พระเจ้ามีจริงหรือ โลกที่เราอยู่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญหรือมีผู้สร้าง
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> บทความคริสเตียน > เราได้ไปสวรรค์จริงหรือ?

เราได้ไปสวรรค์จริงหรือ?

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

“จีน” เป็นประเทศที่มีประชากรมากถึง 1,400 ล้านคน จึงไม่น่าแปลกใจที่จีนจะเป็นฐานการผลิตสินค้าของโลก ไม่ใช่เฉพาะสินค้าที่เป็นของแท้เท่านั้น แต่สินค้าปลอมจำนวนมหาศาลก็ออกมาจากประเทศจีนด้วยเช่นเดียวกัน สินค้าปลอมเหล่านี้หลาย ๆ อย่างก็ทำเหมือนของจริงมากจนแยกไม่ออก จะมีก็แต่แฟนพันธุ์แท้หรือเจ้าของสินค้าเท่านั้นที่จะแยกได้ว่าอันไหน “เป็นของจริง” อันไหน “เป็นของปลอม”

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่คริสเตียนในปัจจุบันก็ไม่แตกต่างไปจากสินค้าพวกนี้เท่าไรนัก เราเห็นทั้ง “คริสเตียนแท้” และ “คริสเตียนปลอม” มากมายในคริสตจักร และเป็นการยากที่จะแยกออกว่าคนไหนคือ “ของแท้” และคนไหนเป็น “ของปลอม” เพราะเราไม่สามารถรู้ถึงความคิดและใจจิตที่แท้จริงของคนได้ นอกจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์เท่านั้นที่จะบอกได้ว่าใครคือคริสเตียนที่แท้จริง แล้วเราคิดว่าในวันสุดท้ายเมื่อถึงวันพิพากษาของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงแยกแกะออกจากแพะ เราคิดว่าเราจะอยู่ฝั่งไหน? เราจะเป็น “แกะ” หรือ “แพะ” กันแน่?

เราได้ไปสวรรค์จริงหรือ?

1. ประตูแคบ

“จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนทั้งหลายที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพราะประตูที่แคบและทางที่ลำบากนั้นนำไปสู่ชีวิต และพวกที่หาพบก็มีน้อย” มัทธิว 7:13 - 14

พระคัมภีร์บอกอย่างชัดเจนว่าประตูเข้าสวรรค์นั้นเป็นประตูแคบ ซึ่งก็คือทางพระเยซูองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีประตูอื่นในโลกนี้อีกแล้วที่จะพาเราขึ้นสวรรค์ได้ พระเยซูทรงบอกเองว่าพระองค์เป็นประตูของแกะทั้งหลาย และคนที่เข้าทางประตูนี้จะรอดและมีชีวิตนิรันดร์

“พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาอีกว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า เราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย ทุกคนที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมยและโจร แต่ฝูงแกะไม่ได้ฟังพวกเขา เราเป็นประตู ถ้าใครเข้าไปทางเรา คนนั้นจะรอด เขาจะเข้าออกแล้วก็จะพบอาหาร ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลัก ฆ่า และทำลาย เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์” ยอห์น 10:7 – 10

เป็นเรื่องปกติเมื่อคน ๆ หนึ่งตัดสินใจจะเชื่อพระเจ้า เราก็จะนำเขาให้ “อธิษฐานต้อนรับพระเยซู” เข้ามาในใจ แต่รู้หรือไม่ว่าหลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์แม้ว่าเขาจะ “อธิษฐานต้อนรับพระเยซู” แล้วก็ตาม!!!

อยากให้เราลองถามตัวเองดูว่าทำไมเราถึงเรียกตัวเองว่า “คริสเตียน”? เป็นเพราะเราดูเหมือนกับคนอื่น ๆ ในโบสถ์หรือเปล่า? หรือเพราะเราอธิษฐานต้อนรับพระเยซูมาแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต?

ถ้าเราถามคนในโบสถ์ว่าเป็นคริสเตียนไหม? แน่นอนว่าทุกคนตอบว่า “เป็น” แต่จะมีสักกี่คนที่ให้ความสำคัญกับการรักษาชีวิตที่บริสุทธิ์ การรับใช้พระเจ้า การแยกตัวเองออกจากโลก การประกาศพระนามของพระเจ้าไปยังสุดปลายแผ่นดินโลก แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เรารอดแล้ว ทำไมเราถึงรอด? ก็เพราะเราได้อธิษฐานต้อนรับพระเยซูเข้ามาในใจแล้ว

สิ่งที่น่ากลัวอย่างหนึ่งของคำสอนที่เราถูกสอนมาก็คือ เมื่อเราอธิษฐานต้อนรับพระเยซูเข้ามาในใจแล้ว “เราจะรอด” เราไม่เคยเจอคำสอนเรื่อง “การอธิษฐานต้อนรับพระเยซูเข้ามาในใจ” ในพระคัมภีร์เลย!!! เราอาจจะเจอประโยคที่คล้าย ๆ กันใน โคโลสี 2:6 แต่นี่ก็ไม่ใช่การอธิษฐานต้อนรับพระเยซูแบบที่เราใช้กัน

“เพราะฉะนั้น ในเมื่อพวกท่านรับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าไว้แล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ด้วย” โคโลสี 2:6

