 17 เป็นเรื่องเกี่ยวกับความฝันของยาโคบที่เบธเอล ว่ามีบันไดตั้งจากโลกถึงสวรรค์ และมีทูตสวรรค์ทั้งหลายของพระเจ้าขึ้นลงบันไดนั้น ซึ่งลูกชายของศิษยาภิบาลก็ฟังเทศนาเรื่องนี้อย่างตั้งใจ พอตกกลางคืนเมื่อเด็กน้อยคนนี้หลับไป เขาก็ฝันเกี่ยวกับสวรรค์เช่นเดียวกัน ตื่นเช้ามาเขาจึงรีบนำความฝันนี้เล่าให้พ่อของเขาฟัง เขาฝันว่ามีบันไดตั้งขึ้นจากโลกถึงสวรรค์ และบนพื้นของบันไดมีชอล์กจำนวนมาก ทุกคนที่จะขึ้นสวรรค์นั้นจะต้องนำชอล์กมาขีดเส้น I ตามจำนวนความบาปของตัวเองไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดถึงจะขึ้นสวรรค์ได้ เด็กน้อยจึงเริ่มลงมือขีดเส้น I ตามความบาปของตัวเองบนกำแพงที่ติดกับบันไดนั้น สักพักก็เห็นคน ๆ หนึ่งอยู่ไกลลิบ ๆ กำลังลงจากบันได พอชายคนนั้นเข้ามาใกล้ ๆ ก็จำได้ว่าเป็นพ่อของเขานั่นเอง เมื่อพ่อได้ฟังดังนั้นก็แปลกใจ จึงถามลูกกลับไปว่า “แล้วทำไมพ่อถึง ลงมาละ” เขาจึงตอบพ่อของเขาไปว่า “ชอล์กหมด พ่อลงมาเอาชอล์กเพิ่ม”
แท้จริงแล้วการจะเข้าไปในสวรรค์และรูปร่างหน้าตาของสวรรค์คงไม่เหมือนกับความฝันของเด็กคนนี้อย่างแน่นอน แล้วพระคัมภีร์ได้บอกเราเกี่ยวกับสวรรค์ไว้ว่าอย่างไร?
1. สวรรค์มีจริง
สวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่คนสมมติขึ้น ไม่ใช่จินตนาการที่คนสร้างขึ้นมาเพื่อให้ความหวังแก่คนที่ดำเนินชีวิตอยู่ในโลก ไม่ใช่ความหลักแหลมของมนุษย์ที่ต้องการจะให้คนทำดีจึงได้สร้างนรกสวรรค์ให้ผู้คนเกรงกลัวจากการทำชั่วและหันมาทำแต่ความดี แต่สวรรค์เป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง ๆ มีชายคนหนึ่งที่พระเจ้านำเขาให้มีโอกาสได้เห็นสวรรค์ ได้เห็นเหตุการณ์ในอนาคต และเขาได้บันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้เห็นให้แก่คนรุ่นต่าง ๆ ได้รับรู้ ในหนังสือวิวรณ์ 1:9 – 11 ยอห์นได้บอกว่าพระเจ้าได้สำแดงสวรรค์ให้เขาเห็น และเขาได้บันทึกลงในหนังสือเล่มนี้
“ข้าพเจ้าคือยอห์น พี่น้องของท่านทั้งหลาย ผู้มีส่วนร่วมในความยากลำบาก และในอาณาจักร และในความทรหดอดทนในพระเยซู ข้าพเจ้ามาอยู่ที่เกาะปัทมอสเพราะเหตุพระวจนะของพระเจ้าและคำพยานของพระเยซู พระวิญญาณทรงดลใจข้าพเจ้าในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงดังเหมือนอย่างเสียงแตรมาจากข้างหลังข้าพเจ้า ตรัสว่า “สิ่งที่ท่านเห็นนั้นจงเขียนไว้ในหนังสือม้วน และส่งไปให้คริสตจักรทั้งเจ็ด คือคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัส เมืองสเมอร์นา เมืองเปอร์กามัม เมืองธิยาทิรา เมืองซาร์ดิส เมืองฟีลาเดลเฟียและเมืองเลาดีเซีย”
