เว็บสยามคริสเตียน > บทความคริสเตียน > ก้าวออกไปรับพระพร
เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเราคงได้เห็นข่าวเกี่ยวกับไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่นครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เราเห็นบ้านนับหมื่นหลังถูกไหม้อย่างรวดเร็ว บ้านที่ใครหลาย ๆ คนเก็บเงินมาทั้งชีวิตกลับหายไปภายในเวลาไม่นาน เหตุการณ์นี้ทำให้นึกถึงพระคำของพระเจ้าที่บอกว่าจะไม่ให้น้ำท่วมโลกอีก (ปฐมกาล 9:11) แต่ในวาระสุดท้ายโลกจะถูกทำลายด้วยไฟ (2 เปโตร 3:10) ไฟป่าที่ลุกลามอย่างรวดเร็วและเผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหมือนภาพจำลองเหตุการณ์วันสิ้นโลกที่พระเจ้าได้บอกไว้ เป็นการเตือนเราให้เร่งทำงานของพระองค์เมื่อยังวันอยู่ เพราะเราไม่รู้ว่าวันเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไร
แม้ว่าเราเองที่อยู่ในประเทศไทยอาจจะไม่ได้ประสบภัยแบบประเทศสหรัฐอเมริกา แต่หลายคนก็อาจจะกำลังตกอยู่ในมรสุมของชีวิตที่ไม่แตกต่างจากคนเหล่านั้นสักเท่าไร คำถามคือ เราจะก้าวข้ามจากความทุกข์ยากลำบากไปสู่พระพรได้อย่างไร?
ในอดีตคนอิสราเอลก็เคยประสบกับความทุกข์ยากลำบากอย่างมากเช่นเดียวกัน เมื่อเขาต้องตกไปเป็นทาสที่ประเทศอียิปต์ถึง 400 ปี แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะนำพวกเขาออกจากการเป็นทาส ไปสู่ดินแดนแห่งพระสัญญา เป็นดินแดนที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์
แม้ว่าคนอิสราเอลจะเห็นการอัศจรรย์ต่าง ๆ อย่างมากมายที่พระเจ้าทรงทำเพื่อนำเขาออกจากอียิปต์ แต่หลังจากที่ผู้สอดแนม 12 คน ที่โมเสสส่งออกไปกลับมาถึงค่าย มี 10 คน รายงานต่อโมเสสว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายไปถึงแผ่นดินซึ่งท่านส่งเราไปนั้น ที่นั่นมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์จริง และนี่เป็นผลไม้ของแผ่นดินนั้น แต่ว่าคนที่อยู่ในแผ่นดินนั้นมีกำลังมาก เมืองของพวกเขาก็มีกำแพงป้องกันและใหญ่โตมาก นอกจากนั้นเรายังเห็นลูกหลานคนอานาคที่นั่นด้วย” กันดารวิถี 13:27 – 28 มีแต่เพียงโยชูวากับคาเลบเท่านั้นที่บอกให้ออกไปยึดแผ่นดินคานาอัน
หลายครั้งเราก็เป็นเหมือนคนสอดแนม 10 คน นั้น เมื่อเรามองดูสถานการณ์รอบข้าง เมื่อมองดูปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เราก็หมดกำลัง เราเปลี่ยน “พระสัญญา” ที่พระเจ้าประทานให้ เป็น “ความกลัว” เรา “ลืม” การช่วยเหลือและการอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่พระเจ้าเคยทำเพื่อเราในอดีต เราลืมไปว่าไม่มีสิ่งใดยากสำหรับพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงทำการของพระองค์แล้ว ทำไมเราถึงไม่ทำในส่วนของเรา?