บางคนอ้างถึงวิวรณ์ 3:20 ที่บอกว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” เราถูกสอนว่า “ประตู” ในที่นี้หมายถึง “ใจ” ถ้าหากเราเปิดใจของเราต้อนรับพระเยซู พระองค์ก็จะเข้ามาสถิตอยู่ในใจเรา แต่หากเราดูบริบทของพระคัมภีร์ตอนนี้ เราจะเห็นว่าพระคำตอนนี้พูดถึงคนที่เชื่อในพระเจ้า พูดถึงคริสตจักรเมืองเลาดีเซียที่ไม่เย็น ไม่ร้อน เป็นคริสเตียนที่อุ่น ๆ ไม่มีตอนไหนเลยที่บอกเราว่าพระคำตอนนี้กำลังพูดถึงคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า

“การอธิษฐานต้อนรับพระเยซู” เริ่มมีเมื่อประมาณศตวรรษที่ 17 – 18 แต่มีการใช้อย่างแพร่หลายในศตวรรษที่ 20 เช่นการประกาศของบิลลี่ เกรแฮม (Billy Graham) หรือขององค์การแคมปัสครูเสดฟอร์ไครสต์ (Campus Crusade for Christ) ที่ใช้การอธิษฐานต้อนรับพระเยซูเพื่อเป็นการแสดงว่าคน ๆ นั้นได้ตัดสินใจที่จะเดิมตามพระเยซู

การถูกสอนว่าหากเราไม่ได้ “อธิษฐานต้อนรับพระเยซู” เราจะไม่รอด เป็นคำสอนที่ถูกต้องจริง ๆ หรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะถ้าหากเราเชื่อพระเยซูแต่ไม่ได้อธิษฐานต้อนรับพระองค์เข้ามาในใจ เราไม่รอดหรือ? ถ้าอย่างนั้นผู้เชื่อทุกคนในพระคัมภีร์ก็ต้องตกนรกหมด เพราะเราไม่เคยเห็นสาวกของพระเยซูคนไหนอธิษฐานต้อนรับพระองค์เข้ามาในใจเลย และถ้าต้อง“อธิษฐานต้อนรับพระเยซู” เท่านั้นถึงจะรอด ความรอดก็ไม่ใช่โดยความเชื่อเพียงอย่างเดียว แต่ต้องบวกกับการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเราด้วย จริงหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะเรารอดโดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ พระเยซูทรงทำทุกอย่างครบ 100% เพื่อเราบนกางเขนแล้ว เราไม่ต้องทำสิ่งใด ๆ เลย เพียงแค่เราเชื่อในพระองค์เท่านั้น เราก็รอด

“เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้” เอเฟซัส 2:8-9

เมื่อมีคนมาหาเราและบอกว่าตนเองไม่มั่นใจว่าได้รับความรอดหรือเปล่า เราส่วนใหญ่ทำอย่างไร? เรามักจะนำเขา ”อธิษฐานต้อนรับพระเยซู” เราอาจจะแนะนำให้เขาจดบันทึกวันและเวลาเอาไว้ด้วยว่านี่คือวันที่เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นวันเกิดฝ่ายวิญญาณ และเมื่อไรที่เราไม่มั่นใจก็ให้เอาบันทึกนั้นมาดูเพื่อยืนยันว่า “เราได้อธิษฐานต้อนรับพระเยซูแล้ว” ช่างอัศจรรย์จริง ๆ!!! สิ่งสำคัญที่เราควรระลึกไว้เสมอก็คือ อย่าให้เราบอกใครว่ารอดหรือไม่รอด เพราะนั่นคือ หน้าที่ของพระเจ้า ในวันสุดท้ายพระองค์จะบอกกับเราเอง หน้าที่ของเราคือ ชี้ทางรอดให้คนอื่นเท่านั้น

แน่นอนว่าพระเจ้าทรงสัญญาว่า “เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย” (ฮิบรู 13:5) ความรอดที่พระเจ้าให้นั้นไม่มีทางที่เราจะสูญเสียไปได้ เพราะความรอดนั้นเป็น “ของขวัญ” ที่พระเจ้าทรงประทานให้มนุษย์ เหมือนในยอห์น 10:28 ที่บอกว่า “เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะทั้งหลาย แกะเหล่านั้นจะไม่มีวันพินาศและจะไม่มีใครแย่งชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้” อาจารย์เปาโลยังย้ำกับเราด้วยว่าไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้าได้

“เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” โรม 8:38 – 39

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คำ “อธิษฐานต้อนรับพระเยซู” แต่อยู่ที่ว่าคน ๆ นั้นมีความเชื่อในพระเจ้าจริง ๆ หรือไม่? หากเขาอธิษฐานต้อนรับพระเยซูด้วยปาก แต่ใจเขาไม่ได้เชื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาก็ไม่รอด “พวกเขาได้ออกไปจากเรา แต่เขาก็ไม่ได้เป็นของเรา เพราะว่าถ้าเขาเป็นของเรา เขาก็จะอยู่กับเราต่อไป แต่การที่เขาได้ออกไปนั้นแสดงให้เห็นชัดว่าเขาไม่ได้เป็นของเรา” 1 ยอห์น 2:19