ยอห์นได้ใช้คำว่า “เห็น” และ “ได้ยิน” หลายต่อหลายครั้งในหนังสือวิวรณ์ นี่เป็นการยืนยันว่าสวรรค์นั้นมีอยู่จริง ไม่ใช่สถานที่สมมติที่คนแต่งขึ้น โดยยอห์นได้บรรยายลักษณะของฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ที่เขาได้เห็นว่า บนสวรรค์นั้นไม่มีน้ำทะเล (วิวรณ์ 21:1) ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเศร้าและไม่มีความตาย นอกจากนี้บนสวรรค์ยังไม่มีเวลาเหมือนบนโลกปัจจุบัน เพราะบนสวรรค์ไม่มีกลางวันและกลางคืน ไม่มีแสงอาทิตย์เพราะมีแสงสว่างจากพระสิริพระเจ้า (วิวรณ์ 21:23 – 25)
พระเจ้าได้ให้ยอห์นได้มีโอกาสเห็นเมืองหลวงของสวรรค์หรือนครเยรูซาเล็มใหม่ (วิวรณ์ 21:10) ในเมืองนี้มีแสงสว่างเหมือนอัญมณีเพราะเต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า มีประตู 12 ประตู กำแพงสร้างด้วยแจสเพอร์ ส่วนเมืองสร้างด้วยทองคำ ถนนก็เป็นทองคำด้วย นครเยรูซาเล็มใหม่ที่ลอยลงมาจากฟ้านี้เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีขนาดกว้าง ยาว สูง เท่ากัน ประมาณ 2,400 กิโลเมตร ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็คือประเทศอเมริกามีความยาวประมาณ 4,500 กิโลเมตร ดังนั้นเมืองนี้จึงมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศอเมริกา สำหรับความสูง 2,400 กิโลเมตรนั้น ถ้าหากเราลองดูการสร้างอาคารเกรด A ในกรุงเทพฯ จะเห็นได้ว่าความสูงจากพื้นถึงเพดานมีประมาณ 4 เมตร ถ้าเอามาตรฐานนี้ ความสูงของสวรรค์จะเท่ากับตึก 600,000 ชั้น
ถ้าหากจะเปรียบเทียบความสูงของสวรรค์กับโลกเพื่อให้เห็นภาพ จะพบว่าท้องฟ้าที่เราเห็นบนโลกนี้นั้นจะสูงประมาณ 10 กิโลเมตร หรือเป็นชั้นบรรยากาศที่เรียกว่าโทรโพสเฟียร์ (Troposphere) ถัดไปเป็นชั้นบรรยากาศชื่อ สตราโทสเฟียร์ (Stratosphere) สูงประมาณ 10 - 50 กิโลเมตร เป็นชั้นที่มีโอโซนอยู่มากและเครื่องบินเจ็ตชอบบินความสูงระดับนี้ เนื่องจากสภาพอากาศสงบนิ่ง ชั้นถัดมาคือ มีโซสเฟียร์ (Mesosphere) สูงจากพื้นดินประมาณ 50 - 85 กิโลเมตร อุกกาบาตที่พุ่งชนเข้าโลกส่วนใหญ่จะถูกเผาไหม้ที่ชั้นนี้ ชั้นถัดมาคือ เทอร์โมสเฟียร์ (Thermosphere) สูงจากพื้นดินประมาณ 85 – 500 กิโลเมตร เป็นชั้นที่ดาวเทียมต่าง ๆ โคจรรอบโลกอยู่ ชั้นสุดท้ายคือ เอกโซสเฟียร์ (Exosphere) มีความสูงตั้งแต่ 500 กิโลเมตร ขึ้นไป เป็นชั้นสุดท้ายที่ติดกับจักรวาล ซึ่งสวรรค์ใหม่นั้นสูงถึง 2,400 กิโลเมตร ซึ่งสูงกว่าบรรยากาศโลกมากนัก หากเรายืนที่พื้นดินก็คงมองไม่เห็นยอดสวรรค์อย่างแน่นอน และสิ่งที่ยอห์นบรรยายนี้เป็นแค่เมืองหลวงของสวรรค์เท่านั้น เป็นแค่เมือง ๆ เดียว ยังมีเมืองอื่น ๆ อีก ซึ่งเกินจินตนาการของเราจริง ๆ ว่าสวรรค์ทั้งหมดนั้นจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน
ไม่ใช่แค่ยอห์นเท่านั้นที่บอกว่าสวรรค์มีจริง พระเยซูก็ทรงตรัสเช่นเดียวกัน พระเยซูบอกกับเราว่าในสวรรค์มีที่อยู่เป็นอันมาก และพระองค์ไปเตรียมที่ไว้สำหรับเรา (ยอห์น 14:1 – 4) ดังนั้นการปฏิเสธว่าสวรรค์ไม่มีจริงก็เท่ากับการบอกว่า “พระเยซูพูดโกหก” นั่นเอง
