พระเจ้ามีจริงหรือ โลกที่เราอยู่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญหรือมีผู้สร้าง
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> บทความคริสเตียน > วันสะบาโตและการแต่งงาน ปฐมกาลบทที่ 2

วันสะบาโตและการแต่งงาน ปฐมกาลบทที่ 2

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

ในปฐมกาลบทที่ 1 เป็นการให้เราเห็นภาพกว้าง ๆ ของ 6 วัน แห่งการทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สำหรับในปฐมกาลบทที่ 2 จะเป็นการให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวันที่ 6 แห่งการทรงสร้างนั้น โดยเฉพาะการสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระเจ้า

วันสะบาโตและการแต่งงาน ปฐมกาลบทที่ 2

มีคนบางกลุ่มเชื่อว่าปฐมกาลบทที่ 1 และบทที่ 2 นั้น เป็นคนเขียนคนละคนกัน เนื่องจากมีการใช้ชื่อเรียกพระเจ้าที่แตกต่างกันไป ในปฐมกาลบทที่ 1 คือคำว่า “เอโลฮิม” แต่ในปฐมกาลบทที่ 2 ใช้คำว่า “ยาห์เวห์” ดังนั้นโมเสสจึงไม่น่าจะเป็นผู้เขียนพระธรรมปฐมกาลแต่เพียงผู้เดียว น่าจะมีผู้อื่นเขียนร่วมด้วย

อย่างไรก็ตามแนวความคิดนี้ “ไม่น่าจะถูกต้อง” เนื่องจากคำว่า “เอโลฮิม” หมายถึง “พระเจ้า พระผู้สร้าง ผู้ทรงฤทธิ์ และผู้ทรงเข้มแข็ง" ซึ่งสอดคล้องกับปฐมกาลบทที่ 1 ที่เป็นเรื่องราวแห่งการทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นการบอกถึงความยิ่งใหญ่และฤทธานุภาพของพระเจ้า ในขณะที่คำว่า “ยาห์เวห์” เป็นการใช้ในบริบทที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าพระผู้สร้างกับมนุษย์ที่ทรงสร้างนั้น ซึ่งสอดคล้องกับปฐมกาลบทที่ 2 ที่เป็นการให้รายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระเจ้า (คำว่า “ยาห์เวห์” ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า LORD ในขณะที่คำว่า “อโดนาย” ที่แปลว่า จอมเจ้านาย เป็นการใช้ในบริบทที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เช่นเดียวกัน แต่ในภาษาอังกฤษเขียนแทนด้วย Lord) ดังนั้นการใช้พระนามพระเจ้าที่แตกต่างกันจึงไม่น่าแปลก เพราะวัตถุประสงค์ในการเขียนนั้นแตกต่างกัน

อีกเหตุผลหนึ่งที่เชื่อว่าโมเสสเป็นคนเขียนพระธรรมปฐมกาลแต่เพียงผู้เดียวก็คือ คนยิวในสมัยพระคัมภีร์เดิมเชื่อว่าโมเสสเป็นผู้เขียน พระเยซูและคริสตจักรในยุคแรกก็เชื่อว่าโมเสสเป็นผู้เขียนเช่นเดียวกัน ในยอห์น 5:46 – 47 กล่าวไว้ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อโมเสส ท่านก็น่าจะเชื่อเรา เพราะโมเสสเขียนถึงเรา แต่ถ้าพวกท่านไม่เชื่อเรื่องที่โมเสสเขียนแล้ว ท่านจะเชื่อถ้อยคำของเราได้อย่างไร?” พระเยซูยืนยันว่าโมเสสเป็นผู้เขียนพระคัมภีร์ และสิ่งที่เขียนนั้นก็เล็งถึงตัวพระองค์เอง แนวคิดการไม่เชื่อว่าโมเสสเป็นผู้เขียนนั้น เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 300 ปี ที่ผ่านมานี้เอง ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะเชื่อกลุ่มคนเหล่านี้ซึ่งเกิดมาทีหลังโมเสสนับพัน ๆ ปี

1. ในวันที่ 7 พระเจ้าทรงหยุดพักจากการงานทั้งปวง ปฐมกาล 2:1 - 3

“ฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน และสรรพสิ่งทั้งสิ้นที่มีอยู่ในนั้นก็ถูกสร้างเสร็จ วันที่เจ็ดพระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ที่ทรงทำมานั้น ในวันที่เจ็ดนั้นก็ทรงหยุดพักจากการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ พระเจ้าจึงทรงอวยพรวันที่เจ็ด ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ เพราะในวันนั้นพระองค์ทรงหยุดพักจากการงานทั้งปวงที่พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างและทรงกระทำ”

พระเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยจากการทรงสร้างหรือ จึงต้องหยุดพัก? คำตอบคือ “ไม่ใช่” แต่หมายถึงพระเจ้าทรงสร้างทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องสร้างอะไรเพิ่มเติมอีก จะเห็นได้ว่ามีคำว่า “เจ็ด” อยู่ถึง 3 ครั้ง ซึ่งเลข 7 สำหรับคนยิวนั้นหมายถึงความสมบูรณ์ครบถ้วน การที่พระเจ้า “พัก” ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงเหนื่อย พระองค์ไม่จำเป็นต้องนอนหลับพักผ่อนเหมือนมนุษย์ ในสดุดี 121:3 บอกว่า “พระองค์ผู้ทรงอารักขาท่านจะไม่เคลิ้มหลับไป” การที่พระองค์ทรงพักในวันที่ 7 ก็เพื่อจะเป็นแบบอย่างให้แก่เรา จะเห็นว่าคนที่ทำงาน 5 – 6 วัน แล้วหยุด “พัก” จะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ทำงาน 7 วัน โดยไม่ได้หยุด “พัก” เลย เพราะพระเจ้าทรงออกแบบมนุษย์มาเพื่อให้ต้องการการพักผ่อนและพระเจ้าต้องการให้เราทุกคนทำตามแบบอย่างของพระองค์ด้วย

แท้จริงแล้วพระเจ้าของเราไม่เคยหยุดทำงานของพระองค์เลย แม้จะเป็นวันสะบาโตก็ตาม พระเจ้ายังคงทำกิจของพระองค์อยู่ตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้ เหมือนในยอห์น 5:17 ที่พระเยซูตรัสว่า “พระบิดาของเรายังทรงทำงานอยู่เรื่อย ๆ และเราก็ทำด้วย” นี่เป็นเรื่องที่พวกยิวไม่พอใจพระเยซูที่ทรงรักษาชายคนหนึ่งที่ป่วยมา 38 ปี ในวันสะบาโต พระเยซูจึงบอกคนพวกนั้นว่าพระเจ้าก็ทรงทำงานในวันสะบาโตเหมือนกัน เพราะเห็นแก่มนุษย์ที่พระองค์ทรงรัก

แล้วทำไมคริสเตียนไม่ให้วันสะบาโตเป็นวันเสาร์ ทำไมไม่ทำตามบทบัญญัติวันสะบาโตตามพระคัมภีร์?

