เว็บสยามคริสเตียน > บทความคริสเตียน > กว่าจะมี “วันคริสต์มาส” ไม่ใช่เรื่องง่าย
เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์
ไม่มีใครไม่รู้จักวันคริสต์มาส ทุกคนทั่วโลกต่างเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขนี้ แต่เรารู้หรือไม่ว่า “วันคริสต์มาส” เกิดขึ้นได้อย่างไร?
หากจะพูดถึงต้นเหตุของ “วันคริสต์มาส” คงจะต้องย้อนไปตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คู่แรกคือ อาดัมและเอวา จากนั้นก็ให้ทั้งคู่อาศัยอยู่ในสวนเดน โดยมีเงื่อนไขว่า “ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่” ปฐมกาล 2:17
มารซาตานมาหาอาดัมและเอวาในร่างของงูและหลอกให้ทั้ง 2 คน กินผลไม้ต้องห้ามนั้น ผลก็คือ มนุษย์ต้องตายทั้ง “ฝ่ายร่างกาย” และ ”ฝ่ายวิญญาณ”
- ฝ่ายร่างกาย พระเจ้าห้ามมุษย์กินผลของ “ต้นไม้แห่งชีวิต” เพื่อที่จะได้ไม่มีชีวิตนิรันดร์ มนุษย์จะต้อง “ตาย” เมื่อถึงเวลากำหนด
- ฝ่ายวิญญาณ มนุษย์ถูกตัดขาดจากพระเจ้า เมื่อร่างกายตายลง แต่จิตวิญญาณของมนุษย์ยังคงอยู่ จิตวิญญาณอยู่ได้เป็นนิรันดร์ แต่เพราะการทำบาปจึงไม่สามารถอยู่บนสวรรค์ร่วมกับพระเจ้าได้ ผลคือ มนุษย์ที่ทำบาปต้อง “ตกนรก” เป็นนิจนิรัดร์
พระเจ้าทรงรักมนุษย์ พระองค์ไม่ต้องการให้ใครสักคนต้องพินาศในบึงไฟนรก พระเจ้าจึงบอกอาดัมและเอวาว่า “เราจะให้เจ้า (มารซาตาน) กับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย เขาจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” ปฐมกาล 3:15
พระเจ้าสัญญาว่าจะให้คน ๆ หนึ่งเกิดจากผู้หญิง (ปกติการสืบเชื้อสายจะนับสายเลือดจากผู้ชาย) ซึ่งคน ๆ นี้จะทำให้หัวของงู (ซาตาน) แหลก แต่ซาตานจะทำได้แค่ให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำเท่านั้น นี่เล็งถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาเกิดในวันคริสต์มาสนั่นเอง
เรารู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเกิดจากมารีย์สาวพรหมจารีย์ เป็นการเกิดจากพงศ์พันธุ์ของหญิง เพราะเกิดโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้เกิดจากผู้ชาย ทำไมพระเยซูคริสต์จึงต้องเกิดจากสาวพรหมจารีย์?
เพราะมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป คนบาปไม่สามารถช่วยคนบาปได้ พระเยซูคริสต์จึงจำเป็นต้องเกิดในสภาพที่ “ไม่มีบาป” เพื่อที่จะสามารถรับโทษความบาปผิดแทนเราได้ เหมือนกับการที่พระเจ้าสั่งให้อิสราเอลนำ “แกะที่ไม่มีตำหนิ” มาเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปคนอิสราเอล แต่แกะสามารถลบล้างบาปได้แค่ชั่วคราว เมื่อคนอิสราเอลทำผิดอีกก็ต้องนำเครื่องเผาบูชามาอีก แต่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า พระโลหิตของพระองค์เพียงผู้เดียวก็เพียงพอสำหรับที่จะลบล้างบาปของมนุษย์ทั้งมวล ดังนั้นการสิ้นพระชนม์บนกางเขนของพระเยซูคริสต์แค่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว
ถ้าหากพระเยซูคริสต์เกิดมาและมีบาปของมารีย์ติดตัวมาด้วย จะเกิดอะไรขึ้น? ผลคือ การตายบนไม้กางเขนของพระองค์จะไม่สามารถลบล้างบาปได้ การลบล้างบาปต้องเป็นแกะที่ไร้ตำหนิเท่านั้น ดังนั้นความหวังที่จะได้ไปสวรรค์ของคริสเตียนก็จะไม่มี เพราะทุกคนยังคงเป็นคนบาปและต้องรับโทษในบึงไฟนรกเหมือนเดิม ความเชื่อของคริสเตียนจึงเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
คำถามต่อมากคือ มารีย์เป็นมนุษย์ที่เป็นคนบาป ทำไมพระเยซูคริสต์จึงเกิดมาแล้วไม่มีบาป? ในสมัยก่อนคงยากที่จะเข้าใจได้ แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามาก เราสามารถเอาอสุจิของ “ก” มาผสมกับไข่ของ “ข” จากนั้นเอาไปใส่ในท้อง “ค” เพื่อให้ตั้งครรภ์แทนได้ หรือที่เราเรียกว่า “อุ้มบุญ” นั่นเอง เช่นเดียวกัน พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ก่อนที่จะสร้างโลกเสียอีก ดังนั้นพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในครรภ์ของมารีย์จึงไม่ใช่การถือกำเนิดใหม่ของสิ่งมีชีวิต แต่เป็นชีวิตที่ดำรงอยู่แล้ว นอกจากนี้พระคัมภีร์ยังบันทึกอีกว่าระหว่างที่มารีย์ตั้งครรภ์นั้น โยเซฟไม่ได้มีเพศมันพันธ์กับมารีย์เลย
“เมื่อโยเซฟตื่นขึ้นก็ทำตามคำซึ่งทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับเธอจนกว่าให้พระกำเนิดบุตรชายแล้ว และโยเซฟเรียกนามของบุตรนั้นว่าเยซู” มัทธิว 1:24 - 25
นี่เป็นหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะปกป้องพระเยซูคริสต์ไม่ให้มีบาป เหมือนกับ “พระคริสต์ธรรมคัมภีร์” ที่เราอ่าน เรารู้ว่าผู้เขียนพระคัมภีร์นั้นได้รับการดลใจจากพระเจ้า แต่ผู้เขียนก็เป็นมนุษย์ที่มีบาป นี่จึงเป็นหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ปกป้องความบาปจากมนุษย์เพื่อให้ทุก ๆ ถ้อยคำที่เขียนลงไปนั้นเป็นความจริง เป็นถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า และนี่เองที่ทำให้พระคำของพระเจ้ามีฤทธิ์เดชสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดและชีวิตของคนที่อ่านได้