นี่ไม่ได้เป็นการต่อต้านการ “อธิษฐานต้อนรับพระเยซู” แท้จริงแล้ว การ “อธิษฐานต้อนรับพระเยซู” เป็นสิ่งที่ดี เมื่อนักเทศน์ได้เชิญชวนคนให้เชื่อในพระเจ้าโดยการท้าทายให้ “อธิษฐานต้อนรับพระเยซู” เมื่อเราเป็นพยานส่วนตัวและคนอยากรู้จักกับพระเจ้า เราก็นำให้คน ๆ นั้น “อธิษฐานต้อนรับพระเยซู” สิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ที่ดีที่สามารถสื่อถึงความเชื่อที่มีในพระเจ้าออกมาเป็นรูปธรรม เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะทำให้คน ๆ หนึ่งรู้ว่านี่คือก้าวแรกของการติดตามพระเจ้า แต่การ “อธิษฐานต้อนรับพระเยซู” ไม่ใช่ “คาถาวิเศษ” ที่กล่าวจบเพียงครั้งเดียวทุกอย่างก็สวยงาม แล้วเราก็มั่นใจว่าได้ขึ้นสวรรค์อย่างแน่นอน

อยากให้เราทำความเข้าใจใหม่ว่าการ “อธิษฐานต้อนรับพระเยซู” เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการดำเนินชีวิตคริสเตียน ไม่ใช่จุดสุดท้ายแห่งความสำเร็จ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ หลังจากที่ได้อธิษฐานแล้วคน ๆ นั้นได้กลับใจใหม่อย่างแท้จริงหรือไม่? ได้หันหลังให้กับความบาปหรือไม่? ได้ติดตามพระเยซูอย่างสัตย์ซื่อหรือไม่?

เราทุกคนเกิดมาในความบาป เรากบฏต่อพระเจ้า เราละเมิดทุกกฎของพระเจ้า เราเป็นคนบาปไม่ใช่เพราะว่าเราทำบาป แต่เราไม่เคยทำอะไรเลยนอกจากบาป แม้ว่าเราจะทำดีแค่ไหนก็ตามเราก็ไม่มีทางไปถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด พระเจ้าทรงสะอิดสะเอียน เพราะพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ เราจึงสมควรกับพระพิโรธของพระเจ้า ทางเดียวที่เราได้คืนดีกับพระเจ้าก็คือผ่านทางความตายของพระเยซู พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า

เราไม่ได้รอดเพราะพวกโรมเกลียดพระเยซู เราไม่ได้รอดเพราะพวกเขาตรึงพระเยซูบนไม้กางเขน เราไม่ได้รอดเพราะพวกเขาเอาหอกแทงสีข้างของพระเยซู แต่เรารอดเพราะพระเยซูทรงแบกรับโทษแห่งความผิดความบาปของเราทั้งหลาย และพระพิโรธของพระเจ้าที่สมควรจะตกอยู่กับเราไปตกอยู่ที่พระเยซูพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ต้องมีบางคนจ่ายราคาของความผิด ต้องมีบางคนต้องตาย และนั่นก็คือพระบุตรของพระเจ้า เหมือนที่บอกไว้ในอิสยาห์ 53:6, 10 ว่า
“เราทุกคนหลงทางไปเหมือนแกะ ต่างคนต่างหันไปตามทางของตนเอง และพระยาห์เวห์ทรงวางความผิดบาปของเราทุกคนลงบนตัวท่าน แต่พระยาห์เวห์ยังทรงประสงค์ให้ท่านบอบช้ำด้วยการบาดเจ็บ เมื่อชีวิตของท่านเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป ท่านจะเห็นพงศ์พันธุ์ของท่าน ท่านจะยืดวันเวลาของท่าน พระประสงค์ของพระยาห์เวห์จะเจริญขึ้นในมือของท่าน”

พระเยซูทรงตายเพื่อแบกรับโทษ รับความผิดบาปของเรา รับพระพิโรธจากพระเจ้าแทนเรา และทรงฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 และตอนนี้อยู่บนสวรรค์เพื่อจัดเตรียมที่สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ “นี่คือข่าวประเสริฐ” เรารอดไม่ใช่เพราะสูตรแห่งคำอธิษฐานนั้น แต่เป็นเพราะเรากลับใจ เชื่อพระเยซู เราสารภาพบาปของเราต่อพระเจ้า แต่ไม่ใช่แค่ในอดีตเท่านั้น แต่เป็นการสารภาพบาปที่ทำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

เราได้ไปสวรรค์จริงหรือ?

2. ทางเดินก็แคบด้วย

เราลืมอะไรไปหรือเปล่า พระคัมภีร์ไม่ได้บอกแค่ว่าประตูแคบเท่านั้น แต่ทางก็แคบด้วย เมื่อเทียบกับการใช้ชีวิตของคนที่ไม่เชื่อและคนที่โบสถ์ เราเป็นอย่างไร? เราแตกต่างจากคนอื่นหรือไม่? เราก็ไม่แตกต่างจากคนอื่น เราดูทีวี ดูสื่อต่าง ๆ ที่ไม่ควรดูเหมือนคนอื่น ๆ เราหัวเราะกับสิ่งที่พระเจ้าเกลียดเหมือนคนอื่น ๆ เราแต่งตัวเหมือนคนอื่น ๆ พูดเหมือนคนอื่น ๆ เราฟังเพลงเหมือนคนอื่น ๆ เรารักหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนคนในโลกนี้ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เราเชื่อในพระเจ้า เราเป็นคริสเตียน!!