ผู้สอดแนมในสมัยของโยชูวาที่เข้าไปสำรวจดินแดนคานาอันอีกครั้ง เขาได้เข้าไปในบ้านของนางราหับ และได้ฟังคำพยานของนางเกี่ยวกับชนชาติอิสราเอลว่า “ดิฉันทราบแล้วว่า พระยาห์เวห์ประทานแผ่นดินนี้แก่พวกท่าน ความกลัวพวกท่านครอบงำเรา และบรรดาชาวแผ่นดินก็หวาดกลัวพวกท่าน เพราะพวกเราได้ยินเรื่องที่พระยาห์เวห์ทรงทำให้ทะเลแดงแห้งไปต่อหน้าท่าน เมื่อท่านออกจากอียิปต์ และเรื่องการที่ท่านได้ทำต่อกษัตริย์ทั้งสองของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน คือกษัตริย์สิโหนและโอก ผู้ซึ่งพวกท่านได้ทำลายเสีย” โยชูวา 2:9 – 10 คนคานาอันกลัวคนอิสราเอลตั้งแต่ตอนแรกที่ได้ยินว่าพระเจ้าทำให้ทะเลแดงแห้งเพื่อนำชนชาติอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์และกำลังมุ่งหน้ามายึดแผ่นดินคานาอัน แต่เพราะคำของผู้สอดแนมทั้ง 10 คน ทำให้คนอิสราเอลขาดกำลังใจ ทำให้ขาดความเชื่อว่าพระสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้นั้นจะเป็นจริง
แล้วผลของการขาดความเชื่อคืออะไร? คนอิสราเอลในสมัยโมเสส “ไม่ได้รับพระพร” ไม่ได้เข้าแผ่นดินคานาอัน แท้จริงแล้วในสมัยของโยชูวา “ปัญหาและอุปสรรค” ทั้งคนคานาอันและคนอานาคที่พวกเขากลัวก็ “ยังคงอยู่” เหมือนเดิม แต่สิ่งที่แตกต่างจากเดิมคือ คนอิสราเอลรุ่นใหม่เชื่อพระสัญญาของพระเจ้า คนอิสราเอลในสมัยของโมเสสต้อง “ถูกลงโทษ” เพราะขาดความเชื่อ โดยให้เดินวนเวียนในถิ่นทุรกันดารถึง 40 ปี จนกว่าคนที่มีอายุ 20 ปี ขึ้นไปจะตายหมด
มีการคาดการณ์ว่าคนอิสราเอลที่มีอายุ 20 ปี ขึ้นไปมีประมาณ 1 ล้านคน นั่นแสดงว่าจะมีคนอิสราเอลตาย 25,000 คน/ปี หรือประมาณ 70 คน/วัน ถ้าเราเป็นคนอิสราเอลในสมัยนั้นที่ต้องเดินวนเวียนในถิ่นทุรกันดาร ไม่มีบ้านอาศัยที่ถาวร ต้องกางเตนท์นอนไปเรื่อย ๆ อาหารในแต่ละวันจะมีแค่มานากับเนื้อนกคุ่ม “อนาคต” ของชีวิตถูกกำหนดไว้แล้ว คือ เดินวนไปมาจนกว่าจะตาย เราจะรู้สึกอย่างไร? นี่คือผลของ “การกบฏ” เป็นผลจาก “การไม่เชื่อฟังพระเจ้า” คำถามคือ เราอยากมีชีวิตและอยากมีอนาคตอย่างนี้ไหม?
โยชูวาและคาเลบก็เป็นคนอิสราเอลสมัยโมเสสด้วย แต่ชีวิตของเขากลับแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง เขาไม่ได้ถูกลงโทษแต่กลับดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย เขามุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จให้ได้ ที่สำคัญคือ พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานความสำเร็จให้แก่เขา จะอวยพรเขา แล้วอะไรคือกุญแจแห่งความสำเร็จที่พระเจ้าได้เปิดเผยให้กับโยชูวา?