ใน อพยพ 31:12-13 บอกว่า “พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงสั่งชนชาติอิสราเอลว่า ‘จงรักษาวันสะบาโตของเราไว้ เพราะนี่จะเป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับพวกเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ของพวกเจ้า เพื่อจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ ผู้ชำระเจ้าทั้งหลายให้บริสุทธิ์ พวกเจ้าจงรักษาวันสะบาโต เพราะเป็นวันบริสุทธิ์สำหรับพวกเจ้า ผู้ใดทำให้วันนั้นเป็นมลทินจะต้องถูกลงโทษถึงตายอย่างแน่นอน ถ้าผู้ใดทำงานใด ๆ ในวันนั้น ผู้นั้นต้องถูกตัดออกจากการเป็นประชากรของเรา จงทำงานหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโตสำหรับหยุดพัก เป็นวันบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ ทุกคนที่ทำงานในวันสะบาโตนั้นต้องถูกลงโทษถึงตายอย่างแน่นอน ดังนั้น ชนชาติอิสราเอลจึงรักษาวันสะบาโตตลอดชั่วชาติพันธุ์ของพวกเขาเป็นพันธสัญญาเนืองนิตย์ เป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับชนชาติอิสราเอลเป็นนิตย์ว่า ในหกวันพระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก แต่ในวันที่เจ็ดทรงหยุดพัก และหย่อนพระทัย ”

จะเห็นว่าวันสะบาโตเป็นวันที่สำคัญมาก เพราะถ้าใครทำให้วันนั้น “เป็นมลทิน” หรือใคร “ทำงาน” จะต้อง “ถูกลงโทษถึงตาย” แต่ทำไมเราที่เป็นคริสเตียนถึงไม่ทำตามละ? คำตอบอยู่ในอพยพ 31:12 ที่บอกว่า ”นี่จะเป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับพวกเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ของพวกเจ้า” คำว่า “เจ้า” ในที่นี้หมายถึง “คนอิสราเอล” เท่านั้น ไม่ใช่ใครก็ได้ ดังนั้นการถือรักษาวันสะบาโตแบบคนยิวจึงไม่ใช่หน้าที่ของคริสเตียน

วันสะบาโตและการแต่งงาน ปฐมกาลบทที่ 2

มีผู้เชื่อบางกลุ่มยังคงถือรักษาวันสะบาโต เพราะเชื่อว่าคริสเตียนมาแทนชนชาติอิสราเอล ดังนั้นการถือรักษาวันสะบาโตจึงเป็นคำสั่งสำหรับผู้เชื่อด้วย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น เขาก็ควรต้องถือรักษาธรรมบัญญัติทั้งหมดของโมเสส เพราะพระเจ้าให้บทบัญญัตินี้กับชนชาติอิสราเอล แต่ไม่มีใครสามารถถือรักษาทั้งหมดได้แน่นอน พวกเขาเลยขอเลือกแค่รักษาวันสะบาโตให้เป็นวันเสาร์เท่านั้น ปัญหาก็คือ ไม่มีที่ไหนในพระคัมภีร์บอกว่าคริสเตียนมาแทนชนชาติอิสราเอล ตรงกันข้ามพระเยซูบอกอย่างชัดเจนว่าเรา “ไม่ได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติแล้ว” ในคืนก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงบนกางเขน พระองค์ทรงตั้งพิธีมหาสนิทขึ้น พระเยซูบอกว่านี่คือ “พันธสัญญาใหม่” (1 โครินธ์ 11:25) เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนจำนวนมาก เราจึงไม่จำเป็นต้องพยายามกระทำตามบทบัญญัติทางศาสนาเพื่อให้ได้ไปสวรรค์ เราจึงไม่จำเป็นต้องรักษาวันสะบาโตแบบคนยิว

“ระหว่างรับประทานอยู่นั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังขึ้นมา และเมื่อขอพระพรแล้ว ก็ทรงหักส่งให้บรรดาสาวกตรัสว่า “จงรับไปกินเถิด นี่เป็นกายของเรา” แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย เมื่อขอบพระคุณแล้ว ก็ทรงส่งให้พวกเขาตรัสว่า “จงรับไปดื่มทุกคนเถิด เพราะว่านี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนจำนวนมาก” มัทธิว 26:26 - 28

นอกจากนี้อาจารย์เปาโลยังบอกอีกว่าเราไม่ได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติแล้ว แต่อยู่ภายใต้พระคุณ เราจึงไม่จำเป็นต้องยึดถือบทบัญญัติต่าง ๆ แบบคนยิว

“เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้” เอเฟซัส 2:8 – 9

เราพยายามทำดีเพื่อไปสวรรค์หรือเปล่า? เราต้อง “พัก” เราต้องเชื่อว่าความตายบนกางเขนของพระเยซูนั้นเพียงพอที่จะให้เรารอด ให้เราได้อยู่บนสวรรค์ร่วมกับพระองค์

เรากำลังอยู่ในสมการชีวิตแบบไหน?

แบบที่ 1

ความเชื่อ + การกระทำ = ความรอด

แบบที่ 2

ความเชื่อ = ความรอด => การกระทำ

แบบที่ 1 นั้น คือการมองว่า “พระโลหิตของพระเยซู” บนกางเขนนั้นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เราได้ไปสวรรค์ จะต้องบวก “การกระทำ” ของเราด้วย ถ้าเปรียบเทียบกับต้นไม้ “การกระทำ” เป็นเหมือน “ราก” ที่ต้นไม้จำเป็นต้องมีเพื่อให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้ แต่นี่คือแนวคิดที่ “ผิด”

แบบที่ 2 เป็นสมการที่ “ถูกต้อง” นั่นคือ “การกระทำ” เป็นเพียง “ผล” ของต้นไม้เท่านั้น แม้ต้นไม้จะไม่มี “ผล” ก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ นั่นคือ “ความเชื่อ” ในพระเยซูเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เราไปสวรรค์ได้ ไม่ต้องพึ่งพา “การกระทำ” ใด ๆ ของเรา

2. ลำดับการทรงสร้าง ปฐมกาล 2:4 – 7

“ลำดับเรื่องการเนรมิตสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินมีดังนี้ ในวันที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างแผ่นดินและฟ้าสวรรค์ เมื่อยังไม่มีต้นไม้ตามทุ่งบนแผ่นดิน และพืชตามทุ่งก็ยังไม่งอกขึ้นเลย เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้ายังไม่ได้ทรงให้ฝนตกบนแผ่นดิน ทั้งยังไม่มีมนุษย์เพาะปลูกบนดิน แต่มีละอองน้ำขึ้นมาจากแผ่นดิน รดพื้นดินทั่วทั้งหมด พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีจากพื้นดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูกของเขา มนุษย์จึงกลายเป็นผู้มีชีวิตอยู่”

เป็นที่น่าสังเกตว่าในปฐมกาลบทที่ 1:24 – 26 บอกว่าพระเจ้าทรงสร้างสัตว์ก่อนหลังจากนั้นจึงสร้างมนุษย์ขึ้น แต่พอมาในปฐมกาลบทที่ 2:7 บอกว่าพระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ขึ้นก่อน และในข้อ 18 - 19 พระเจ้าทรงเห็นว่า “ไม่ดี” หากชายคนนี้จะอยู่คนเดียว จึงปั้นสัตว์ต่าง ๆ ขึ้นและนำมาให้ชายคนนั้นตั้งชื่อ คำถามคือ ทำไมพระคำ 2 ตอนนี้มีลำดับการทรงสร้างที่ขัดแย้งกัน?