อย่าเปรียบตัวเองกับคนอื่นแล้วบอกว่าเราเป็น “คริสเตียน” แต่ให้เราเปรียบเทียบตัวเราเองกับ ”พระคัมภีร์” แล้วพระคัมภีร์บอกให้คริสเตียนทำยังไง? บอกให้เราตรวจสอบจิตใจตนเอง ให้ทดสอบตัวเองว่าเป็นไปตามที่พระคัมภีร์บอกไว้หรือไม่ ทดสอบตัวเองว่าเรายังคงมีความเชื่อหรือไม่

“ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงตรวจค้นข้าพระองค์และทรงรู้จักจิตใจของข้าพระองค์ ขอทรงทดสอบข้าพระองค์และทรงรู้จักความคิดของข้าพระองค์ และขอทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆ ในข้าพระองค์หรือไม่ และขอทรงนำข้าพระองค์ไปในทางนิรันดร์” สดุดี 139:23 – 24

อยากให้เราฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ฟังสิ่งที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ แล้วลองตั้งคำถามกับตัวเองดู อยากให้เรามองอย่างตรงไปตรงมา เราเห็นศีลธรรมของผู้ที่เชื่อในพระเยซูแตกต่างจากศีลธรรมของคนที่ไม่เชื่อหรือไม่?

เราเห็นองค์กรต่าง ๆ ในโลกนี้บริหารงานโดยมุ่งไปที่ผลประโยชน์สูงสุด มุ่งการแสวงหาเงิน แสวงหาชื่อเสียง มีการเล่นพวกเล่นพ้อง เล่นการเมืองภายในองค์กร การเล่นเส้นสายเพื่อให้ได้ตำแหน่ง แล้วเราผู้ที่เรียกตนเองว่า “คริสเตียน” เราบริหารงานในองค์กรของเราเหมือนชาวโลกหรือไม่?

“การติดสินบน” ในปัจจุบันเป็นเรื่องปกติอย่างไม่น่าเชื่อ สินบน ก็คือ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่จะให้เป็นเครื่องตอบแทนผู้ที่จะช่วยให้สำเร็จตามประสงค์ แต่เรามักอายที่จะเรียกว่า “สินบน” โดยตรง เราจึงเปลี่ยนคำพูดเป็น ค่าคอมมิชชั่น ของขวัญ แป๊ะเจี๊ยะ ค่าดำเนินงาน หรืออะไรก็ตามในทำนองเดียวกัน เราเห็นศีลธรรมของผู้ที่เชื่อในพระเยซูแตกต่างจากศีลธรรมของคนที่ไม่เชื่อหรือไม่? เราบอกว่าเราเข้าประตูแคบ เราเชื่อในพระเยซู แต่ทำไมทางที่เราเดินกลับเหมือนคนอื่น ๆ ในโลกนี้? นี่คือแนวทางการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่พระคัมภีร์ได้สอนเราอย่างนั้นหรือ?

เราเห็นการหย่าร้างในคริสตจักร เราเห็นการใส่ร้ายป้ายสีกันในคริสตจักร เราเห็นการอิจฉากันในคริสตจักร เราเห็นการนินทากันในคริสตจักร แล้วเรามีอะไรแตกต่างจากคนที่ไม่เชื่อบ้าง?

แล้วเราจัดประเภทคนเหล่านี้ว่าอะไร? “คริสเตียนฝ่ายเนื้อหนัง” คนเหล่านี้ยังเป็นคริสเตียน แต่เขาแตกต่างตรงที่เป็นคริสเตียนฝ่ายเนื้อหนังเท่านั้น เรามีข้อพระคัมภีร์ที่สนับสนุนความคิดนี้ ก็คือ 1 โครินธ์ 3:1-3 ที่กล่าวไว้ว่า

“พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจจะพูดกับท่าน เหมือนพูดกับพวกที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ต้องพูดเหมือนพวกที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนกับพวกที่เป็นทารกในพระคริสต์ ข้าพเจ้าเลี้ยงพวกท่านด้วยน้ำนม ไม่ใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนท่านไม่สามารถรับ และเดี๋ยวนี้ท่านก็ยังคงไม่สามารถรับได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เพราะเมื่อยังอิจฉากัน และขัดเคืองใจกัน พวกท่านก็อยู่ฝ่ายเนื้อหนังและประพฤติอย่างคนทั่วไปไม่ใช่หรือ?”

แน่นอนว่าคริสเตียนนั้นสามารถเป็น “คริสเตียนฝ่ายเนื้อหนัง” ได้ เมื่อเขาอ่อนแอหรือคิดกบฏต่อพระเจ้า แต่นั่นเป็นเพียงแค่ชั่วคราว ไม่มีการเป็น “คริสเตียนฝ่ายเนื้อหนัง” แบบถาวร เพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็แปลว่าคน ๆ นั้นไม่ได้มีการบังเกิดใหม่อย่างแท้จริง คน ๆ นั้นไม่ได้เชื่อในพระเจ้า!

