พระเจ้ามีจริงหรือ โลกที่เราอยู่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญหรือมีผู้สร้าง
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> บทความคริสเตียน > เวลาของเรามาถึงแล้ว

เวลาของเรามาถึงแล้ว

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

เราทุกคนต่างมีเป้าหมายในชีวิต ตั่งแต่เด็กเราก็พยายามตั้งใจเรียนเพื่อจะได้เข้าโรงเรียนที่ดี เข้ามหาลัยที่ดี พอเรียนจบก็มุ่งมั่นหางาน หาเงินเพื่อสร้างฐานะ เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต และหลาย ๆ คนก็สามารถทำได้ดี ยิ่งเราโตขึ้นก็ยิ่งมีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบมากขึ้น จนหลาย ๆ ครั้งเรายุ่งอยู่กับชีวิตของเราจนลืมนึกถึงน้ำพระทัยพระเจ้าว่าพระองค์ทรงมีแผนการอะไรสำหรับเรา และความสำเร็จนี่เองที่ทำให้เราหลาย ๆ คนพลาดไปจากน้ำพระทัยพระเจ้าำถามก็คือ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าถึงเวลาของเราแล้ว ถึงเวลาที่พระเจ้าจะใช้เราเพื่อแผ่นดินของพระองค์?

ในพระธรรม เอสเธอร์บทที่ 3 บอกไว้ว่าฮามานได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสูงรองจากกษัตริย์ และกษัตริย์สั่งให้เจ้านายต่าง ๆ กราบลงทำความเคารพเขา จะมีก็แต่โมรเดคัยที่ไม่ยอมทำตาม เพราะการกราบไหว้นั้นนับเป็นการนมัสการพระอย่างหนึ่ง แต่โมรเดคัยเป็นยิว ซึ่งเขาเชื่อในพระเจ้าและนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น การกราบมนุษย์และให้เปรียบประหนึ่งว่าเป็นพระเจ้า เขาจึงทำไม่ได้ นี่จึงเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด เพราะเมื่อฮามานรู้ก็ไม่พอใจ แต่เขาไม่หยุดที่จะฆ่าแค่โมรเดคัยเท่านั้น เพราะการฆ่าแค่คน ๆ เดียวคงไม่สมเกียรติของเขา เขาจึงคิดจะฆ่าและทำลายคนยิวทั้งหมดที่อยู่ทั่วราชอาณาจักรของกษัตริย์อาหสุเอรัส

หลังจากนั้นเขาจึงไปหากษัตริย์อาหสุเอรัสและบอกว่าคนยิวนั้นไม่เหมือนคนชาติอื่น ๆ เพราะเขามีกฎหมายของเขาเอง และเขาไม่ยอมรักษากฎหมายของกษัตริย์ ดังนั้นฮามานจึงขออาสาที่จะทำลายล้างคนพวกนี้เอง ไม่เพียงเท่านี้ เขายังจะให้เงินกษัตริย์อีก 10,000 ตะลันต์ สำหรับการอนุญาตให้เขาทำเรื่องนี้ด้วย (10,000 ตะลันต์ หนักประมาณ 375 ตัน) กษัตริย์อาหสุเอรัสจึงให้แหวนตราของกษัตริย์แก่ฮามานเพื่อไปดำเนินการตามที่ต้องการ

เวลาของเรามาถึงแล้ว

แท้จริงแล้วสิ่งที่ฮามานทำนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้น แต่เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ เป็นสงครามที่มีมารซาตานอยู่เบื้องหลัง ฮามานคือใคร ในพระธรรม เอสเธอร์ 3:1 บอกว่าฮามานเป็นคนอากัก ซึ่งถ้าดูใน 1 ซามูเอล 15:1 - 9 บอกไว้ว่า ซามูเอลได้ทูลซาอูลว่าพระเจ้าจะทำลายคนอามาเลขที่สกัดทางอิสราเอลเมื่อจะเข้าอียิปต์ จึงบอกให้ซาอูลออกไปรบและทำลายทุกอย่างที่มี ให้ฆ่าทุกคนรวมทั้งสัตว์เลี้ยงของเขาด้วย ซาอูลเชื่อฟังพระเจ้า เขาออกไปรบและขนะ แต่เขาไม่เชื่อฟังพระเจ้าทั้งหมด เขาไว้ชีวิตกษัตริย์อากัก และเก็บส่วนที่ดีต่าง ๆ เอาไว้ โดยอ้างว่าเก็บเพื่อนำมาถวายบูชาแด่พระเจ้า ซึ่งโทษของการไม่เชื่อฟังนี้ทำให้พระเจ้าถอดซาอูลออกจากการเป็นกษัตริย์