พระสัญญาที่พระเจ้าให้กับอาดัมและเอวานั้นสำเร็จลงบนไม้กางเขนแล้ว พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน นี่คือการที่มารซาตานทำให้ “ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” แต่ในวันที่ 3 พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เหลือเพียงรอยตะปูที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าของพระองค์เท่านั้น เป็นการประกาศชัยชนะเหนือมารซาตาน เพราะอาวุธหรือเหล็กไนของมารซาตานก็คือ “ความตาย” แต่พระเยซูคริสต์เป็นมนุษย์คนแรกที่มีชัยเหนือความตาย พระองค์เป็นผลแรกของการเป็นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง และทรงสัญญากับผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่าจะไม่ตายแต่มีชีวิตนิรันดร์ ทำให้มนุษย์ไม่ถูกตัดขาดจากพระเจ้า เป็นการเอาชนะมารซาตานได้อย่างเด็ดขาด เป็นการทำให้ “หัวของเจ้าแหลก” ตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่มารซาตานพยายามทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้พงศ์พันธุ์ของหญิงถือกำเนิดขึ้น
พระเจ้าประทานลูกชายคนแรกให้อาดัมกับเอวาชื่อ คาอิน แปลว่า “ฉันได้รับผู้ชายคนหนึ่งด้วยความช่วยเหลือของพระยาห์เวห์” ปฐมกาล 4:1 เอวาให้ชื่อว่า คาอิน เพราะคิดว่าคาอินอาจจะเป็นคนที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทำให้หัวของงูแหลกก็เป็นได้ แต่ต่อมาเอวาก็มีลูกอีกคือ อาเบล พระคัมภีร์บอกต่อว่า “อาเบลเป็นคนเลี้ยงแกะ ส่วนคาอินเป็นคนเพาะปลูก อยู่มาวันหนึ่งคาอินนำพืชผลจากผืนดินมาเป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์ ส่วนอาเบลก็นำแกะหัวปีจากฝูงและไขมันของแกะมาถวาย พระยาห์เวห์พอพระทัยอาเบลและของถวายของเขา” ปฐมกาล 4:2 – 4 มารซาตานเห็นว่าพงศ์พันธุ์ของหญิงคงไม่ได้มาจากคาอินแน่นอน เพราะพระเจ้าไม่พอพระทัยในตัวเขา ดังนั้นจึงได้กำจัดเอเบลทิ้ง เมื่อคาอินฆ่าเอเบลตายนั่นหมายถึงจะไม่มี “พงศ์พันธุ์ของหญิง” เกิดขึ้น
ต่อมาพระเจ้าให้อาดัมและเอวามีบุตรชายหญิงอีกหลายคน “อาดัมมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของเขาอีก นางก็ให้กำเนิดบุตรชาย เรียกชื่อว่า เสท เพราะ “พระเจ้าประทานเชื้อสายให้ฉันอีกคนหนึ่งแทนอาเบลเพราะคาอินฆ่าอาเบลเสีย” แล้วเสทก็มีบุตรคนหนึ่ง เรียกชื่อว่า เอโนช ตั้งแต่นั้นมามนุษย์เริ่มออกพระนามพระยาห์เวห์” ปฐมกาล 4:25 พระเจ้าทรงประทาน “พงศ์พันธุ์ของหญิง” ผ่านทางเชื้อสายของ “เสท” (ลูกา 3:38) เราจะเห็นว่ามารซาตานพยายามขัดขวางตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อไม่ให้พระเยซูคริสต์ บุตรตามพระสัญญาลงมาเกิดบนโลกนี้ได้
“อยู่มามนุษย์เริ่มทวีมากขึ้นบนแผ่นดินและมีบุตรหญิง บุตรชายของพระเจ้าเห็นว่าบุตรหญิงของมนุษย์งามดีก็เลือกและรับไว้เป็นภรรยา พระยาห์เวห์จึงตรัสว่า “วิญญาณของเราจะไม่ต่อสู้กับมนุษย์ตลอดกาล เพราะมนุษย์เป็นแต่เนื้อหนัง วันเวลาของเขาคือ 120 ปี” เวลานั้นมีคนเนฟิลอยู่บนแผ่นดิน ภายหลังที่บุตรชายของพระเจ้าเข้าหาบุตรหญิงของมนุษย์และมีบุตร คือ พวกที่เป็นเหล่านักรบในโบราณกาล เป็นพวกที่มีชื่อเสียง” ปฐมกาล 6:1 - 4