1. ลืมอดีต
“ต่อมาหลังจากที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์สิ้นชีวิตแล้ว พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาบุตรนูนผู้ช่วยโมเสสว่า “โมเสสผู้รับใช้ของเราสิ้นชีวิตแล้ว บัดนี้เจ้าและชนชาตินี้ทั้งหมดจงลุกขึ้นข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ ไปยังแผ่นดินซึ่งเรายกให้พวกเขา” โยชูวา 1:1 - 2
โมเสสถือเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของคนอิสราเอล เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา แต่เวลานี้โมเสสได้ตายไปแล้ว พระเจ้าบอกโยชูวาว่า “ให้ลุกขึ้น” หลายคนไม่ประสบความสำเร็จเพราะยึดติดกับอดีต ยึดติดกับสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ยึดติดกับความล้มเหลวหรือความสำเร็จที่ผ่านมา ทำให้ไม่เดินไปข้างหน้า เหมือนกับการขับรถ เรามองกระจกหลังได้แต่ไม่ใช่มองตลอด สิ่งสำคัญคือต้องมองกระจกที่อยู่ด้านหน้าซึ่งจะทำให้เคลื่อนที่ไปได้อย่างตรงจุดหมาย
เป็นไปได้ที่เราอาจจะกลัว อาจจะไม่มั่นใจในอนาคต โยชูวาก็เช่นเดียวกัน แต่พระเจ้าได้หนุนใจโยชูวาว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด” นี่คือคำพูดที่พระเจ้าอยากจะบอกกับเราทุกคนเช่นเดียวกัน เราพร้อมที่จะลืมอดีตและลุกขึ้นไปข้างหน้าหรือไม่?
2. จดจ่อที่พระพรของพระเจ้า
“ทุกๆ แห่งที่ฝ่าเท้าของเจ้าทั้งหลายจะเหยียบลง เราได้ยกให้พวกเจ้าดังที่เราได้สัญญาไว้กับโมเสส” โยชูวา 1:3
พระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมว่าจะมอบดินแดนคานาอันให้แก่เชื้อสายของเขา
“ในวันนั้นพระยาห์เวห์ทรงทำพันธสัญญากับอับรามว่า “เรามอบดินแดนนี้ให้เชื้อสายของเจ้าแล้ว ตั้งแต่แม่น้ำอียิปต์ไปถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส ทั้งแผ่นดินคนเคไนต์ คนเคนัส และคนขัดโมไนต์ กับคนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนเรฟาอิม คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเกอร์กาชีและคนเยบุสด้วย” ปฐมกาล 15:18 – 20
ดินแดนแห่งพระสัญญาของพระเจ้านั้นกว้างใหญ่มากประมาณ 780,000 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณ 1.5 เท่า (ประเทศไทยมีพื้นที่ 513,120 ตารางกิโลเมตร) เริ่มตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสในประเทศอียิปต์ รวมไปถึงประเทศเลบานอน ประเทศซีเรีย ประเทศจอร์แดนและประเทศอีรัก จะเห็นได้ว่าพระพรที่พระเจ้าให้สำหรับคนของพระองค์นั้นมีมากมาย แต่มีเงื่อนไข คือ “เราต้องออกไปเอา” แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนอิสราเอลไม่ได้รับพระพรอย่างเต็มที่?
- เดินน้อยเกินไป
พระเจ้าตั้งเงื่อนไขกับคนอิสราเอลว่า “ทุกๆ แห่งที่ฝ่าเท้าของเจ้าทั้งหลายจะเหยียบลง เราได้ยกให้พวกเจ้า” ปัญหาของคนอิสราเอลก็คือ เดินไปยังดินแดนแห่งพระสัญญาน้อยเกินไป คนอิสราเอลจึงได้ครอบครองดินแดนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับพระพรทั้งหมดที่พระเจ้าตั้งใจมอบให้ แม้แต่ในสมัยของกษัตริย์โซโลมอลที่เรืองอำนาจ ดินแดนอิสราเอลมีเพียง 150,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 20% ของดินแดนที่พระเจ้าจะมอบให้เท่านั้น
- พอใจแค่ของที่อยู่ตรงหน้า
ดินแดนแรกบนแผ่นดินคานาอันที่คนอิสราเอลเข้ายึดครองก็คือ “ดินแดนฝั่งตะวันออกของจอร์แดน” นี่เป็นเพียง “จุดเริ่มต้นแห่งพระพร” เท่านั้น แต่คนอิสราเอล 2 เผ่าครึ่ง กลับพอใจและเลือกดินแดนเพียงแค่นี้
”โมเสสมอบดินแดนแก่คนเผ่ากาด แก่คนเผ่ารูเบนและแก่คนครึ่งเผ่าของเผ่ามนัสเสห์บุตรโยเซฟ คืออาณาจักรของกษัตริย์สิโหนคนอาโมไรต์ และอาณาจักรของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน ทั้งแผ่นดินและเมืองต่างๆ ตลอดพรมแดน คือเมืองทั้งหลายที่อยู่รอบแผ่นดิน” กันดารวิถี 32:33
ปัจจุบันประเทศอิสราเอลครองพื้นที่ประมาณ 22,000 ตารางกิโลเมตร (ขนาดพอ ๆ กับจังหวัดนครราชสีมา) หรือประมาณ 0.3% ของดินแดนทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสัญญาเท่านั้น คำถามคือ เราอยากได้พระพรจากพระเจ้าแค่ไหน? เราพร้อมที่จะออกไปเอาพระพรของพระเจ้าหรือไม่?