แต่เดี๋ยวก่อน!! ทำไมพระเยซูถึงต้องเตรียมที่ไว้สำหรับเราอีก? เรารู้ว่าสวรรค์มีอยู่จริง นครทำด้วยทองคำ ถนนก็ทำด้วยทองคำ สวรรค์น่าจะเสร็จแล้วนี่!!! แล้วพระเยซูไปเตรียมอะไร? คำตอบอยู่ใน 1 โครินธ์ 3:10 – 15 เปาโลบอกว่างานรับใช้ของเราแต่ละคนนั้นจะต้องถูกพิสูจน์ว่าทำด้วยแรงจูงใจอะไร งานรับใช้พระเจ้าเหมือนกัน แต่บำเหน็จอาจจะต่างกันก็ได้ เพราะพระเจ้าไม่ได้ดูที่ผลงาน แต่ทรงตรวจดูที่จิตใจ ดังนั้นบ้านของเราแต่ละคนก็คงจะแตกต่างกันตามบำเหน็จที่เราได้รับด้วย พระเยซูทรงเตรียมบำเหน็จไว้ให้กับผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อของพระองค์ทุกคน และในวันสุดท้ายการงานของแต่ละคนจะถูกเผยให้เห็นด้วยไฟ “ถ้าการงานของใครที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ คนนั้นก็จะได้บำเหน็จ ถ้าการงานของใครถูกเผาไหม้ไป คนนั้นก็จะได้รับความสูญเสีย ส่วนตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ” 1 โครินธ์ 3:14 – 15
2. เข้าสวรรค์ได้ด้วยกายใหม่เท่านั้น
ใน 2 โครินธ์ 5:1 บอกว่า “เพราะเรารู้ว่าถ้าเรือนกายบนโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ถูกทำลายไป เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งมาจากพระเจ้า ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และอยู่อย่างถาวรนิรันดร์ในสวรรค์” จิตวิญญาณของเราแต่ละคนเป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง เรายังคงเป็นเรา เพียงแต่บนโลกนี้เรามีร่างกายที่เป็นเนื้อหนังเป็นบ้านอาศัยชั่วคราว เพราะร่างกายนี้มีวันเสื่อมสูญ มีวันตาย แต่บนสวรรค์เป็นที่แห่งนิรันดร์กาล เป็นที่ที่ไม่มีความตาย ดังนั้นร่างกายแห่งความตายนี้จึงไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้ เราต้องมีกายใหม่ให้จิตวิญญาณของเรา ใน 1 โครินธ์ 15:50 บอกว่า “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความว่า เนื้อและเลือดไม่สามารถมีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า และสิ่งที่เสื่อมสลายไม่มีส่วนในสิ่งที่ไม่เสื่อมสลาย”
พระเจ้าทรงสร้างอาดัมมนุษย์คนแรกจากผงคลีดิน เราทุกคนจึงมีร่างกายเนื้อหนังเหมือนกับอาดัม เป็นร่างกายที่ต้องตาย ส่วนอาดัมคนสุดท้ายซึ่งคือพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นวิญญาณผู้ประทานชีวิต ร่างกายใหม่ที่เราได้รับจึงเป็นกายจิตวิญญาณ ซึ่งเหมาะกับแผ่นดินโลกใหม่ หรือเหมาะกับแผ่นดินสวรรค์นั่นเอง (1 โครินธ์ 15:45 – 48)
มนุษย์บนโลกนี้ที่เคยไปสวรรค์นอกจากยอห์นที่เป็นสาวกของพระเยซูแล้ว ก็ยังมีเปาโลอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขาได้บอกเอาไว้ใน 2 โครินธ์ 12:1 – 4 ดังนี้ “ข้าพเจ้าจำเป็นต้องอวด แม้ว่าจะไม่มีประโยชน์ แต่ข้าพเจ้าจะพูดต่อไปถึงนิมิตและการสำแดงที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ารู้จักชายคนหนึ่งที่อยู่ในพระคริสต์ เมื่อสิบสี่ปีที่แล้วเขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม (จะไปทั้งร่างกายหรือไปโดยไม่มีร่างกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงรู้) ข้าพเจ้ารู้ว่าชายคนนี้ (จะไปทั้งร่างกายหรือไม่มีร่างกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงรู้) ถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม และได้ยินถ้อยคำที่บอกไม่ได้ซึ่งไม่อนุญาตให้มนุษย์กล่าวถึง”
เปาโลกล่าวว่าเขาได้ไปสวรรค์ชั้นที่ 3 หมายความว่าอะไร? สววรรค์มีหลายชั้นจริง ๆ หรือ? แล้วเมื่อผู้เชื่อจากโลกนี้ไปแล้ว เราจะได้อยู่สวรรค์ชั้นไหน?
แท้จริงแล้วบนสวรรค์ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ไม่มีการแบ่งว่าเพราะเราทำดีมากกว่า จึงได้อยู่สวรรค์ชั้นที่สูงกว่า พระคัมภีร์ไม่ได้บอกเราแบบนั้น เพราะเรารอดได้โดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยการกระทำของเราเอง ดังนั้นสวรรค์จึงมีเพียงชั้นเดียวที่เราอยู่ด้วยกัน แต่ในสมัยพระคัมภีร์เดิมนั้นได้มีการแบ่งสวรรค์ออกเป็น 3 ชั้น คือ
สวรรค์ชั้นที่ 1 คือ ความสูงในระดับชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกเรา เป็นชั้นที่ให้ลมและฝนแก่มนุษย์ เหมือนกับที่บอกใน 1 พงษ์กษัตริย์ 8:35 – 36 ว่า ““เมื่อฟ้าสวรรค์ปิดอยู่และไม่มีฝน เพราะเขาทั้งหลายได้ทำบาปต่อพระองค์ แล้วพวกเขาได้อธิษฐานต่อสถานที่นี้ และยอมรับพระนามของพระองค์ และหันกลับจากบาปของเขา เนื่องจากพระองค์ทรงลงโทษพวกเขา ก็ขอทรงสดับในฟ้าสวรรค์ และทรงอภัยบาปของอิสราเอลซึ่งเป็นผู้รับใช้และประชากรของพระองค์ แล้วขอทรงสอนทางดีที่ควรจะดำเนินแก่พวกเขา และขอประทานฝนตกบนแผ่นดินของพระองค์ ซึ่งพระองค์ประทานให้เป็นมรดกแก่ประชากรของพระองค์”
สวรรค์ชั้นที่ 2 คือ จักรวาลซึ่งเป็นที่อยู่ของดวงดาวต่าง ๆ เหมือนที่บอกไว้ในสดุดี 8:3 ว่า “เมื่อข้าพระองค์มองดูฟ้าสวรรค์อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ดวงจันทร์และดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้”
สวรรค์ชั้นที่ 3 คือ ที่อยู่สำหรับผู้เชื่อที่ตายไปแล้วหรือที่ในพระคัมภีร์เรียกว่าเมืองบรมสุขเกษมนั่นเอง (ลูกา 23:43, กิจการ 2:27)
แท้จริงแล้วสวรรค์ชั้นที่ 3 ที่เปาโลไปนั้นยังไม่ใช่สวรรค์ที่พระเยซูทรงสัญญาไว้ เป็นเพียงที่พักจิตวิญญาณของผู้เชื่อที่ตายไปแล้ว และเมื่อวันสุดท้ายมาถึง เมื่อถึงวันพิพากษา ผู้เชื่อจึงจะได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์พร้อมกับบำเหน็จที่จะมอบให้ผู้เชื่อแต่ละคนตามการงานที่เขาได้กระทำ ในวิวรณ์ 20:11 ได้บอกว่าในวันแห่งการพิพากษานั้นแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์เดิมได้หายไป ซึ่งหมายถึงแผ่นดินโลกที่เราอยู่ในปัจจุบันและสวรรค์ทั้ง 3 ชั้นตามความเชื่อของคนยิวนั่นเอง ดังนั้นในวิวรณ์บทที่ 21:1 จึงได้กล่าวถึงฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ซึ่งนี่คือที่ที่พระเจ้าสัญญากับผู้เชื่อทุกคนว่าจะได้อยู่ร่วมกับพระองค์เป็นนิจนิรันดร์
