เว็บสยามคริสเตียน > บทความคริสเตียน > หยุดขวางการอัศจรรย์
เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์
เรารู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และพระองค์ทรงเป็นผู้กำหนดกฎธรรมชาติต่าง ๆ ด้วย เช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก โลกหมุนรอบตัวเอง น้ำขึ้น น้ำลง เป็นต้น กฎธรรมชาติที่พระเจ้ากำหนดนั้นเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ และคาดการณ์ได้
สำหรับการอัศจรรย์นั้น ก็คือ การเกิดขึ้นของบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามกฎของธรรมชาตินั่นเอง เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่สม่ำเสมอ คาดการณ์ไม่ได้ พระเจ้าทรงสามารถทำการอัศจรรย์ได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างสร้างกฎธรรมชาติและทรงอยู่เหนือกฎนั้น เมื่อเราเชื่อในพระเยซู เชื่อในพระเจ้า เราก็ได้เข้าสู่โลกแห่งการอัศจรรย์ โลกที่สิ่งที่เหนือกฎธรรมชาติสามารถเกิดขึ้นได้ แต่ปัญหาของเราก็คือ เราคุ้นชินกับกฎธรรมชาติมากจนเกินไปนั่นเอง
ใน ยอห์น 11:1 – 44 เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ชื่อลาซาลัสซึ่งกำลังป่วยหนัก พี่สาวของเขาที่ชื่อมารีย์และมารธา ได้ให้คนไปตามพระเยซูมาเพื่อที่จะรักษาน้องชายของเขาให้หาย เมื่อพระเยซูทรงทราบ พระองค์ตรัสว่า “โรคนี้จะไม่ถึงตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อเชิดชูพระเกียรติของพระเจ้า เพื่อให้พระบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติเพราะโรคนี้” พระเยซูไม่ได้เดินทางไปหาลาซาลัสทันที แต่ทรงพักอยู่ที่นั่นต่ออีก 2 วัน หลังจากนั้นพระเยซูบอกกับลูกศิษย์ของพระองค์ว่าลาซาลัสได้ตายแล้ว ให้เราไปหาพวกเขากันเถิด
เมื่อพระเยซูไปถึงหมู่บ้านเบธานีก็พบว่าเขาฝังศพลาซาลัสไว้ในอุโมงค์ 4 วัน แล้ว เมื่อมารธารู้ข่าวว่าพระเยซูมา ก็ออกไปหาพระองค์ และบอกว่าถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ น้องของเขาก็คงจะไม่ตาย จากนั้นมารธาก็กลับไปบอกมารีย์ที่บ้าน มารีย์ก็มาหาพระเยซูและพูดกับพระองค์เหมือนกับพี่สาวว่า ถ้าพระเยซูอยู่ที่นี่ตอนลาซาลัสป่วย เขาก็คงจะไม่ตาย
เราเคยเป็นเหมือนกับมารีย์และมารธาหรือไม่ เราเคยขออะไรพระเจ้าแล้วพระองค์ไม่ตอบหรือเปล่า เราเคยคิดว่าคำอธิษฐานของเราพระเจ้าน่าจะตอบเราเร็ว ๆ เพราะเรามีเวลาจำกัด แต่พระเจ้าก็มาช้าเกินไป!!
อย่าลืมว่าเวลาของเราไม่เหมือนกับเวลาของพระเจ้า พระองค์ทรงทันเวลาเสมอ เมื่อพระเยซูทรงอยู่เคียงข้างเรา ทุกสิ่งก็เป็นไปได้ตามน้ำพระทัยของพระองค์
เมื่อพระเยซูเห็นมารีย์และพวกที่มากับเธอพากันร้องไห้ พระองค์ก็ทรงสะเทือนพระทัยและร้องไห้ด้วย (ข้อ 35) พระเยซูทรงเข้าใจอารมณ์ของเราว่าเรารู้สึกอย่างไร อย่างที่พระองค์ทรงร่วมทุกข์กับมารีย์และมารธา เหมือนกับใน ฮิบรู 4:15 ที่บอกว่าพระเยซูทรงเห็นใจในความอ่อนแอของเรา เพราะเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง แต่พระเยซูไม่เคยให้อารมณ์หรือความรู้สึกมาขัดขวางการงานของพระองค์ เหมือนกับในตอนนี้ที่พระเยซูไม่ได้นั่งร้องไห้เสียใจจนไม่ได้ทำอะไร แต่พระองค์ยังคงเดินหน้าทำพันธกิจของพระองค์ให้สำเร็จ นั่นคือการทำให้สาวกของพระองค์และคนที่อยู่รอบข้างเชื่อว่าพระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า เหมือนกับที่ได้บอกกับเหล่าสาวกของพระองค์ก่อนที่จะมาที่นี่ว่า เหตุผลที่มาช้าก็เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อ (ข้อ 15)
หลังจากนั้นพระเยซูได้มายังอุโมงค์ฝังศพ ซึ่งเป็นถ้ำและมีหินก้อนหนึ่งปิดปากอุโมงค์ไว้ พระเยซูจึงสั่งให้เลื่อนก้อนหินออก แต่มารธาทูลพระเยซูว่า น้องชายเธอตายมา 4 วันแล้ว กลิ่นคงเหม็นเน่ามาก
หลายครั้งที่พระเยซูสั่งเรา เรามักจะเอาเหตุผล เอาตรรกะต่าง ๆ มาโต้เถียงพระองค์ แม้ว่าตรรกะนั้นจะเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เป็นสิ่งที่ถูกต้องก็ตาม เหมือนกับในตอนนี้ที่มารธาได้บอกพระเยซูว่าน้องชายตายไป 4 วัน แล้ว ป่านนี้กลิ่นเหม็นเน่าแล้ว จะเปิดปากอุโมงค์ทำไม แต่พระเยซูตรัสกับมารธาว่า “เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า?”