คำว่า “บุตรชายของพระเจ้า” สำเนาโบราณแปลว่า “ทูตสวรรค์” ทูตสวรรค์ที่กบฏได้ลงมาสมสู่กับมนุษย์และเกิดลูกหลานมากมายบนโลกนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เชื้อสายมนุษย์เป็นแบบลูกผสม ไม่ใช่มนุษย์ 100% ผลก็คือ พระเมสสิยาห์จะมาเกิดไม่ได้ เพราะพระองค์ต้องเป็นมนุษย์ 100% และพระเจ้า 100%
คำถามคือ ทูตสวรรค์ไม่มีเพศ เป็นวิญญาณ ทำไมถึงทำให้มนุษย์ตั้งครรภ์ได้? อย่าลืมว่าทูตสวรรค์สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้ ตัวอย่างเช่น พระเจ้ากับทูตสวรรค์อีก 2 คน มาพบกับอับราฮัมใน ปฐมกาล 18:1-2 และทูตสวรรค์ก็มีฤทธิ์อำนาจด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นการทำให้ผู้หญิงที่เป็นมนุษย์ตั้งครรภ์จึงเป็นสิ่งที่สามารถเป็นไปได้
“พระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่อับราฮัมที่หมู่ต้นโอ๊กของมัมเร ขณะที่ท่านนั่งอยู่ที่ประตูเต็นท์เวลาแดดร้อน ท่านเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นชายสามคนยืนอยู่ข้างหน้าท่าน เมื่อท่านเห็นพวกเขา ท่านก็วิ่งจากประตูเต็นท์ไปต้อนรับพวกเขา โน้มตัวลงถึงดิน” ปฐมกาล 18:1-2
ทางออกของพระเจ้าก็คือ ทรงเลือกชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า โนอาห์ ในปฐมกาล 6:9 บอกว่า “โนอาห์เป็นคนชอบธรรมดีพร้อมในสมัยของเขา โนอาห์ดำเนินกับพระเจ้า” หากดูในภาษาอังกฤษ (ฉบับ NIV) บอกว่า Noah was a righteous man, blameless among the people of his time, and he walked faithfully with God. คำว่า blameless เป็นคำเดียวกับ อพยพ 12:5 ที่พูดถึงแกะที่ไร้คำหนิ ซึ่งโนอาห์มีเชื้อสายมนุษย์ ไม่ใช่ลูกผสมระหว่างมนุษย์กับทูตสวรรค์ พระเจ้าได้ทำให้เกิดน้ำท่วมโลกเพื่อที่จะกำจัดมนุษย์ที่มีแต่ความชั่วร้ายทิ้งเสีย คงเหลือไว้แต่ครอบครัวของโนอาห์เท่านั้น
“พระยาห์เวห์ทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจทั้งหมดของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายตลอดเวลา พระยาห์เวห์เสียพระทัยที่ทรงสร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดินและโทมนัสยิ่งนัก พระยาห์เวห์จึงตรัสว่า เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราได้สร้างมานี้ไปเสียจากแผ่นดิน ทั้งมนุษย์และสัตว์ใช้งาน กับสัตว์เลื้อยคลานและนกในอากาศด้วย เพราะว่าเราเสียใจที่ได้สร้างพวกเขา” ปฐมกาล 6:5 – 7
สำหรับทูตสวรรค์ที่มีส่วนทำให้เชื้อสายของมนุษย์ผิดเพี้ยนไปนั้น พระเจ้าได้จำจองมันไว้ในคุกจนกว่าจะถึงวันพิพากษา ซึ่งทูตสวรรค์เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของทูตสวรรค์ที่กบฏต่อพระเจ้า ไม่ใช่ทูตสวรรค์ทั้งหมดที่กบฏและถูกขับลงมายังโลก
เรารู้ว่าทูตสวรรค์ส่วนนี้ถูกจำจองเพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ดังนี้
“และโดยทางวิญญาณ พระองค์ได้เสด็จไปบอกพวกวิญญาณที่ติดคุกอยู่ ซึ่งในสมัยก่อนไม่เชื่อฟังพระเจ้า คราวเมื่อพระเจ้าทรงอดทนรอคอยให้กลับใจในสมัยโนอาห์ ขณะที่ท่านกำลังต่อเรือใหญ่ ในเรือนั้นมีน้อยคน คือแปดชีวิตรอดผ่านน้ำ” 1 เปโตร 3:19 - 20