- คนที่บังเกิดใหม่ต้องเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ สิ่งสารพัดเก่า ๆ ก็ล่วงไป เหมือนที่กล่าวไว้ใน 2 โครินธ์ 5:17 ว่า “ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

- คนที่บังเกิดใหม่ต้องประพฤติให้สมกับสิ่งที่ตนเชื่อ ในยากอบ 2:14 บอกว่า “พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ใครจะกล่าวว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ได้ประพฤติตามจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อนั้นจะช่วยให้เขารอดได้หรือ?”

- คนที่บังเกิดใหม่ต้องทำดีเป็นหลักฐานของความเชื่อ ในเอเฟซัส 2:10 บอกว่า “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม”

ดังนั้นคริสเตียนที่แท้จริงจะไม่สามารถเป็นคริสเตียนฝ่ายเนื้อหนังตลอดไปได้ ถ้าเขาเป็น ก็คงต้องถามว่า เขาได้เชื่อพระเจ้าจริง ๆ หรือไม่? ถ้าเราไม่รู้ตัวเองว่าทำบาป เราก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะเราไม่ได้เดินอยู่ในความสว่าง เหมือนกับที่ยอห์นได้บอกไว้ใน 1 ยอห์น 1:5 – 10 ว่า

“นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกกับพวกท่าน คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย ถ้าเราจะว่า เรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ขณะที่ยังเดินอยู่ในความมืด เราก็โกหก และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง แต่ถ้าเราเดินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างที่พระองค์สถิตในความสว่าง เราก็มีสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่มีบาป เราก็หลอกตัวเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในตัวเราเลย ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่ได้ทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระดำรัสของพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเราเลย”

แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นคริสเตียนแล้วจะไม่ทำบาป เราทำบาปได้ แต่เมื่อทำแล้วต้องสารภาพบาปต่อพระเจ้า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” 1 ยอห์น 1:9

ประเด็นสำคัญก็คือ ถ้าเราบังเกิดใหม่อย่างแท้จริง ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้า เราต้องเดินอยู่ในทางที่ชอบธรรม นี่ต้องเป็นวิถีแห่งการดำเนินชีวิตของเรา และถ้าเราเดินออกจากความชอบธรรมนั้น พระบิดาของเราก็จะออกมาตามหาเรา มาตีสอนเรา มานำเรากลับไปสู่ทางที่ชอบธรรมอีกครั้ง คำถามก็คือ เราเคยถูกพระเจ้าตีสอนหรือไม่? เราเคยเป็นแกะหลงและถูกพระเจ้าออกตามหาหรือไม่? ถ้าหากเราไม่เคยมีประสบการณ์ที่พ่อออกตามหาบุตรน้อยหลงหาย คำถามที่เราควรถามตัวเองก็คือ เราได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริงหรือยัง? ถ้าเรายอมรับประตูแคบแล้วแต่ยังเดินอยู่ในทางกว้างเหมือนเพื่อน ๆ ที่เรารู้จัก เหมือนกับคริสเตียนฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้รู้จักพระเจ้า สิ่งนี้น่ากลัวเพราะนั่นแปลว่าเราไม่ได้รู้จักพระเจ้าจริง ๆ

เราได้ไปสวรรค์จริงหรือ?

3. ระวังคำสอนเท็จ

“ท่านทั้งหลายจงระวังพวกผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ ที่มาหาท่านนุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในนั้นร้ายกาจเหมือนหมาป่า” มัทธิว 7:15

สังคมไทยเป็นสังคมแห่งความเกรงใจ เราจึงไม่พูดในสิ่งผิดอย่างตรงไปตรงมา เรามักโกหกเพื่อถนอมน้ำใจซึ่งกันและกัน หลาย ๆ ครั้งเราทำเป็นเพิกเฉยกับสิ่งที่ไม่ดีเพื่อรักษาความสัมพันธ์ เพื่อให้คนที่อยู่รอบข้างเรารู้สึกสบายใจ “การทำให้คนอื่นรู้สึกดีคือแนวทางหลักในการดำเนินชีวิต”

เช่นเดียวกับ ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จที่ยึดหลัก “การทำให้คนอื่นรู้สึกดีคือแนวทางหลักในการดำเนินชีวิต” เขามักจะพูดในสิ่งที่เราอยากฟัง จะเพิกเฉยสิ่งผิด ทำให้ความบาปเป็นเรื่องเล็กน้อย มักจะพูดเพื่อให้เรารู้สึกดี รู้สึกพอใจ ให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคริสเตียนที่โอเคแล้ว พยามเทศนาเพื่อให้คนสนุก เน้นให้ความหวัง เน้นพระสัญญาที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น เน้นประสบการณ์มากกว่าพระคัมภีร์ ทำให้คนรู้สึกดีเมื่อจากไปและอยากกลับมาอีกในวันอาทิตย์ นี่คือเหตุผลที่พระคัมภีร์บอกว่าคนพวกนี้ภายในร้ายกาจเหมือนหมาป่า เพราะทำทุกสิ่งเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ทำเพื่อชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง โดยไม่สนใจลูกแกะของพระเจ้าว่าจะหลงผิดและต้องตายในบึงไฟนรกหรือไม่

สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่การสำรวจชีวิตของเราเองกับพระเจ้าว่าเราเติบโตขึ้นในความบริสุทธิ์ไหม? เราได้บังเกิดใหม่จริง ๆ หรือไม่? เราต้องแยกให้ออกระหว่าง “ของจริง” กับ “ของปลอม” เราต้องติดสนิทกับพระเจ้าและรู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งไหนเป็นที่ชอบพระทัย และสิ่งใดดียอดเยี่ยม

เรารู้ได้ยังไงว่าเรารอดแล้ว?