หลาย ๆ คนมักจะเปรียบเทียบการเลี้ยงดูของพระเจ้าเหมือนนกน้อยใหญ่ จากนั้นก็นั่งเฉย ๆ รอคอยว่าเมื่อไรพระเจ้าจะเลี้ยงดูเราเสียที เมื่อไรพระพรของพระเจ้าจะตกมายังชีวิตเรา คำถามคือ เราเคยเห็นนกอยู่เฉย ๆ แล้วอาหารตกลงมาจากฟ้าหรือไม่? นกต้องสร้างรัง ต้องออกไปหาอาหารทุกวัน นกไม่ได้อยู่เฉย ๆ พระเจ้าทรงทำส่วนของพระองค์ในการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้กับมัน นกต้อง “ออกไป” เอาพระพรที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้มาเป็นของตนเอง เช่นเดียวกับชีวิตเรา พระพรของพระเจ้ามีให้เรามากมาย เราจะอยู่เฉยๆ และพอใจแค่พระพรเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือ?
- พระพรแบบค่อยเป็นค่อยไป
หลาย ๆ ครั้งเราคาดหวังพระพรจากพระเจ้าแบบถูกรางวัลที่ 1 คือได้ครั้งเดียวแต่มาก ๆ คำถามคือ เราพร้อมที่จะรับพระพรอันยิ่งใหญ่แบบนั้นหรือไม่? โมเสสทำสำมะโนครัวคนอิสราเอลรุ่นใหม่ พบว่ามีจำนวน 601,730 คน (กันดารวิถี 26:51) คำถามคือ จำนวนคนเพียงเท่านี้เพียงพอสำหรับการครอบครองดินแดนคานาอันทั้งหมดหรือไม่? พระเจ้ารู้ถึงกำลังของเรา รู้ว่าเราสามารถจัดการพระพรของพระองค์ได้มากน้อยแค่ไหน พระเจ้ามีเวลาสำหรับพระพรทั้งหมดที่เราจะได้รับ เพียงแค่เราต้องเชื่อฟังและอดทนรอเท่านั้น
“เราจะไม่ไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าเจ้าในปีเดียว เกรงว่าแผ่นดินจะรกร้างไป และสัตว์ป่าจะทวีขึ้นต่อสู้กับเจ้า แต่เราจะค่อยๆ ไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าเจ้า จนเจ้าทวีจำนวนมากขึ้น แล้วได้ครอบครองดินแดนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์” อพยพ 23:29-30
- อิสราเอลไม่เชื่อฟังพระเจ้า
พระเจ้าบอกให้คนอิสราเอลทำลายคนคานาอันทั้งสิ้น แต่ในผู้วินิฉัยบทที่ 1 เราเห็นหลายเผ่าในอิสราเอลไม่ทำตาม ยังคงมีการไว้ชีวิตชาวคานาอันบางส่วนเอาไว้ พระเจ้าจึงบอกคนอิสราเอลว่า เพราะการไม่เชื่อฟังนี้ พระเจ้าจะไม่กำจัดคนคานาอันให้หมดไป แต่จะเป็นหอกข้างแคร่ของคนอิสราเอล และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้คนอิสราเอลไม่สามารถครอบครองแผ่นดินคานาอันที่พระเจ้าทรงสัญญาได้ทั้งหมด
“เราได้นำเจ้าทั้งหลายขึ้นมาจากอียิปต์ และได้นำพวกเจ้าเข้ามายังแผ่นดินซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้แก่บรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลายว่า ‘เราจะไม่มีวันหักพันธสัญญาที่เราทำกับเจ้าเลย และเจ้าทั้งหลายอย่าทำพันธสัญญากับชาวแผ่นดินนี้ พวกเจ้าจงทำลายแท่นบูชาของพวกเขาเสีย’ แต่เจ้าทั้งหลายไม่เชื่อฟังเรา ทำไมเจ้าทำเช่นนี้เล่า? ฉะนั้นเรากล่าวด้วยว่า เราจะไม่ขับไล่เขาเหล่านั้นออกไปให้พ้นหน้าเจ้าทั้งหลาย แต่พวกเขาจะเป็นหอกข้างแคร่ของพวกเจ้า และบรรดาพระของพวกเขาจะเป็นบ่วงดักเจ้าทั้งหลาย” ผู้วินิฉัย 2:1 - 3