“เพราะว่าถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงยกเว้นพวกทูตสวรรค์ที่ได้ทำบาปนั้น แต่ได้ทรงผลักพวกเขาลงไปในอเวจี และได้ล่ามพวกเขาด้วยโซ่แห่งความมืดมิด คุมไว้จนถึงเวลาพิพากษา และไม่ได้ทรงยกเว้นโลกสมัยโบราณ แต่ได้ทรงคุ้มครองโนอาห์ผู้ประกาศความชอบธรรม กับคนอื่นอีกเจ็ดคน เมื่อคราวที่พระองค์ได้ทรงบันดาลให้น้ำท่วมโลกของคนอธรรม” 2 เปโตร 2:4 – 5
“และพวกทูตสวรรค์ที่ไม่รักษาอำนาจครอบครองของตนเอง แต่ละทิ้งถิ่นฐานของตน พระองค์ก็ทรงจองจำไว้ด้วยโซ่อันไม่รู้จักสลายในที่มืดจนกว่าจะถึงเวลาพิพากษาในวันยิ่งใหญ่นั้น สำหรับเมืองโสโดม เมืองโกโมราห์ และเมืองต่างๆ ที่อยู่รอบๆ นั้นก็เช่นเดียวกัน ได้ประพฤติผิดศีลธรรมทางเพศและมัวเมาในกามวิตถาร จึงเป็นตัวอย่างของการรับโทษในไฟนิรันดร์” ยูดาห์ 6 - 7
พระเจ้าทรงเลือก “คนอิสราเอล” ให้เป็นประชากรของพระองค์ และ “พระเมสสิยาห์” ก็มาจากคนอิสราเอล นึ่จึงเป็นสาเหตุที่มารซาตานได้ทำงานผ่านทางฟาโรห์ให้ฆ่าเด็กยิวทุกคนที่เกิดมาเป็นผู้ชาย ทั้งนี้เพื่อที่จะให้ชนชาตินี้สูญสิ้นไปและพระเมสิยาห์ก็จะไม่สามารถลงมาเกิดบนโลกนี้ได้
กษัตริย์อียิปต์มีรับสั่งแก่นางผดุงครรภ์ชาวฮีบรูคนหนึ่งชื่อชิฟราห์ อีกคนหนึ่งชื่อปูอาห์ ว่า “เมื่อเจ้าไปทำคลอดให้หญิงฮีบรูและเห็นเด็กคลอด ถ้าเป็นเด็กชายก็ให้ฆ่าเสีย ถ้าเป็นเด็กหญิงก็ให้ไว้ชีวิต” อพยพ 1:15 – 16
พระเจ้าใช้ชายคนหนึ่งที่ชื่อโมเสส ให้มาแก้ไขสถานการณ์นี้ โดยความช่วยเหลือจากพระเจ้า โมเสสได้นำคนอิสราเอลออกจากการเป็นทาสที่ประเทศอียิปต์และได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญานั้น ทำให้คนอิสราเอลสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง
“พระยาห์เวห์ตรัสแก่เจ้าอีกว่า พระยาห์เวห์จะทรงให้เจ้ามีราชวงศ์ เมื่อวันของเจ้าครบแล้ว และเจ้าล่วงหลับอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า เราจะตั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าคนหนึ่งสืบต่อจากเจ้า ผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเอง และเราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา เขาเองจะเป็นผู้สร้างนิเวศเพื่อนามของเรา และเราจะสถาปนาบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์” 2 ซามูเอล 7:12 – 13
พระเจ้าทรงสัญญากับดาวิดว่า “จะสถาปนาบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์” มีเพียงพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงเป็นกษัตริย์นิรันดร์และบังลังก์ของพระองค์ก็ถาวรเป็นนิตย์ มารซาตานรู้ข้อนี้ดี ดังนั้นหากมันสามารถทำให้วงศ์วานของดาวิดหมดสิ้นไป พระเมสสิยาห์ก็จะไม่สามารถลงมาเกิดบนโลกนี้ได้
ซาโลมอนบุตรชายของดาวิดได้ครองบัลลังก์ต่อจากพระองค์ ซึ่งลูกหลานของซาโลมอนที่เป็นกษัตริย์สืบต่อมามีดังนี้
“โอรสของซาโลมอนคือเรโหโบอัม โอรสของเรโหโบอัมคืออาบียาห์ โอรสของอาบียาห์คืออาสา โอรสของอาสาคือเยโฮชาฟัท โอรสของเยโฮชาฟัทคือโยรัม โอรสของโยรัมคืออาหัสยาห์ โอรสของอาหัสยาห์คือโยอาช” 1 พงศวดาร 3:10 – 11