ถ้าหากเราดูในรายละเอียดของพระธรรมปฐมกาล 2:4 – 6 นั้น จะเป็นการพูดถึงการทรงสร้างในวันที่ 1 และ 2 ซึ่งยังไม่มีต้นไม้เกิดขึ้นบนโลกนี้ จากนั้นในข้อ 7 ก็ข้ามไปพูดถึงวันที่ 6 แห่งการทรงสร้างที่ได้สร้างมนุษย์ขึ้น จะเห็นได้ว่าปฐมกาลบทที่ 2 นี้เป็นการเขียนที่ไม่ได้เรียงลำดับวันแห่งการทรงสร้าง เพราะไม่เช่นนั้นก็จะซ้ำกับปฐมกาลบทที่ 1 ซึ่งปัญหาเรื่องลำดับการสร้างคนและสัตว์ในปฐมกาล 2:19 ที่บอกว่าพระเจ้าทรงปั้นสัตว์ต่าง ๆ ขึ้นหลังจากอาดัมนั้น หากดูในภาษาดั้งเดิมจะเห็นว่าคำว่า “ปั้น” นั้นเป็นการพูดถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ซึ่งในภาษาอังกฤษฉบับ NIV ได้แปลว่า “had formed” ถ้าจะแปลให้ถูกต้องก็น่าจะหมายความว่าพระเจ้าได้ปั้นสัตว์มาก่อนแล้ว จากนั้นจึงนำมาให้อาดัมตั้งชื่อ ดังนั้นพระคำทั้ง 2 ตอนนี้จึงไม่ได้มีอะไรที่ขัดแย้งกัน แต่มีวัตถุประสงค์ในการเขียนที่แตกต่างกัน ในปฐมกาลบทที่ 1 ต้องการเน้นลำดับในการทรงสร้าง ส่วนในปฐมกาลบทที่ 2 ต้องการให้เรายละเอียดเพิ่มเติมของวันที่ 6 แห่งการทรงสร้างนั้น เนื่องจากมนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้างพิเศษของพระเจ้า

วันสะบาโตและการแต่งงาน ปฐมกาลบทที่ 2

เมื่ออ่านพระธรรมปฐมกาล หลายคนอาจจะมีความสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีเรื่องมนุษย์ต่างดาว ทำไมถึงไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับไดโนเสาร์ หรือไม่มีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย นั่นก็เป็นเพราะหนังสือทุกเล่มต่างมีวัตถุประสงค์ในการเขียนที่แตกต่างกัน พระคัมภีร์ก็เช่นเดียวกันที่วัตถุประสงค์ในการเขียน ก็คือ ต้องการให้เราทุกคนรู้ว่าใครเป็นคนสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มนุษย์เกิดขึ้นได้อย่างไร ล้มลงในความบาปได้อย่างไร แผนการของพระเจ้าสำหรับการช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากบาปนั้นคืออะไร รวมทั้งตอนจบของโลกนี้จะเป็นอย่างไร และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพระคัมภีร์จึงให้รายละเอียดในบางเรื่องในขณะที่อีกหลาย ๆ เรื่องก็ไม่ได้มีบันทึกเอาไว้ และนี่ก็ยังเป็นเหตุผลอีกว่าทำไมลำดับเรื่องบางทีจึงไม่เหมือนกัน นั่นก็เพราะต้องการเน้นในบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการเขียนหนังสือ ซึ่งปฐมกาลบทที่ 2 ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างนั้น

ในข้อ 6 บอกว่า “แต่มีละอองน้ำขึ้นมาจากแผ่นดิน รดพื้นดินทั่วทั้งหมด” พระเจ้าทรงมีระบบรดน้ำของพระองค์เอง เนื่องจากยังไม่มีฝนตกจนกว่าจะเกิดน้ำท่วมโลก แต่พืชต่าง ๆ ต้องการน้ำ พระเจ้าจึงออกแบบให้มีละอองน้ำขึ้นมาจากแผ่นดิน นอกจากนี้นักวิชาการบางคนเชื่อว่าละอองน้ำเหล่านี้ที่ปกคลุมอยู่เหนือพื้นโลกทำให้เกิดปรากฏการณ์ Green House Effect ซึ่งช่วยรักษาระดับน้ำและอุณหภูมิของโลกไว้ ทำให้โลกน่าอยู่เป็นโลกที่ไม่มีทะเลทราย ไม่มีธารน้ำแข็ง สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยความชุ่มชื้นและเปียก และยังเชื่อว่าละอองน้ำที่เป็นเหมือนหลังคาของโลกยังช่วยให้มนุษย์มีอายุยืนนาน เนื่องจากป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตไม่ให้เข้าสู่ร่างกายคน ซึ่งหากสังเกตให้ดี หลังจากน้ำท่วมโลกแล้ว อายุของมนุษย์ได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะว่าละอองน้ำเหล่านี้ได้กลายเป็นฝนและหายไปจากการปกคลุมโลกนั่นเอง

ในข้อ 7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์จากผงคลีดิน ซึ่งเป็นการสร้างที่แตกต่างออกไป ที่ผ่านมาพระเจ้าแค่ตรัสเท่านั้น แล้วสิ่งต่าง ๆ ก็เกิดขึ้น แต่สำหรับมนุษย์ พระเจ้าทรง “ปั้น” มนุษย์ขึ้นมา คำว่า “ปั้น” ในภาษาดั้งเดิมที่เขียนนั้น เป็นศัพท์ที่ใช้ถึงศิลปินที่ทำงานอย่างประณีต เป็นการปั้นด้วยความระมัดระวัง จะเห็นว่ามนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้างพิเศษ เมื่อปั้นแล้วพระเจ้าทรงระบายลมปราณเข้าทางจมูกเพื่อให้มนุษย์มีชีวิต นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนแตกต่างจากสัตว์ เพราะคนมี “จิตวิญญาณ” คนมีลมปราณของพระเจ้า พระเจ้าออกแบบให้มนุษย์สามารถสัมผัสและพูดคุยกับพระองค์ได้ และพระเจ้าทรงเป็นคำตอบที่จะเติมหัวใจของมนุษย์ให้เต็ม จะเห็นว่าคนพยายามจะเติมใจตนเองให้เต็มด้วยความสำเร็จ ด้วยทรัพย์สินเงินทอง ด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ แต่ไม่มีสิ่งใดทำให้ใจมนุษย์อิ่มได้ เราไม่เคยเห็นมหาเศรษฐีคนไหนพอใจในเงินทองที่ตนมี เมื่อมีมากแล้วก็พยายามจะมีมากขึ้น ไม่เคยมีใครอิ่มเงิน อิ่มชื่อเสียง หรืออิ่มในความสำเร็จ นั่นเป็นเพราะ “ลมปราณ” ของพระเจ้าที่มอบให้มนุษย์นั้นทำให้มนุษย์มีความต้องการในหัวใจ และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้ “จิตวิญญาณ” ของมนุษย์เต็มอิ่มได้ แล้ววันนี้คุณรู้จักพระเจ้าผู้เติมเต็มหัวใจของคุณหรือยัง?