เพราะว่าบางคนบอกเราอย่างนั้นหรือ? หรือเพราะว่าเรากล่าวคำอธิษฐาน? หรือเพราะว่าเราเชื่อ? คำถามคือ แล้วเรารู้ได้ยังไงว่าเราเชื่อ? เพราะคริสเตียนทุก ๆ คนก็บอกว่าเขาเชื่อ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราแตกต่าง?

พระคัมภีร์บอกว่าเรารู้ว่าเราได้รับความรอดเมื่อชีวิตของเรากำลังอยู่ในขบวนการที่ถูกสร้างใหม่ เราเป็นคนใหม่ที่เหมือนกับพระเยซูมากขึ้นทุกวัน ๆ เราเดินในทางที่ชอบธรรม และเมื่อเราเดินออกนอกทางนั้น พระเจ้าจะมาออกตามหาเรา และนำเรากลับไปในทางที่ชอบธรรมเหมือนเดิม

ระวัง! อย่าให้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงเป็นกับดักตัวเราเอง เพราะอาจารย์บอกว่าชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงเมื่อมาเชื่อพระเจ้า หลาย ๆ คนจึงพยายามเป็นคนดีต่อหน้าคนอื่น เป็นคนดีในวันอาทิตย์ ไม่ต่างอะไรจากการเป็นนักแสดงที่เราสวมบทคนดีทุกครั้งที่เจอเพื่อนคริสเตียนหรือไปโบสถ์ แต่พอเลิกโบสถ์ เหมือนกับผู้กำกับสั่ง “คัท” เราก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดขึ้นจากภายใน เป็นการทำการของพระเจ้าไม่ใช่ตัวเรา เมื่อเราบังเกิดใหม่อย่างแท้จริง เราจะไม่พูดอย่างที่เนื้อหนังอยากให้พูด เราจะไม่แต่งตัวตามอย่างคนในยุคนี้ที่เน้นการดึงดูดเพศตรงข้าม พระเจ้าจะไม่ให้เราประพฤติ ฟัง และดู ตามอย่างคนที่อยู่ในโลกนี้ พระเจ้าจะทำให้ชีวิตเราแตกต่าง

“อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม” โรม 12:2

4. รู้จักได้ด้วยผลของมัน

“พวกท่านจะรู้จักพวกเขาได้ด้วยผลของพวกเขา ผลองุ่นนั้นเก็บได้จากต้นไม้มีหนามหรือ? และผลมะเดื่อนั้นเก็บได้จากพืชหนามหรือ?” มัทธิว 7:16

เราจะรู้ว่าใครเป็นคริสเตียนแท้ก็ด้วยผลของคน ๆ นั้น อยากให้เราลองพิจารณาดูชีวิตของเรา เราเดิน เรากิน เราพูด เราใช้ชีวิตของเราอย่างไร? พระเยซูอยู่ที่ไหนในชีวิตของเรา? หรือพระองค์เป็นเพียงแค่เครื่องประดับในร่างกายของเราเท่านั้น? พระองค์เป็นเพียงกิจกรรมที่เราทำในวันอาทิตย์หรือเปล่า? หรือพระองค์ทรงเป็นศูนย์กลางของชีวิตเรา?

เราดำเนินชีวิตของเราอย่างไร? เราทำตามอย่างโลกนี่ไหม? เรามีความสุขกับสิ่งต่าง ๆ ที่โลกนี้ให้เหมือนคนอื่นไหม? เรารักความบาปและเพลิดเพลินไปกับมันไหม? นั่นแสดงว่าเราไม่รู้จักพระเจ้า เรารู้ได้จากผลของมัน

ถ้าพระเยซูสอนเรื่องนี้กับเราแล้วถามว่า มะม่วงจะออกมาจากต้นมะพร้าวได้ไหม? เราก็คงบอกว่า “ไม่ได้” หรือต้นฝรั่งจะออกแต่หนามทั้งต้นเหมือนต้นตะบองเพชรไหม? ก็คง “ไม่” ถ้ามีคนยืนยันว่า “ใช่” คน ๆ นั้นก็คงเป็นคนบ้าหรือไม่ก็โกหกเรา

เช่นเดียวกัน คนที่บอกว่าเป็นสาวกของพระเยซูแต่เกิดผลเลว คนนั้นก็เป็นคนหลอกลวงหรือคนบ้านั่นเอง อยากให้เราลองคิดดูว่าทำไมหลายคนอ้างว่าได้เผชิญหน้ากับพระเยซู ได้รู้จักกับพระองค์เป็นการส่วนตัว แต่ทำไมชีวิตของเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง? เรารู้จักคน ๆ นั้นได้ด้วยผลของมัน

“ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้ ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ เพราะฉะนั้น พวกท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของพวกเขา” มัทธิว 7:17 - 20