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “เชื่อแล้วจะได้เห็น” แต่เราชินอยู่กับกฎธรรมชาติมากจนเกินไป เราชินอยู่กับการ “เห็นก่อนแล้วจึงเชื่อ” เราจึงไม่คุ้นกับกฎเหนือธรรมชาติ เราจึงไม่คุ้นกับกฎแห่งความเชื่อ เชื่อแล้วจะได้อะไร? คำตอบคือ “จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”
เหมือนใน มัทธิว 13:54 – 58 เมื่อพระเยซูเสด็จไปยังเมืองนาซาเร็ธ ไปยังบ้านเกิดของพระองค์ คนที่นั่นไม่เชื่อ เขาจึงไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ไม่เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงทำเพื่อประชากรของพระองค์
ตราบใดที่เรายังไม่ยอมเคลื่อนก้อนหินออกจากปากอุโมงค์ ตราบใดที่เรายังยึดหลักการ ยึดถือตรรกะของเรา แม้ว่ามันจะถูกต้องก็ตาม ตราบใดที่เราไม่ยอมทำในสิ่งที่พระเจ้าบอกให้ทำ เราก็จะไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระเจ้ารอเราจนกว่าเราจะตัดสินใจเชื่อ รอเราจนกว่าเราจะโยนความจริงตามกฎธรรมชาติออกไป
น้ำพระทัยของพระเจ้ามีอยู่ 2 แบบ คือแบบเปิดเผยกับแบบที่ซ่อนอยู่ เป็นความลับ เหมือนในเฉลยธรรมบัญญัติ 29:29 บอกไว้ว่า “สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย แต่สิ่งที่ทรงสำแดงนั้นเป็นของเราทั้งหลายและของลูกหลานของเราเป็นนิตย์ เพื่อเราจะทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของธรรมบัญญัตินี้” เราจะไม่สามารถพบน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ซ่อนอยู่ได้ ถ้าหากว่าเรายังเพิกเฉยไม่ทำตามน้ำพระทัยที่พระองค์ทรงเปิดเผย
ถ้าพระเจ้าบอกให้เคลื่อนก้อนหินออกจากปากอุโมงค์ ซึ่งเป็นน้ำพระทัยที่เปิดเผย และเราไม่ทำ เราก็จะไม่มีโอกาสรู้น้ำพระทัยที่ซ่อนอยู่ได้ อย่าคาดหวังที่จะรู้ว่าพระเจ้าจะทำอะไรหลังจากเอาก้อนหินออกจากปากอุโมงค์แล้ว เพราะถ้าเราไม่เชื่อ เราก็จะไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเราก็คาดเดาไม่ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากเคลื่อนก้อนหินออกแล้ว เพราะทางของพระเจ้าก็สูงกว่าทางของเรา เราคาดคิดไม่ถึงแน่นอน
ใน ข้อ 41 บอกว่า “พวกเขาจึงเอาหินออก” โดยลำพังมารีย์และมารธาคงไม่มีกำลังพอที่จะเอาก้อนหินออกจากปากอุโมงค์แน่ เขาต้องการคนช่วย เช่นเดียวกัน ในยามที่เราประสบปัญหา อ่อนแรงกำลัง เราจำเป็นต้องหาคนที่รักเรามากพอ ห่วงเรามากพอ คนที่พร้อมที่จะช่วยเหลือเราในยามยากลำบาก คนที่จะช่วยเอาก้อนหินออกไปเพื่อที่เราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และนี่คือสิ่งที่โบสถ์ควรจะเป็น และนี่คือความสำคัญที่เราควรจะไปนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์ใดโบสถ์หนึ่งเป็นประจำ ไม่ใช่เพื่อจะไปรอความช่วยเหลือเมื่อเราตกอยู่ในความยากลำบากเท่านั้น ในทางกลับกัน เราไปโบสถ์ก็เพื่อที่จะได้มีโอกาสเคลื่อนก้อนหินออกจากปากอุโมงค์ให้คนอื่นด้วย
เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อที่สำแดงออกมาเป็นการกระทำ เมื่อพวกเขาได้เคลื่อนก้อนหินออกจากปากอุโมงค์แล้ว พระเยซูทรงอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์โปรดฟังข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์อยู่เสมอ แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นี่ เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา”