3. พระเจ้าทรงสร้างสวนเอเดน ปฐมกาล 2:8 – 14

“พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ในเอเดนทางทิศตะวันออก และทรงกำหนดให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นอยู่ที่นั่น แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดที่งามน่าดูและน่ากินงอกขึ้นจากพื้นดิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่กลางสวนนั้น กับต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วต้นหนึ่งด้วย มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลจากเอเดนรดสวนนั้น จากที่นั่นก็แยกเป็นสี่สาย ชื่อแม่น้ำสายที่หนึ่งคือปิโชน เป็นแม่น้ำที่ไหลรอบแผ่นดินฮาวิลาห์ทั้งหมด ที่มีแร่ทองคำ ทองคำที่บริเวณนั้นเป็นทองคำเนื้อดี และมียางไม้ตะคร้ำ และโมรา ชื่อแม่น้ำสายที่สองคือกิโฮน ไหลรอบแผ่นดินคูชทั้งหมด ชื่อแม่น้ำสายที่สามคือไทกริส ไหลไปทางทิศตะวันออกของอัสซีเรีย และแม่น้ำสายที่สี่ชื่อยูเฟรติส”

พระคัมภีร์ได้บอกที่ตั้งของสวนเอเดนไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีชื่อแม่น้ำที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี ก็คือ แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส คำถามก็คือ แล้วสวนเอเดนอยู่ที่ไหน?

แม้ว่าในพระคัมภีร์จะบอกที่ตั้งของสวนเอเดนอย่างชัดเจน แต่นั่นเป็นที่ตั้งก่อนที่น้ำจะท่วมโลก ซึ่งหลังน้ำท่วมโลกนั้นสภาพภูมิศาสตร์ของโลกมีการเปลี่ยนแปลงไป จากโลกที่ไม่เคยมีทะเลทราย ไม่มีธารน้ำแข็ง สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้น แม่น้ำบางสายอาจจะหายไปและมีแม่น้ำสายใหม่ ๆ เกิดขึ้น เป็นไปได้ที่โนอาห์และลูก ๆ จะเอาชื่อที่ตนเคยรู้จักมาตั้งชื่อสถานที่ต่าง ๆ หลังน้ำท่วมโลก นี่จึงเป็นสาเหตุที่เราไม่รู้ว่าตำแหน่งสวนเอเดนที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่

4. งานแรกของมนุษย์ ปฐมกาล 2:15 – 17

"พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอาศัยอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและดูแลสวน พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงตรัสสั่งมนุษย์นั้นว่า “ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่”"

พระเจ้ามอบหมายให้มนุษย์ทำและดูแลสวนเอเดน สำหรับพระเจ้านั้น “งาน” ไม่ใช่คำสาป แต่เป็นหน้าที่รับผิดชอบที่มนุษย์ควรจะมี พระเจ้าทรงประทานสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่มนุษย์แล้ว หน้าที่ของมนุษย์ก็คือต้องดูแลและรักษาสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้ เราต้องทำหน้าที่คนต้นเรือนที่ดี และพระเจ้าไม่เคยให้เราทำอะไรเปล่า ๆ แต่พระองค์ทรงอวยพรเราด้วย เหมือนที่ทรงอวยพรให้มนุษย์มีผลไม้หลากหลายชนิดที่สามารถกินได้ในสวนเอเดน จะมีแค่เพียงต้นเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าทรงห้ามไม่ให้กิน นั่นก็คือ ต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว นั่นเอง

วันสะบาโตและการแต่งงาน ปฐมกาลบทที่ 2

มีบางคนบอกว่า ถ้าหากคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ในสิ่งแวดล้อมที่ดี คน ๆ นั้นก็จะเป็นคนดี อันนี้เป็นความจริงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากเราย้อนกลับไปดูในปฐมกาล จะเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงสร้างสวนเอเดนให้มนุษย์ได้อยู่ เป็นเหมือนสวรรค์บนดิน เป็นสถานที่สวยงาม อุดมสมบูรณ์ แต่สุดท้ายอาดัมกับเอวาก็ยังทำบาป !!

สาเหตุของความบาปที่เกิดขึ้นก็เพราะมนุษย์ “มีทางเลือก” พระเจ้าทรงให้มีต้นไม้พิเศษอยู่ในสวนเอเดน ก็คือ ต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว หลายคนบอกว่าถ้าหากพระเจ้าไม่สร้างต้นไม้ต้นนี้ โลกก็จะไม่มีปัญหา โลกก็จะไม่มีบาป แต่นั่นไม่ใช่น้ำพระทัยในการทรงสร้างของพระเจ้า หากมนุษย์ไม่มี “ทางเลือก” ก็ไม่มีการตัดสินใจ ไม่มีอิสระที่จะทำอะไรตามใจชอบ นั่นก็ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ !! แต่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ “ตามพระฉายา” ของพระองค์ นั่นคือทรงสร้างให้มนุษย์มีอิสระ มีเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ และคนเราจะมีอิสระก็ต่อเมื่อเรามีศักยภาพในการทำบาปนั่นเอง

5. คู่อุปถัมภ์ ปฐมกาล 2:18 – 25

“พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า “การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น” พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงปั้นสัตว์ทุกชนิดในท้องทุ่ง และนกทุกชนิดในท้องฟ้าจากดิน แล้วทรงนำมายังชายนั้น เพื่อดูว่า เขาจะเรียกชื่อมันว่าอะไร ชายนั้นตั้งชื่อสัตว์ทุกชนิดที่มีชีวิตว่าอย่างไร สัตว์นั้นก็มีชื่ออย่างนั้น ชายนั้นจึงตั้งชื่อสัตว์ใช้งานทุกชนิด และนกในอากาศและสัตว์ป่าทุกชนิด แต่ชายนั้นยังไม่พบคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขา แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูก ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น ชายนั้นจึงว่า “นี่แหละ กระดูกจากกระดูกของเรา”