หลายคนเปรียบเทียบดินแดนแห่งพระสัญญาเป็นเหมือนกับแดนสวรรค์ เป็นเหมือนกับปลายทางสุดท้ายที่ต้องการจะไป แต่ในความเป็นจริงแล้วกว่าที่คนอิสราเอลจะได้แผ่นดินมาครอบครองนั้นต้องผ่านเหตุการณ์ทั้งดีและร้ายมากมาย ได้พบเจอการอัศจรรย์ที่กำแพงเยรีโคถล่ม แต่ก็ต้องพ่ายแพ้เมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองอัยในตอนแรก ต้องเจอการหลอกลวงจากชาวกิเบโอน มีพี่น้องถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก ดินแดนคานาอันเป็นพระพรที่พระเจ้ามอบให้คนอิสราเอลก็จริง แต่เป็นพระพรที่ ต้องก้าวออกไปเอา แม้ว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานให้ ซึ่งนี่ก็เพียงพอแล้ว
3. ติดสนิทกับพระเจ้า
เรารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าปรารถนาให้เราประสบความสำเร็จ? แต่มีเงือนไขก็คือ เราต้องทำตามพระคำของพระเจ้า มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์ เหมือนกับที่พระเจ้าได้บอกกับโยชูวาว่า “อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างจากปากของเจ้า แต่จงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะทำตามข้อความทุกประการที่เขียนไว้นั้น แล้วเจ้าจะมีความเจริญ และประสบความสำเร็จ” โยชูวา 1:8
คำว่า “ตรึกตรอง” นั้น คำเดิมแสดงให้เห็นภาพ “การเคี้ยวเอื้อง” ของสัตว์ เป็นอาการที่สัตว์จำพวกวัวควายสำรอกอาหารออกมาเคี้ยวอีกอย่างช้า ๆ เพื่อให้ละเอียด เช่นเดียวกัน พระเจ้าปรารถนาให้เราใคร่ครวญพระคำของพระองค์อย่างละเอียดถี่ถ้วน จนเราเข้าใจและสามารถนำไปปฎิบัติในชีวิตประจำวันได้
- นิยามของความสำเร็จ
อย่างไรก็ตามคำว่า “ความสำเร็จ” นั้นแต่ละคนก็มีคำนิยามที่แตกต่างกันไป คนทั่วไปอาจจะหมายถึงการมีทรัพย์สมบัติมากมาย มีตำแหน่ง มีอำนาจ มีหน้าที่การงานที่ดี
แต่ “ความสำเร็จ” ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้นคือ การที่น้ำพระทัยของพระเจ้าในชีวิตเราสำเร็จ ดังนั้นความสำเร็จในแบบพระเจ้าจึงประกอบไปด้วย “พระเจ้าได้รับเกียรติ” “ผู้คนได้ประโยชน์” และ “อาณาจักรพระเจ้าขยาย”
เราอาจจะประสบความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่การงาน มีคนนับถือมากมาย มีทรัพย์สมบัติสะสมแบบนับไม่ถ้วน แต่หากสิ่งที่เรามีนั้นพระเจ้าไม่ได้รับเกียรติ คนรอบข้างไม่ได้รับประโยชน์ และไม่ใช่เพื่อให้อาณาจักรของพระเจ้าแพร่ขยายออกไป สิ่งที่เรามีนั้นก็ไร้ประโยชน์ ไม่ใช่ความสำเร็จในแบบที่พระเจ้าต้องการ