ถ้าหากเราดูใน Version ภาษาอังกฤษ จะใช้คำว่า “Father, I thank thee that thou hast heard me.” ซึ่งเป็นประโยคที่แสดงความเป็นอดีต พูดแบบง่าย ๆ ก็คือ พระเยซูได้อธิษฐานเรื่องนี้กับพระเจ้ามาก่อนแล้ว พระเจ้ามีแผนการที่จะชุบลาซาลัสให้เป็นขึ้นจากตายตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูจะมาถึงที่นี่ เหมือนกับที่พระเยซูทรงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ในข้อ 4 ว่า “โรคนี้จะไม่ถึงตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อเชิดชูพระเกียรติของพระเจ้า เพื่อให้พระบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติเพราะโรคนี้”
นั่นคือการอัศจรรย์ที่พระเยซูกำลังจะทำนี้พระเจ้าทรงเห็นด้วยแล้ว นั่นหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องทูลวิงวอนขอให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเรา หน้าที่ของเราก็คือต้องสำแดงความเชื่อให้พระเจ้าเห็นเท่านั้น เพราะถ้าไม่สำแดงความเชื่อ ก็ไม่มีการอัศจรรย์
หลังจากนั้นพระเยซูทรงตะโกนเรียกลาซาลัสว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด” พระเยซูทรงเรียกชื่อลาซาลัสเป็นการเฉพาะเจาะจง การตอบคำอธิษฐานเราอย่างเจาะจงก็เพื่อเราจะได้รู้ว่าคำตอบนั้นเป็นมาจากพระเจ้า หลังจากนั้นลาซาลัสก็ออกมาพร้อมกับผ้าพันมือ เท้า และหน้า พระเยซูจึงให้คนอื่น ๆ ช่วยเอาผ้าที่พันอยู่ออกจากลาซาลัส เพราะพระองค์ทรงต้องการให้คนรอบข้างได้มีส่วนร่วมกับการอัศจรรย์ของพระองค์ด้วย เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของการอัศจรรย์!
พระเจ้าทำการอัศจรรย์เพื่อให้พระนามของพระองค์เป็นที่รู้จัก หลายครั้งเรามาโบสถ์ เราก็ขอให้พระเจ้าอวยพรเรา อวยพรงาน อวยพรฐานะการเงิน อวยพรชีวิตครอบครัว และเมื่อพระเจ้าอวยพรเรา เราก็พูดถึงแต่พระพร พูดถึงแต่สิ่งที่ได้รับ เราลืมพูดถึงพระนามของพระองค์ เราลืมที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า ลืมที่จะให้พระนามของพระองค์เป็นที่รู้จัก เราต้องเป็นพยานถึงพระคุณและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
อยากให้เราลองใคร่ครวญดูว่าเรามักขัดขวางการอัศจรรย์ของพระเจ้าอยู่หรือไม่ เรามักเอาก้อนหินของเรามาขวางการอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ความสามารถ อาชีพการงาน เงินทอง ฐานะทางสังคม เราฉลาดเกินกว่าที่จะเข้าใจสิ่งเหนือธรรมชาดิ เพราะเรารู้กฎธรรมชาติดีเกินไป สิ่งสำคัญที่สุดคือ ให้ทำตามสิ่งที่พระเจ้าบอก ให้ยึดมั่นว่าเป็นความจริงแม้ว่ามันจะฝืนกฎธรรมชาติก็ตาม เพราะเมื่อเราเอาก้อนหินที่ขวางนั้นออกไป เราก็จะได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า
“เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า?” ยอห์น 11:40
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com
เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com