ที่ผ่านมาพระเจ้าทรงตรัสว่า “ดี” มาตลอด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าบอกว่า “ไม่ดี” ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ทรงสร้างมานั้นไม่ดี แต่หมายถึงผู้ชายไม่ควรจะอยู่คนเดียว เขาควรจะมีผู้ช่วยที่เหมาะสมกับเขา พระเจ้าเองทรงมี 3 พระภาค และทรงมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน พระเจ้าออกแบบมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ มนุษย์จึงต้องการการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย การที่อาดัมมีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้านั้นยังไม่เพียงพอ พระเจ้าต้องการให้อาดัมมีคนที่จะพูดคุยด้วย ต้องการให้เขามีเพื่อน มีคู่คิด ไม่ใช่อยู่เพียงลำพังคนเดียว กษัตริย์ซาโลมอนก็เข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงได้เขียนในปัญญาจารย์ 4:9-12 ว่า

“สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับรางวัลดีสำหรับการตรากตรำของพวกเขา เพราะว่าถ้าพวกเขาล้มลง คนหนึ่งจะได้พยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น แต่วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียวเมื่อเขาล้มลง และไม่มีใครพยุงเขาให้ลุกขึ้น อนึ่ง ถ้าสองคนนอนอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็อบอุ่น แต่ถ้านอนคนเดียวจะอบอุ่นได้อย่างไร? และถ้าคนหนึ่งเอาชนะคนคนเดียวได้ คนสองคนย่อมต่อต้านเขาได้แน่ เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้”

วันสะบาโตและการแต่งงาน ปฐมกาลบทที่ 2

พระเจ้ามีพระประสงค์จะให้มนุษย์ “แต่งงาน” เพื่อสร้างครอบครัวขึ้น เพราะหนึ่งในหน้าที่ของมนุษย์ที่พระเจ้ามอบหมายก็คือ “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน" (ปฐมกาล 1:28) แต่ไม่ได้หมายความว่าการอยู่โสดเป็นสิ่งที่ผิด มีบางคนมีของประทานในการอยู่โสด เช่น เปาโล ที่บอกใน 1 โครินธ์ 7:7 - 8 ว่า

“ข้าพเจ้าต้องการให้ทุกคนเป็นเหมือนข้าพเจ้า แต่ว่าแต่ละคนก็ได้รับของประทานของตัวเองจากพระเจ้า คนหนึ่งได้รับอย่างนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับอย่างนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวกับพวกที่ไม่แต่งงานและพวกแม่ม่ายว่า การที่พวกเขาจะอยู่เหมือนข้าพเจ้าก็ดีแล้ว”

การแต่งงานเป็นสิ่งที่ดี ถูกออกแบบมาโดยพระเจ้าเพื่อให้มนุษย์ได้รับการอวยพร แต่ถ้าพระเจ้าให้เรามีของประทานในการอยู่โสด ก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นเดียวกัน เพื่อที่เราจะสามารถรับใช้พระเจ้าได้มากขึ้น การเป็นโสดไม่ได้หมายความว่าเราออกห่างจากน้ำพระทัยพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงมีแผนการที่ดีสำหรับเราแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน

พระเจ้าทรงรู้จักเราดี และรู้ว่าเราต้องการสิ่งใด สิ่งไหนดีที่สุดสำหรับเรา และพระองค์เองทรงเป็นผู้เริ่มต้นก่อนเพื่อให้เราได้พบกับพระพรต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ อาดัมก็เช่นเดียวกัน เขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองต้องการอะไร แต่พระเจ้าทรงเริ่มต้นสำแดงให้อาดัมรู้ถึง “ปัญหา” ของตัวเอง การตั้งชื่อสัตว์นั้นแม้จะดูเหมือนว่าเป็นงานที่ไม่ได้เกี่ยวกับตนเอง สัตว์จะมีชื่อหรือไม่มีชื่อก็ไม่น่าจะกระทบอะไรกับชีวิตของอาดัม แต่สิ่งนี้อยู่ในแผนการของพระเจ้า แม้อาดัมจะไม่เข้าใจก็ตาม แต่เมื่อเขาทำด้วยความเชื่อฟัง เขาก็ได้พบกับพระพรที่ซ่อนอยู่ เขาได้เห็นว่าสัตว์แต่ละชนิดอยู่กันเป็นคู่ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีคู่ อาดัมได้รับบทเรียนจากการเชื่อฟังพระเจ้า และพระเจ้าเองก็ทรงเป็นผู้เติมเต็มให้กับชีวิตของอาดัม พระเจ้าไม่ได้แค่สำแดงปัญหาให้เราได้รู้ แต่ทรงแก้ไขปัญหาของเราด้วย นี่จึงเป็น “พระคุณ” ของพระเจ้าอย่างแท้จริง

เมื่อมาถึงตอนนี้ หลายคนอาจมีคำถามว่า เป็นไปได้หรือที่อาดัมจะสามารถตั้งชื่อสัตว์ต่าง ๆ ได้ภายในวันเดียว? คำตอบคือ เป็นไปได้ เพราะ

- พระเจ้าไม่ได้บอกให้อาดัมตั้งชื่อสัตว์ทุกชนิดบนโลกนี้

ในปฐมกาล 2:19 บอกว่า “สัตว์ทุกชนิดในท้องทุ่ง และนกทุกชนิดในท้องฟ้าจากดิน” และพระเจ้าเองเป็นผู้นำสัตว์ต่าง ๆ เหล่านั้นมาให้อาดัม เขาไม่ต้องเสียเวลาออกไปตามหา

- เป็นการตั้งชื่อตามชนิดของมัน ไม่ใช่ทั้งสายพันธุ์

เช่น ตั้งชื่อ “หมา” เท่านั้น ไม่ได้ตั้งชื่อหมาทุกสายพันธุ์ และไม่ได้ตั้งชื่อสัตว์น้ำและแมลงซึ่งมีเยอะมาก

- นักวิชาการบางคนสันนิษฐานว่า สัตว์ใช้งาน สัตว์ป่า และนก อาจจะหมายถึงแค่สัตว์ที่อยู่ในสวนเอเดนเท่านั้น

- สติปัญญาของอาดัมดีมาก ๆ

หากดูเรื่องการสร้างหอบาเบล จะเห็นว่ามนุษย์ที่พระเจ้าสร้างนั้นมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาก ไม่มีสิ่งใดที่มนุษย์ทำไม่ได้ เหมือนที่บอกใน ปฐมกาล 11:6 ว่า “แล้วพระยาห์เวห์ตรัสว่า “ดูสิ คนเหล่านี้เป็นชนชาติเดียวหมด มีภาษาเดียว นี่เป็นเพียงเบื้องต้นของสิ่งที่พวกเขาจะทำ และบัดนี้ไม่มีอะไรยับยั้งทุกสิ่งที่พวกเขาคิดจะทำ” และอาดัมเป็นมนุษย์คนแรกที่ทรงสร้าง อีกทั้งเป็นช่วงก่อนล้มลงในความบาป ยังไม่มีความเสื่อมทรามมาสู่มนุษย์ สติปัญญาขนาดนึ้จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยในการตั้งชื่อสัตว์ต่าง ๆ