หลังจากที่ซาโลมอนสิ้นพระชนม์อิสราเอลถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คืออิสราเอลฝ่ายเหนือ กับอิสราเอลฝ่ายใต้ (ยูดาห์) ซึ่งวงศ์วานของดาวิดได้ปกครองแผ่นดินยูดาห์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่กษัตริย์อาหัสยาห์ได้สิ้นพระชนม์ลง พระมารดาของพระองค์ที่ชื่ออาธาลิยาห์ต้องการจะปกครองยูดาห์เอง จึงได้พยายามกำจัดลูกหลานของกษัตริย์ดาวิดให้หมดสิ้นไป
“เมื่ออาธาลิยาห์พระราชมารดาของอาหัสยาห์ทรงเห็นว่าพระราชโอรสของพระนางสิ้นพระชนม์แล้ว พระนางก็ทรงตั้งต้นทำลายเชื้อสายของราชวงศ์แห่งยูดาห์ทั้งหมด แต่พระนางเยโฮชาเบอาท พระราชธิดาของกษัตริย์ลักลอบนำโยอาชพระราชโอรสของอาหัสยาห์ไปจากท่ามกลางบรรดาพระราชโอรสของพระราชา ซึ่งต้องถูกสังหาร และพระนางก็เก็บพระราชโอรสและพระพี่เลี้ยงไว้ในห้องนอน ดังนั้นแหละเยโฮชาเบอาทพระราชธิดาของกษัตริย์เยโฮรัม และเป็นภรรยาของเยโฮยาดาปุโรหิต (เพราะว่าพระนางเป็นพระขนิษฐาของอาหัสยาห์) ก็ซ่อนพระราชโอรสเสียจากอาธาลิยาห์ ดังนั้นอาธาลิยาห์จึงสังหารพระราชโอรสไม่ได้ และพระราชโอรสทรงอยู่กับพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้าและทรงซ่อนตัวอยู่ 6 ปี ส่วนอาธาลิยาห์ก็ครองแผ่นดิน” 2 พงศวดาร 22:10 – 12
ด้วยการช่วยเหลือของพระนางเยโฮชาเบอาททำให้โยอาชรอดชีวิตและได้เป็นกษัตริย์ปกครองยูดาห์สืบต่อมา ทำให้วงศ์วานของดาวิดไม่สูญสิ้นไปและสามารถสืบเชื้อสายต่อมาจนถึงการกำเนิดของพระเยซูคริสต์
ช่วงเวลานี้คนยิวตกไปเป็นเชลยของชนชาติเปอร์เซีย ในสมัยกษัตริย์อาหสุเอรัส พระองค์ได้แต่งตั้งชายคนหนึ่งที่ชื่อฮามานคนอากักให้เป็นใหญ่กว่าเจ้านายทั้งปวง และกษัตริย์สั่งให้คนทั้งปวงที่อยู่ที่ประตูวังกราบแสดงความเคารพต่อฮามาน “แต่โมรเดคัยไม่ได้กราบหรือแสดงความเคารพ” (เอสเธอร์ 3:2) ฮามานไม่พอใจ “แต่เห็นว่าเป็นการเสียเกียรติที่จะจับกุมโมรเดคัยคนเดียว เพราะพวกเขาแจ้งให้ทราบเรื่องชนชาติของโมรเดคัย ฮามานจึงหาทางทำลายคนยิวทั้งหมด คือชนชาติของโมรเดคัย ทั่วราชอาณาจักรของอาหสุเอรัส” (เอสเธอร์ 3:6)
จากเรื่องแค่การ “ไม่ทำความเคารพ” กลายเป็นการ “ทำลายล้างชนชาติอิสราเอล” ทั้งหมด สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากมารซาตานไม่ได้อยู่เบื้องหลัง และถ้าฮามานทำสำเร็จ ผลก็คือจะไม่มี “พงศ์พันธุ์ของหญิง” อีกต่อไป จะไม่มีพระเมสสิยาห์ลงมาเกิดเพื่อไถ่มนุษย์ให้รอดจากบาป แต่พระเจ้าทรงล่วงรู้อนาคต ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว พระองค์จึงเตรียมราชินีเอสเธอร์เอาไว้สำหรับการนี้ อยากให้เราจำไว้ว่าไม่ว่าจะมีสิ่งเลวร้ายเพียงใดผ่านเข้ามาในชีวิต พระเจ้าทรงควบคุมสถานการณ์อยู่ พระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจสามารถทำให้เราผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นไปได้ เหมือนกับการที่พระองค์ทรงปกป้องชนชาติอิสราเอลจากการคิดร้ายของฮามาน
จะเห็นได้ว่าสุดท้ายมารีย์หญิงพรหมจารีย์ก็ได้ให้กำเนิดพระเยซูคริสต์ เป็น “พงศ์พันธุ์ของหญิง” ตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับอาดัมและเอวา แต่มารซาตานก็ไม่เคยละความพยายาม มันใช้กษัตริย์เฮโรดให้ออกตามหาพระเยซูเพื่อจะฆ่าพระองค์เสีย