เมื่อเราไม่เชื่อฟังพระเจ้านั้น เราจำเป็นต้องรับผลแห่งการกระทำที่ตามมา เหมือนซาอูลที่ถูกถอดออกจากการเป็นกษัตริย์ แต่ผลแห่งการกระทำนั้นยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ จะเห็นได้ว่าฮามานที่เป็นลูกหลานของกษัตริย์อากักนั้น บัดนี้ได้ย้อนมาเพื่อจะทำลายคนอิสราเอลให้สิ้นซาก เช่นเดียวกับชีวิตของเรา ถ้าหากเราไม่ทำตามคำสั่งพระเจ้า เราต้องรับผลแห่งการกระทำนั้นในอนาคต

เรารู้ว่านี่เป็นเวลาของเรา เป็นเวลาที่พระเจ้าจะใช้เราเป็นการเฉพาะเจาะจง เมื่อพระเจ้าเชื่อมการเตรียมตัวฝ่ายวิญญาณของเราเข้ากับสงครามฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้น การกระทำของฮามานนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ เพราะพระเจ้าทรงบอกว่าอิสราเอลคือประชากรของพระองค์ และพระผู้ช่วยให้รอดนั้นจะมาทางคนอิสราเอล ซาตานจึงใช้คนและใช้ระบบการปกครองเพื่อทำลายน้ำพระทัยและพระสัญญาของพระเจ้า เพราะถ้าฮามานสามารถฆ่าล้างยิวทั้งหมดได้สำเร็จ พระสัญญาของพระเจ้าก็คงล้มเหลว พระเมสสิยาห์ก็คงไม่สามารถมาบังเกิดตามพระสัญญาได้

เมื่อพระเจ้าจะใช้ใคร จะมีสงครามที่ต้องเอาชนะ เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณที่พยายามทำลายพระประสงค์ของพระเจ้า เช่น ก่อนดาวิดจะเป็นกษัตริย์ก็ต้องทำสงครามกับโกลิอัท ซึ่งเป็นชาวเมืองกัท สูง 3 เมตรกว่า ๆ (1 ซามูเอล 17:4 - 9) และนี่ก็เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณด้วย เพราะโกลิอัทท้าว่าถ้าหากเขาชนะ อิสราเอลต้องเป็นข้ารับใช้คนฟิลิสเตีย และนั่นอาจจะหมายถึงการถูกทำลายทั้งชนชาติในอนาคตก็เป็นได้

การทำสงครามนั้นสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เราต้องรู้ว่านี่คือเวลาของเรา เป็นเวลาของเราที่จะทำตามพระประสงค์พระเจ้า เราต้องรู้ว่าถึงเวลาของเราแล้ว

ข้อ 12 - 13 บอกว่าการทำลายจะเกิดขึ้นในเดือนสิบสอง ถ้าหากดูในข้อ 7 จะพบว่าเวลาแห่งการทำลายนี้มาจากการทอดสลาก เขาทอดสลากในเดือนที่ 1 และผลออกมากเป็นเดือนที่ 12 นั่นคือคนอิสราเลอมีเวลาแก้ไขปัญหานี้ถึง 1 ปี ทำให้เราเห็นความจริงประการหนึ่งว่า แม้ว่าซาตานจะทำงานของมันแต่พระเจ้าทรงควบคุมเหนือสถานการณ์นั้น พระเจ้าทรงควบคุมผลของฉลาก ทำให้มีเวลาอีก 12 เดือน ถ้าหากพระเจ้าไม่ควบคุมฉลาก ถ้าหากฉลากตกเป็นเดือนที่สอง คนอิสราเอลก็คงไม่มีเวลา และคงถูกทำลายล้างเป็นแน่

เวลาของเรามาถึงแล้ว

เมื่อพระเจ้าให้ช่วงเวลา ช่วงเวลาคือข่าวดีท่ามกลางปัญหาที่เลวร้าย เหมือนกับพระเจ้าบอกโยนาห์ว่าอีก 40 วัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย จะมีเวลาระหว่าง “วันแห่งการประกาศคำพิพากษา” กับ “วันแห่งการลงมือพิพากษา” เมื่อพระเจ้าประกาศช่วงเวลา คือเวลาที่เราจะอธิษฐาน เพราะเป็นโอกาส เป็นเวลาที่พระเจ้าให้พระคุณและพระเมตตาแก่เราก่อนที่จะพิพากษาลงโทษ