- วัตถุประสงค์ในการตั้งชื่อ ก็คือ เพื่อให้อาดัมรู้ถึงปัญหาของตน

พระเจ้าไม่เคยสั่งให้เราทำอะไรที่ยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ แต่ถ้าให้เราทำ พระเจ้าก็ทรงประทานตัวช่วยให้เราเสมอเพื่อให้เราสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้

- สิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 6 แห่งการทรงสร้างมี ดังนี้

1. พระเจ้าสร้างสัตว์ต่าง ๆ โดยการตรัส

2. สร้างมนุษย์โดยการปั้น

3. สร้างสวนเอเดน

4. พูดกับอาดัม

5. นำสัตว์มาให้อาดัม

6. อาดัมตั้งชื่อสัตว์ต่าง ๆ

7. สร้างเอวา

จากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 6 จะมีการตั้งชื่อสัตว์ของอาดัมที่ใช้เวลามากสุด นอกนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำน่าจะใช้เวลาไม่นาน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าวันที่ 6 กินเวลามากกว่า 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง

วันสะบาโตและการแต่งงาน ปฐมกาลบทที่ 2

จะเห็นได้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ริเริ่มการ “แต่งงาน” หรือ “การสร้างครอบครัว” ขึ้น พระเจ้าเป็นคนนำเอวามาให้อาดัม พระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมและประทานคู่ครองให้กับเรา แล้วทำไมต้องมีการแต่งงานด้วย?

ประการแรก คือ เพื่อให้มีลูกดกบนพื้นแผ่นดินโลก ในปฐมกาล 1:28 บอกว่า “พระเจ้าทรงอวยพรพวกเขา ตรัสกับพวกเขาว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในท้องฟ้า กับสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินทั้งหมด” ทำไมการมีลูกดกจึงสำคัญ? ก็เพราะทำให้มีมนุษย์อยู่ตามที่ต่าง ๆ ของโลก เป็นโลกที่มนุษย์ครอบครอง เป็นการสำเร็จตามพระพรที่พระเจ้าให้ไว้ในเริ่มแรกว่า “จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในท้องฟ้า กับสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินทั้งหมด”

ประการที่สอง ผู้ชายต้องการผู้ช่วย อาดัมไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ เขาต้องการผู้ช่วยที่มาเติมเต็มชีวิตของเขา เช่นเดียวกับชีวิตของเรา ยามเมื่อเราเป็นโสด เรามีพระเจ้าเป็นผู้ทำให้เราสมบูรณ์ แต่เมื่อเราแต่งงานพระเจ้าให้คู่ของเรามาเติมเต็มในส่วนที่เราขาด นั่นเป็นสาเหตุที่พระเจ้าไม่ได้ให้คนที่เหมือนเรา แต่ให้คนที่แตกต่างจากเราเพื่อเติมเต็มเรา

ประการสุดท้าย เพื่อให้เราเข้าใจพระเจ้ามากขึ้น พระเจ้าเปรียบคริสตจักรว่าเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์ พระเจ้าสร้างการแต่งงานขึ้นและให้หญิงชายผูกพันกันด้วยความรัก ไม่มีอะไรจะมาพรากจากกันได้ นี่จึงเป็นภาพจำลองถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา เป็นความรักที่มากล้นและผูกพันเราจนนิจนิรันดร์

แม้ว่าพระเจ้าจะเป็นผู้ประทานคู่อุปถัมถ์ให้แก่เรา แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะรับหรือไม่รับในสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้ คำถามคือ เราเลือกคู่ครองของเราตามน้ำพระทัยพระเจ้าหรือตามใจเราเอง? ถ้าอาดัมทำตามใจตนเองในการเลือกคู่ครอง เขาอาจจะเลือกเอาลิงชิมแปนซีหรือสัตว์อื่น ๆ มาเป็นคู่ก็ได้!! คำถามที่สำคัญสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจแต่งงาน ก็คือ คู่ที่เราเลือกนี้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าหรือไม่? การแต่งงานต้องเป็นหนึ่งทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ แต่หลายคนไม่สนใจเรื่องเป็นหนึ่งด้านจิตวิญญาณ จึงแต่งงานกับคนที่ไม่เชื่อ จึงเลือกทำตามใจตนเองมากกว่าการเชื่อฟังพระเจ้า ผลก็คือการไม่ได้รับพระพรในชีวิตอย่างเต็มที่และการที่ต้องยอมรับผลต่าง ๆ ที่ตามมา

ในมาลาคี 2:14 บอกว่า “พวกท่านถามว่า “เหตุใดพระองค์จึงไม่รับ?” เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพยานระหว่างท่านกับภรรยาคนที่ท่านได้เมื่อหนุ่มนั้น แม้ว่านางเป็นคู่เคียงของท่านและเป็นภรรยาของท่านตามพันธสัญญา ท่านก็ทรยศต่อนาง”

การผูกพันกับภรรยาเป็นการผูกพันแบบ “พันธสัญญา” แล้วพันธสัญญาคืออะไร? พันธสัญญาก็คือ สัญญา + ความสัมพันธ์ ไม่ใช่การผูกมัดตามเอกสารเท่านั้น แต่เป็นการผูกพันกับคนที่เราตกลงด้วย การแต่งงานเป็นหนึ่งในพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงตั้งไว้

5.1 พันธสัญญาในการแต่งงาน

1. เป็นพันธสัญญาที่มาจากพระเจ้า และพระองค์เป็นผู้เริ่มต้นขึ้น

เหมือนกับอาดัมที่พระเจ้าเป็นผู้เริ่มต้น เป็นผู้จัดเตรียมเอวามาให้ นี่จึงไม่ใช่การผูกพันแค่หญิงและชาย แต่เป็นพันธสัญญาที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เป็นพันธสัญญาที่มาจากพระเจ้า และพระเจ้าไม่ทรงประสงค์ที่จะให้แยกจากกัน เหมือนที่พระเยซูตรัสในมัทธิว 19:4 - 6 ว่า “พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายไม่ได้อ่านหรือว่า พระผู้ทรงสร้างมนุษย์แต่เดิมนั้นทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง และตรัสว่า‘เพราะเหตุนี้ ผู้ชายจะละบิดามารดาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน’ ด้วยเหตุนี้เขาทั้งสองจึงไม่เป็นสองต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน เพราะฉะนั้นสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย”