ในการรับร่างกายใหม่ที่เหมาะสมกับแผ่นดินสวรรค์นั้นจะได้รับทั้งคนเป็นและคนตาย คือในวันสุดท้ายนั้นเราจะได้รับกายใหม่กันทุกคน โดยคนที่ตายจะถูกทำให้เป็นขึ้นมาก่อนและผู้เชื่อทุกคนที่ยังเป็นอยู่ก็จะขึ้นไปยังเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และได้พบกับพระเยซูในฟ้าอากาศนั้น และจะได้อยู่กับพระองค์เป็นนิจนิรันดร์ (1 เธสะโลนิกา 4:15 – 17, 1 โครินธ์ 15:51 – 53)
3. ต้องมีคุณสมบัติครบถึงจะสวรรค์เข้าได้
เมื่อเราจะเดินทางไปต่างประเทศ เราจะต้องมี Passport และเมื่อถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง เราก็ต้องยื่น Passport ให้ตรวจ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะพิจารณาว่าจะให้เราเข้าประเทศนั้น ๆ หรือไม่ เช่นเดียวกับแผ่นดินสวรรค์ เราต้องมี Passport ที่พระเจ้าจะพิจารณาว่าเรามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าแผ่นดินสวรรค์หรือไม่
ถ้าเราถือ Passport การทำความดีเพื่อจะเข้าแผ่นดินสวรรค์ คำตอบคือ ไม่ให้ผ่าน
ถ้าเราถือ Passport การเป็นสมาชิกคริสตจักรเพื่อจะเข้าแผ่นดินสวรรค์ คำตอบคือ ไม่ให้ผ่าน
ถ้าเราถือ Passport การรักษาบัญญัติ 10 ประการ เพื่อจะเข้าแผ่นดินสวรรค์ คำตอบคือ ไม่ให้ผ่าน
ถ้าเราถือ Passport การเป็นคนดีเพื่อจะเข้าแผ่นดินสวรรค์ คำตอบคือ ไม่ให้ผ่าน
ในโรม 6:23 บอกว่า “เพราะว่าค่าจ้างของบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” นี่จึงเป็นคุณสมบัติที่ชัดเจนของการเข้าสวรรค์ ก็คือ ชีวิตต้องไม่มีบาป ดังนั้นทางเดียวที่เราจะเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้ก็ด้วย Passport แห่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราถือ Passport ผ่านการเชื่อในพระเยซู ผ่านการต้อนรับพระองค์เป็นพระเจ้าของเรา และเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซูให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราก็จะมีชื่ออยู่ในหนังสือแห่งชีวิต และนี่คือหลักฐานยืนยันว่าเรามีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้
การรู้ว่าสวรรค์มีลักษณะอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้เรามีความหวัง แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าความรู้ก็คือ เรามี Passport สำหรับการเข้าสวรรค์แล้วหรือยัง? มีทางเดียวเท่านั้นที่จะได้รับ Passport นี้ ก็คือโดยการเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์ทรงเป็นทางเดียวที่จะไปถึงพระบิดาได้
“พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” ยอห์น 14:6
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com
เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com