- การทรงสถิตสำคัญกว่าการรับใช้
เมื่อครั้งที่โมเสสขึ้นไปบนภูเขาเพื่อรับบัญญัติ 10 ประการ แต่ลงมาช้าจนคนอิสราเอลทนไม่ไหว จึงได้ให้อาโรนทำโคทองคำเพื่อจะได้นมัสการรูปปั้นนั้นแทนพระเจ้า สิ่งนี้ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยและตรัสกับโมเสสว่า “เราได้เห็นชนชาตินี้แล้ว และดูสิ เขาเป็นชนชาติที่หัวแข็ง บัดนี้ ขออย่ายับยั้งเรา เพื่อความโกรธของเราจะเดือดพลุ่งขึ้นต่อพวกเขา และเพื่อเราจะทำลายเขาทั้งหลายเสีย ส่วนเจ้า เราจะให้เป็นชนชาติใหญ่” อพยพ 32:9 – 10 พระเจ้าต้องการทำลายคนอิสราเอลทั้งหมดให้สิ้นไป และจะให้โมเสสเป็นชนชาติใหญ่แทน แต่โมเสสไม่ต้องการสิ่งนี้ จึงได้อ้อนวอนขอพระเมตตาจากพระเจ้า “แล้วพระยาห์เวห์จึงเปลี่ยนพระทัย ไม่ทรงทำอันตรายประชากรของพระองค์อย่างที่มีพระดำริไว้แก่ประชากรของพระองค์” อพยพ 32:14
แม้ว่าพระเจ้าจะไม่ทำลายคนอิสราเอล แต่พระองค์บอกกับโมเสสว่าให้ลุกขึ้น “ทำตามหน้าที่” ที่พระเจ้าได้มอบหมายไว้ คือนำคนอิสราเอลเข้าไปยึดแผ่นดินคานาอัน แต่ “พระเจ้าจะไม่ไปด้วย” พระเจ้าจะให้ทูตองค์หนึ่งนำหน้าไป คำถามคือ เราอยากออกไปพร้อมทูตองค์หนึ่ง หรืออยากออกไปพร้อมพระเจ้า? พระเจ้าทรงสถิตย์อยู่กับการรับใช้ของเราหรือไม่?
โมเสสยืนยันว่าถ้าพระเจ้าไม่ไปด้วย ตัวเขาก็จะไม่ไปเหมือนกัน ”แล้วโมเสสจึงกราบทูลพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์ไม่เสด็จไปกับข้าพระองค์ ก็ขออย่าทรงนำพวกข้าพระองค์ขึ้นไปจากที่นี่เลย” อพยพ 33:15 เราต้องลำดับความสำคัญให้ดี พระเจ้าต้องสำคัญที่สุด ไม่ใช่งานรับใช้!! เมื่อโยชูวามารับช่วงต่อจากโมเสส พระเจ้าบอกกับโยชูวาว่าจะอยู่ด้วยกับเขาเช่นเดียวกัน “เราอยู่กับโมเสสมาแล้วอย่างไร เราจะอยู่กับเจ้าอย่างนั้น เราจะไม่ละเลยหรือทอดทิ้งเจ้า” โยชูวา 1:5
สิ่งที่สำคัญที่สุดในงานรับใช้ไม่ใช่ “ความสำเร็จ” ไม่ใช่แค่ “การทำตามหน้าที่” ที่พระเจ้ามอบหมายให้ แต่ทุกสิ่งที่ทำนั้นพระเจ้าต้อง “ทรงสถิต” อยู่ด้วย และนี่คือเคล็ดลับที่สำคัญสำหรับแผนงานทุกอย่างของเรา และเมื่อเรา “ก้าวออกไป” เราก็มั่นใจได้ว่าจะได้รับพระพรของพระเจ้าที่รอเราอยู่อย่างแน่นอน
“ไม่มีใครจะยืนหยัดต่อหน้าเจ้าได้ตลอดชีวิตของเจ้า เราอยู่กับโมเสสมาแล้วอย่างไร เราจะอยู่กับเจ้าอย่างนั้น เราจะไม่ละเลยหรือทอดทิ้งเจ้า จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด” โยชูวา 1:4 - 6
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com
เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com