เมื่อเป็นพันธสัญญาที่มาจากพระเจ้า พระเจ้าจึงเป็นเพียงผู้เดียวที่จะยกเลิกสัญญานี้ได้ หากเราไม่พอใจคู่ของเรา เราอาจจะไปที่ศาลหรือไปที่เขตเพื่อหย่าขาดจากกันได้ แต่นั่นเป็นการถูกต้องตามกฏหมายของโลกนี้เท่านั้น แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ทั้งคู่ยังคงเป็นสามีภรรยากัน เพราะมนุษย์ไม่มีสิทธิที่จะยกเลิกพันธสัญญานี้เองได้

2. คือความสัมพันธ์ที่ผู้ชายมีสิทธิอำนาจในการเป็นผู้นำ

เมื่อพระเจ้าทรงสร้างเอวานั้น พระองค์ทรงทำให้อาดัมนอนหลับและทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมาเพื่อสร้างเอวา พระเจ้าไม่ได้นำกระดูกจากศรีษะเพื่อให้หญิงนั้นมีอำนาจเหนือชาย ไม่ได้เอากระดูกจากเท้าเพื่อให้หญิงนั้นอยู่ต่ำกว่าชาย แต่พระเจ้าทรงนำกระดูกที่สีข้างเพื่อสื่อว่าหญิงและชายนั้นเท่าเทียมกัน พระเจ้าสร้างหญิงเพื่อเป็นผู้ช่วย เป็นคู่อุปถัมถ์ของผู้ชาย แม้ว่าหญิงและชายนั้นมีสิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน แต่ในเรื่องสิทธิอำนาจนั้น พระเจ้าทรงมีลำดับชั้นของสิทธิอำนาจ เหมือนที่ 1 โครินธ์ 11:3 บอกไว้ว่า “แต่ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านเข้าใจว่า พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของชายทุกคน และชายเป็นศีรษะของหญิง และพระเจ้าเป็นพระเศียรของพระคริสต์” นั่นคือพระเจ้าทรงสร้างให้ผู้ชายมีสิทธิอำนาจเหนือผู้หญิง พระเจ้าจะอวยพรครอบครัวเมื่อผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว และเมื่อบุตรยอมเชื่อฟังบิดามารดา (เอเฟซัส 6:1-3)

เมื่อคริสตจักรมีปัญหา พระเจ้าต้องการให้เรากลับไปดูที่สิทธิอำนาจ นั่นก็คือให้เชื่อฟังพระคริสต์ เช่นเดียวกัน เมื่อครอบครัวมีปัญหา พระเจ้าต้องการให้เรากลับไปดูที่สิทธิอำนาจ นั่นก็คือการยอมให้สามีเป็นผู้นำ อย่างไรก็ตาม การนำนี้ต้องเป็นการนำที่ถูกต้องสอดคล้องตามหลักการในพระคัมภีร์ ไม่ใช่การทำตามใจหรือการคิดถึงแต่ตนเองฝ่ายเดียว เหมือนกับพระคริสต์ที่ทำทุกอย่างด้วยความรัก ยอมเสียสละแม้กระทั่งชีวิตของตนเองเพื่อคนที่พระองค์ทรงรัก สามีที่ดีก็เช่นเดียวกันที่ต้องยึดแบบอย่างขององค์พระเยซูคริสต์ เพราะพระคริสต์ทรงเป็นศรีษะของชายทุกคน

3. โทษของการยกเลิกพันธสัญญา คือ “ความตาย”

ในปฐมกาล 2:16 – 17 กล่าวว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงตรัสสั่งมนุษย์นั้นว่า “ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่”” คำถามคือ อาดัมและเอวาตายเมื่อไร? คำตอบคือ ตายทันที ตายในวันที่เขากินผลไม้นั้น เพราะเขาต้องออกจากสวนเอเดน เขาต้องออกไปจากเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า ความตาย คือ การแยกออกจากพระเจ้า เป็นผลจากการไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่โดยความรักและพระคุณของพระเจ้า จึงได้ทรงประทานองค์พระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายเพื่อไถ่บาปเรา ในพระเยซูคริสต์นั้นเราได้ทำพันธสัญญาใหม่กับพระเจ้า เป็นพันธสัญญานิรันดร์ เป็นพันธสัญญาที่ทำให้เราได้รับชีวิตใหม่ แต่หากเรา ”ละเมิดพันธสัญญา” นี้เมื่อใด เราก็ต้อง “ตาย” เมื่อนั้น

วันสะบาโตและการแต่งงาน ปฐมกาลบทที่ 2

การแต่งงานเป็นพันธสัญญาไม่ใช่แค่ระหว่างมนุษย์ 2 คน แต่เป็นพันธสัญญากับพระเจ้าด้วย เพราะเป็น “สิ่งซึ่งพระเจ้าทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย” พระเจ้ามีกฏในการยกเลิกพันธสัญญา ก็คือ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “ตาย” (1 โครินธ์ 7:39) หรือ “มีชู้” (มัทธิว 19:9) พันธสัญญานี้จึงถือว่าสิ้นสุดลง มนุษย์ไม่มีสิทธิที่จะยกเลิกพันธสัญญานี้เองได้

ในโรม 7:2 – 3 กล่าวว่า “เหมือนสตรีที่แต่งงานแล้วต้องอยู่ในกฎประเพณีการสมรสตราบที่สามียังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าสามีถึงแก่กรรม นางก็พ้นจากกฎนั้น ฉะนั้น ถ้าหญิงนั้นไปเป็นของชายอื่นในเมื่อสามียังมีชีวิตอยู่ นางก็ได้ชื่อว่าเป็นหญิงล่วงประเวณี แต่ถ้าสามีตายแล้ว นางก็พ้นจากกฎประเพณีการสมรส แม้จะไปเป็นของชายอื่นก็ไม่ผิดประเวณี” ดังนั้น “การหย่า” ที่ไม่ใช่กรณีที่อีกฝ่ายหนึ่งมีคนอื่นจึงถือเป็น “การละเมิดพันธสัญญากับพระเจ้า” หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปแต่งงานใหม่ นั่นคือ “การล่วงประเวณี” เหมือนที่พระเยซูได้ตรัสเอาไว้ในมัทธิว 19:9 ว่า “เราขอบอกท่านทั้งหลายว่า ใครก็ตามที่หย่าภรรยาของตน แล้วไปมีภรรยาใหม่ก็ผิดประเวณี เว้นแต่ว่านางเป็นชู้กับชายอื่น” และในมัทธิว 5:32 บอกไว้ว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าใครจะหย่าภรรยา เพราะเหตุอื่นนอกจากการมีชู้ คนนั้นก็จะเป็นเหตุให้หญิงนั้นผิดศีลล่วงประเวณี และถ้าใครแต่งงานกับหญิงที่หย่าแล้วนั้น คนนั้นก็ผิดศีลล่วงประเวณีด้วย”