เวลาเราต้องการจะเน้นอะไร ถ้าเป็นการพูด เราก็จะเน้นเสียง ถ้าเป็นการเขียน เราก็ทำตัวหนา แต่คนยิวเวลาจะเน้นอะไรก็ตาม เขาจะเขียนคล้าย ๆ กัน ซ้ำไปซ้ำมา ในตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน พระเยซูพยายามจะเน้นโดยการพูดซ้ำ ๆ กันว่า ต้นไม้ดี ให้ผลดี ต้นไม้เลวให้ผลเลว จะรู้จักก็ด้วยผลของมัน ถ้าไม่ดีก็ต้องตัดทิ้งเผาไป ซึ่งตอนนี่พระเยซูกำลังพูดถึงการพิพากษาของพระเจ้าในวันสุดท้าย เราไม่รู้เลยว่าใครจะได้รับความรอดจนกว่าจะถึงวันนั้น สิ่งสำคัญคือเราต้องสำรวจชีวิตของเราให้ดี

เราได้ไปสวรรค์จริงหรือ?

5. ไม่ใช่แค่รู้จัก แต่ต้องทำตามพระทัยด้วย

“ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” มัทธิว 7:21

ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกชื่อพระเจ้าจะได้เข้าสวรรค์ แล้วเราเป็นหนึ่งในนั้นไหม? คนที่เรียก “องค์พระผู้เป็นเจ้า” ได้ แสดงว่าต้องเป็นคนที่บอกคนอื่น ๆ ว่าตนเองเป็นคริสเตียน เป็นคนที่ติดตามพระเจ้า ไม่ใช่คนทั่ว ๆ ไปที่ไม่รู้จักพระองค์ แล้วพระเยซูตรัสว่ายังไง? “เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”

สัญญาณที่บอกว่าคน ๆ นั้นจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ก็คือ “ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” นี่ไม่ได้พูดถึงการกระทำ เพราะเราไม่ได้รอดด้วยการกระทำ แต่พูดถึงหลักฐานของการเป็นคริสเตียน เรารู้ได้ยังไงว่าความเชื่อที่เรามีนั้นถูกต้อง? ก็ต้องดูที่หลักฐานจากการดำเนินชีวิตของเราว่าสอดคล้องกับน้ำพระทัยพระเจ้าหรือไม่ และเมื่อเราไม่เชื่อฟังน้ำพระทัยพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเข้ามาบอกเรา ตักเตือนเรา และนำเราให้เดินอยู่ในทางที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเราเป็นคริสเตียนจริง ๆ เราหนีพระเจ้าไม่ได้ พระองค์จะตามเราจนเจอ

ถ้าเรายังสามารถเล่นกับความบาป ยังรักโลกนี้ รักสิ่งที่เป็นของโลก ถ้าเรายังคงเป็นส่วนหนึ่งของโลกและทำสิ่งต่าง ๆ ที่เหมือนกับชาวโลกทำ ถ้าเราดูเหมือนพวกเขา แสดงท่าทางเหมือนพวกเขา นี่คือสัญญาณ “อันตราย” ที่บอกว่าเราไม่ได้รู้จักพระเจ้าจริง ๆ เราไม่ได้เป็นของพระองค์

เราได้ไปสวรรค์จริงหรือ?

6. พระเจ้ารู้จักเราไหม นี่สำคัญสุด

“เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’ เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” มัทธิว 7:22 - 23

เราสามารถบอกคนอื่นได้ว่าเรารู้จักพระเยซู เราสามารถเรียกพระเยซูว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าเรารู้จักพระเยซู แต่เป็นพระเยซูทรงรู้จักเราหรือไม่? เหมือนกับเราไปที่ทำเนียบรัฐบาลและจะเข้าไปในนั้น เราบอกทุกคนว่าเรารู้จักนายก เรารู้จักลุงตู่ ถามว่าเราจะได้เข้าไปไหม? เราจะได้เข้าไปก็ต่อเมื่อนายกออกมาและบอกว่ารู้จักเรานั่นเอง

อย่าดีใจที่คนเข้ามาในประตูแคบ คนที่ต้อนรับพระเยซูเข้ามาในใจแต่ยังดำเนินชีวิตอยู่ในทางกว้างเหมือนชาวโลก คนที่ถูกเรียกว่าเป็น “คริสเตียนฝ่ายเนื้อหนัง” และคิดว่าสักวันหนึ่งจะกลับใจ แท้จริงแล้วคนเหล่านี้ไม่เคยเชื่อพระเจ้าเลย อย่าบอกว่าใครได้รับความรอดเพียงเพราะว่าเขายอมรับพระเยซูว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะนั่นไม่เพียงพอ ซาตานก็ยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน

ดังนั้นการอ้างว่าเป็นสาวกของพระเยซู การเรียกพระองค์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นไม่เพียงพอ สิ่งสำคัญคือ เราต้องทำตามในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส เราต้องสนใจในสิ่งที่พระองค์ได้สอน อย่าคิดว่าไม่เป็นไร อย่าคิดว่าคริสเตียนคนอื่น ๆ ก็ทำกันแบบนี้ หากเรายังไม่ยอมดำเนินชีวิตตามบทบัญญัติที่พระเจ้าได้สั่งไว้ ในวันสุดท้ายพระเยซูจะเป็นคนบอกเราเองว่า “เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา” เราต้องการอย่างนี้หรือ?