“เมื่อเฮโรดทรงเห็นว่าพวกนักปราชญ์หลอกท่านก็กริ้วยิ่งนัก จึงทรงสั่งคนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหมดในบ้านเบธเลเฮม และในบริเวณใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา โดยนับเวลาตามที่ท่านทรงทราบจากพวกนักปราชญ์” มัทธิว 2:16
แต่พระเจ้าทรงล่วงรู้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วจึงใช้ทูตสวรรค์ให้มาเตือนโยเซฟเพื่อจะได้พาพระกุมารหนีไป
เมื่อพวกเขาไปแล้วก็มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพาพระกุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหาพระกุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” มัทธิว 2:13
อยากให้เราลองใคร่ครวญดูว่า “วันคริสต์มาส” นั้นสำคัญเพียงใด ทำไมมารซาตานถึงพยายามขัดขวางไม่ให้มี “วันคริสต์มาส”? เรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสต์เมื่อ 2,000 ปี ก่อน “เป็นเรื่องจริง” เรื่องการตายบนไม้กางเขน การฟื้นคืนพระชนม์ และการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูคริสต์ก็ “เป็นเรื่องจริง” เช่นเดียวกัน ดังที่มีพยานผู้เห็นเหตุการณ์ในสมัยนั้นได้เขียนบันทึกเอาไว้ และรับประกันความถูกต้องโดยการยอมเอาชีวิตของตนเข้าแลกเพื่อปกป้องความจริงนี้
แม้ว่าเรื่อง “พงศ์พันธุ์ของหญิง” ทำให้ “หัวของเจ้าแหลก” จะจบลงแล้ว แม้ว่าเรื่องการทรงไถ่ของพระเยซูคริสต์จะสำเร็จลงแล้วบนกางเขน แต่มารซาตานก็ยังไม่หยุดที่จะทำงานของมัน มันพยายามล่อลวงมนุษย์ด้วยวิธีต่าง ๆ นา ๆ เพื่อให้มนุษย์ออกห่างจากพระเจ้า เหมือนกับที่มันพยายามบิดเบือนความจริงของ “วันคริสต์มาส” ให้เป็นแค่เทศกาลแห่งความชื่นชมยินดี เป็นเรื่องราวของ “ซานตาคลอส” ชายแก่ใจดีที่มอบของขวัญให้แก่เด็ก ๆ ทั่วโลก ทำให้ความหมายที่แท้จริงของ “วันคริสต์มาส” นั้นเลือนหายไป คำถามคือ เราจะตอบสนองเรื่องราวของ “วันคริสต์มาส” อย่างไร?
พระเจ้าทรงรักษาพันธสัญญาของพระองค์เสมอ พระเจ้าทรงประทาน “พงศ์พันธุ์ของหญิง” มาเป็นของขวัญแก่มนุษย์ทุกคน “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” ยอห์น 3:16
สำหรับคนที่เชื่อในพระเจ้า เราพร้อมที่จะปกป้องความจริงนี้ และประกาศข่าวดีของ “วันคริสต์มาส” ให้แก่คนรอบข้างได้รับรู้หรือไม่?
สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า กว่าจะมี “วันคริสต์มาส” ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนี่คือความจริงที่จะทำให้มนุษย์ทุกคนมีความสุขเป็นนิจนิรันดร์ได้ ในเมื่อเรารู้ความจริงเช่นนี้แล้ว เราจะตอบสนองอย่างไร? การเชี่อในพระเจ้าต้องตัดสินใจและมีเวลาจำกัดเฉพาะเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เท่านั้น รีบตัดสินใจก่อนที่จะสายเกินไป
“ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล (แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา)” มัทธิว 1:23
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com
เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com