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม พระธรรมเลวีนิติ 20:10 ได้บอกโทษของการล่วงประเวณีว่า “ถ้าผู้ใดร่วมประเวณีกับภรรยาของเพื่อนบ้าน ผู้ร่วมประเวณีทั้งชายและหญิงนั้นจะต้องถูกลงโทษถึงตาย” ส่วนพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ก็บอกโทษแห่งการล่วงประเวณีเอาไว้ใน 1 โครินธ์ 6: 9 – 10 ว่า “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าคนไม่ชอบธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า? อย่าหลงผิดเลย พวกที่ล่วงประเวณี พวกไหว้รูปเคารพ พวกผิดผัวผิดเมีย พวกโสเภณีชาย พวกรักร่วมเพศ พวกขโมย พวกที่โลภ พวกขี้เมา พวกชอบกล่าวร้าย พวกฉ้อโกง จะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า” ไม่ว่าจะเป็นในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมหรือภาคพันธสัญญาใหม่ ผลของการละเมิด “พันธสัญญาของพระเจ้า” หรือผลของ “การล่วงประเวณี” ก็คือ “ความตาย” สถานเดียว “เพราะว่าค่าจ้างของบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” โรม 6:23

เราอยู่ในโลก อยู่ในสังคมที่ยอมรับเรื่องการหย่าร้างและการแต่งงานใหม่ว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งนี้ไม่ใช่สำหรับพระเจ้า คำถามคือ เราจะยอมเชื่อฟังพระเจ้า หรือจะทำตามใจตนเอง? ถ้าหากเราเลือกที่จะเดิมตามทางของเราเอง เราก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา ซึ่งก็คือ “ความตาย” นั่นเอง

หลายคนทำผิดในเรื่องนี้แต่ยังคงไปนมัสการและใช้ชีวิตแบบคริสเตียนตามปกติเพราะคิดว่าคงไม่เป็นอะไร แต่ในมาลาคี 2:13-14 บอกว่า “และพวกท่านได้ทำอย่างนี้อีกด้วย คือท่านเอาน้ำตารดทั่วแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ ร้องไห้คร่ำครวญเพราะพระองค์ไม่สนพระทัยหรือรับเครื่องบูชาด้วยชอบพระทัยจากมือของท่านอีกแล้ว พวกท่านถามว่า “เหตุใดพระองค์จึงไม่รับ?” เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพยานระหว่างท่านกับภรรยาคนที่ท่านได้เมื่อหนุ่มนั้น แม้ว่านางเป็นคู่เคียงของท่านและเป็นภรรยาของท่านตามพันธสัญญา ท่านก็ทรยศต่อนาง” นี่หมายความว่าการไปโบสถ์ การไปนมัสการพระเจ้าของเราเป็นการสูญเปล่า เพราะพระเจ้าจะไม่อยู่ด้วย สำหรับพระเจ้าแล้วการแต่งงานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะพระเจ้าเป็นผู้ริเริ่มและเห็นว่าดีต่อเรา ดังนั้นอย่าให้เราละเลยหรือไม่ให้ความสำคัญกับพันธสัญญานี้ เพราะผลที่ได้รับคือ “ความตาย” เป็นนิจนิรันดร์

4. พระพรที่ได้รับจากการทำตามพันธสัญญา

ในเฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 28 บอกถึงพระพรแห่งการเชื่อฟังว่าพระเจ้าจะ “อวยพร” เรา จะอวยพรลูกหลานของเรา แต่หากเราไม่เชื่อฟัง “คำแช่งสาป” ต่าง ๆ ก็จะตกมายังเราและมาถึงลูกหลานของเราด้วย การแต่งงานเป็นหนึ่งในพันธสัญญาของพระเจ้า พระเจ้ามีกฏสำหรับการแต่งงาน หากเราเชื่อฟังก็จะได้รับพร แต่หากเราหย่าขาดจากคู่ของเราที่ไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขของพระเจ้า โทษที่เราได้รับไม่ใช่แค่ “ความตาย” เท่านั้น แต่ “คำแช่งสาป” แห่งการไม่เชื่อฟังนี้ยังตกไปถึงลูกหลานของเราด้วย เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราจะเลือกอะไร ระหว่างการทำตามใจตนเองหรือเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า?

5.2 หลักการที่พระเจ้าทรงประทานให้สำหรับคู่แต่งงาน

“เพราะเหตุนั้นผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน ผู้ชายและภรรยาของเขาเปลือยกายอยู่ทั้งสองคนและไม่อายกัน” ปฐมกาล 2:24 – 25

- การละจากพ่อแม่

เป็นการแยกจากบิดามารดาไปสร้างความสัมพันธ์ใหม่ สร้างครอบครัวใหม่ เราต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวใหม่เป็นอันดับแรก

- ผูกพันกับภรรยา

การผูกพันนี้เป็นการแสดงออกถึงความตั้งใจว่าเราจะเป็นคู่กันตลอดไป จะซื่อสัตย์ต่อกันและกัน จะไม่แยกจากกันนอกจากความตายเท่านั้นที่จะพรากจากเราได้ เพราะนี่เป็นความสัมพันธ์ที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เป็นพันธสัญญาที่เราได้สัญญากับพระเจ้าว่าจะอยู่เคียงข้างกันไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน จะสุขหรือทุกข์ จะแข็งแรงหรือเจ็บป่วย เราจะไม่ทิ้งกันแต่จะดูแลกันตลอดไป

- เป็นเนื้อเดียวกัน

หมายถึงการเป็นคน ๆ เดียวกัน ไม่ใช่สองคนอีกต่อไป การเป็น “เนื้อเดียวกัน” หรือการเป็น “อันหนึ่งอันเดียวกัน” นี้เป็นเรื่องของ “กระบวนการ” คือต้องมีการละจากบิดารมารดาและไปผูกพันกันก่อน จากนั้นการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะค่อย ๆ พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันในที่สุด คำว่า “เปลือยกายอยู่ทั้งสองคนและไม่อายกัน” ไม่ได้หมายความแต่ฝ่ายร่างกายเท่านั้น แต่รวมถึงความคิดจิตใจด้วย เป็นการเปิดเผยทุกอย่างต่อกันและกัน ไม่มีความลับต่อกัน เป็นการไว้วางใจซึ่งกันและกัน

การแต่งงานเป็นสิ่งสวยงาม เป็นพระพรที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับมนุษย์ คำถามคือ เราได้ใช้ชีวิตคู่ของเราตามหลักการที่พระเจ้ามอบให้ไว้หรือไม่? ให้เราถวายเกียรติแด่พระเจ้าผ่านการแต่งงานนี้ ให้คนรอบข้างได้เห็นคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเราเพื่อพระนามของพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญ ให้โลกได้เห็นความแตกต่างของชีวิตคู่ที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อความรอดนี้จะได้ไปถึงคนอีกมากมายผ่านทางครอบครัวของเรา

“เพราะเหตุนั้นผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน ผู้ชายและภรรยาของเขาเปลือยกายอยู่ทั้งสองคนและไม่อายกัน” ปฐมกาล 2:24 – 25


ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถอีเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com