7. รากฐาน 2 ชนิด

“เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างบ้านของตนไว้บนศิลา แล้วฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น แต่บ้านไม่ได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา แต่ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่โง่เขลา สร้างบ้านของตนไว้บนทราย แล้วฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น บ้านนั้นก็พังทลายลง และการพังทลายนั้นก็ยิ่งใหญ่” มัทธิว 7:24 - 27

พระเยซูพูดถึงรากฐาน 2 ชนิด ซึ่งหลาย ๆ คนตีความว่าถ้าเราเป็นคริสเตียน เราควรวางรากฐานชีวิตไว้บนศิลา นั่นคือพระคำพระเจ้า ไม่ใช่บนพื้นทราย เพราะถ้าเราวางรากฐานชีวิตไว้บนทราย ชีวิตคริสเตียนเราจะพบแต่ปัญหา ไม่พบสันติสุข นี่คือการตีความที่ผิด นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเยซูต้องการจะบอก

ที่ถูกต้องคือ มีทางอยู่ 2 ทาง คือ “ทางแคบ” กับ “ทางกว้าง” เราจะเดินไปทางไหน?

มีต้นไม้อยู่ 2 ชนิด คือ “ต้นไม้ดี ให้ผลดี” ได้ขึ้นสวรรค์ “ต้นไม้เลว ให้ผลเลว” ต้องถูกตัดทิ้งเผาไฟ ตกนรก เราจะเป็นต้นไม้แบบไหน?

มีคนอยู่ 2 ประเภท คือ คนที่ “ยอมรับ” ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและ “ทำตาม” พระทัยพระเจ้า จะได้ขึ้นสวรรค์ กับคนที่ “ยอมรับ” ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า แต่ “ไม่ทำตาม” พระทัยพระเจ้า จะต้องตกนรก ไม่ใช่เพราะขาดการกระทำ แต่ขาดความเชื่อที่สำแดงออกมาเป็นการกระทำ เพราะเราไม่ได้รอดโดยการทำดี

มีรากฐานอยู่ 2 ชนิด คนที่ได้ยินและทำตาม ก็ “ได้รับความรอด” คนที่ได้ยินและไม่ทำตาม ก็ “ไม่ได้รับความรอด”

คนไม่รอดนั้นได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า แต่ไม่ได้วางรากฐานอยู่บนศิลา เราไม่เห็นหลักฐานอะไรเลยในชีวิตของเขาที่แสดงว่าพระคำพระเจ้ากำลังสร้างชีวิตเขาใหม่ ดังนั้นเราควรถามตัวเองว่า เราดำเนินชีวิตบนพื้นฐานพระคำพระเจ้าหรือไม่? เราแต่งงานบนพื้นฐานพระคำพระเจ้าหรือไม่? เราเลี้ยงลูกอยู่บนพื้นฐานพระคำพระเจ้าหรือไม่? เราดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานพระคำพระเจ้าหรือไม่? เราแยกตัวออกจากโลกนี้หรือไม่?

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่หลาย ๆ คนคิดว่าตนเองได้รับความรอดแล้ว แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย หลาย ๆ คนคิดว่า ดูซิ ชีวิตของฉันก็ไม่แตกต่างกับเพื่อนคริสเตียนด้วยกัน ชีวิตเราก็ไม่ได้แตกต่างจากคนที่โบสถ์ แล้วอะไรที่ทำให้เราคิดว่าเพื่อน ๆ ของเราได้รับความรอด?

ชีวิตเราอาจจะเหมือนพี่เลี้ยงเรา เราอาจจะเหมือนผู้ใหญ่ในคริสตจักร แล้วเรามั่นใจได้ยังไงว่าเรารอด? ในวันสุดท้าย วันแห่งการพิพากษานั้น ทุกอย่างจะถูกพิสูจน์ด้วยไฟ

ในสุภาษิต 14:12 บอกว่า “มีทางหนึ่งซึ่งคนเราคิดว่าถูก แต่ปลายทางคือความมรณา” เรารอดแล้วจริง ๆ หรือ?

หลายครั้งเรารู้สึกว่าเรารอดแล้วเพราะในใจเราบอกว่าเรารอดแล้ว ในเยเรมีย์ 17:9 – 10 บอกว่า “จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ใครจะรู้จักใจนั้นเล่า? “เราคือพระยาห์เวห์ตรวจค้นดูจิต และทดสอบดูใจ เพื่อให้แก่ทุกคนตามพฤติการณ์ของเขา ตามผลแห่งการกระทำของเขา”

หลายครั้งเราบอกว่าเรารอดแล้วเพราะเพื่อน ๆ พ่อ แม่ พี่เลี้ยง หรือศิษยาภิบาลบอกเราว่าเรารอดแล้ว ลองถามตัวเองดูว่า แล้วพระคำพระเจ้าบอกเราว่ายังไง?

ให้เรามีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ให้ชีวิตเราเติบโตในความบริสุทธิ์มากขึ้นทุกวัน ๆ ถ้าเราเป็นคริสเตียนจริง ๆ หากเราหลง พระเจ้าจะตามหาเราเอง เรารอดแน่นอน แล้ววันนี้เราดำเนินชีวิตตามพระทัยพระเจ้าหรือยัง?

“เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น” มัทธิว 3:8


ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com