ใน เอสเธอร์บทที่ 4 เมื่อโมรเดคัยทราบเรื่องจึงฉีกเสื้อผ้าของตน สวมผ้ากระสอบและซัดขี้เถ้าใส่ศีรษะของตน เขาออกไปร้องไห้เสียงดังที่กลางเมือง และการร้องไห้เศร้าโศกนี้มีอยู่ในทุกมณฑลที่กฤษฎีกาของกษัตริย์ไปถึง พระนางเอสเธอร์จึงส่งคนไปถามโมรเดคัยว่าเกิดอะไรขึ้น โมรเดคัยจึงนำสำเนากฤษฎีกาไปให้พระนางอ่านและบอกให้เอสเธอร์ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ วิงวอนพระองค์เพื่อชนชาติของพระนางเอง (ข้อ 8)

ถ้าหากเรากลับไปดูใน เอสเธอร์ 2:10 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เอสเธอร์ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ โมรเดคัยกำชับไม่ให้เอสเธอร์บอกพระองค์ว่าตนเองเป็นชนชาติยิว แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาที่จะประกาศให้คนอื่นได้รู้ว่าเราเป็นใคร ถึงเวลาที่เราจะทำเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า แล้วในชีวิตของเราละ คนรอบข้างรู้หรือไม่ว่าเราเชื่อในพระเจ้า? เราได้สำแดงชีวิตคริสเตียนให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้หรือไม่? คนอื่นสัมผัสชีวิตในพระเจ้าของเราว่าแตกต่างจากมาตรฐานของโลกหรือไม่? ถึงเวลาของเราแล้วหรือยังที่จะประกาศความเชื่อของเราให้คนรอบข้างได้รับรู้?

ไม่ใช่เพราะว่าเอสเธอร์สวยถึงได้มาอยู่ในตำแหน่งพระราชินีนี้ แต่เพราะพระเจ้าทรงรู้ว่าสถานการณ์นี้จะเกิดขึ้น จึงให้เธอก้าวเข้ามารับตำแหน่งนี้ เพื่อจะได้ช่วยแก้ปัญหา เรารู้ว่าถึงเวลาแล้วเมื่อพระเจ้าให้เรามีตำแหน่งที่มีอิทธิพลสำหรับแผ่นดินของพระองค์ พระเจ้าทรงอวยพรเราเพื่อที่เราจะเป็นท่อพระพร เพื่อที่เราจะเป็นพรต่อคนอื่น เหมือนกับอับราฮัมที่พระเจ้าทรงอวยพรเขาเพื่อที่เขาจะได้เป็นพรต่อคนอื่น เมื่อพระเจ้าอวยพรเรา ให้เราบอกพระองค์ด้วยว่าเราจะเป็นพรต่อคนอื่นได้อย่างไร เราจะใช้ความสามารถ เราจะใช้พระพรที่พระเจ้าให้เราต่อแผ่นดินของพระองค์ได้อย่างไร และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เอสเธอร์จะใช้ตำแหน่งและหน้าที่ของเธอเพื่อรับใช้พระเจ้า

ใน ข้อ 11 พระนางเอสเธอร์ให้คนไปบอกโมรเดคัยว่า มีกฎว่าถ้าใครก็ตามไปเข้าเฝ้ากษัตริย์โดยที่พระองค์ไม่ได้เรียก จะมีโทษถึงตาย ยกเว้นว่ากษัตริย์จะยื่นพระคทาสุวรรณออกรับ และเอสเธอร์ก็ไม่ได้เจอกษัตริย์มา 30 วันแล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือ สิ่งที่โมรเดคัยขอให้ทำนั้นเสี่ยงต่อตำแหน่งหน้าที่การงาน ฐานะทางสังคม เศรษฐกิจ และเสี่ยงต่อชีวิตของเธอด้วย เอสเธอร์อาจจะคิดว่าตอนนี้ฉันไม่ใช่ยิวธรรมดาแล้ว ฉันเป็นยิวระดับสูง ฉันมีตำแหน่ง ฉันเป็นราชินี ฉันแตกต่างจากยิวทั่วไป ฉันคงทำตามที่ขอไม่ได้ แต่เอสเธอร์ลืมไปว่าถ้าไม่ใช่พระคุณพระเจ้า ถ้าไม่ใช่พระเมตตาของพระองค์ เธอก็คงไม่สามารถมาถึงจุดนี้ได้ คงเป็นคนยิวธรรมดาเหมือนเดิม เป็นการง่ายที่เราจะลืมว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และเมื่อเราลืม เราก็ไม่คิดถึงคนอื่น เรามุ่งแต่มองที่ตัวเองเท่านั้น และเราก็จะพลาดจากน้ำพระทัยพระเจ้า

เวลาของเรามาถึงแล้ว

หนทางแห่งน้ำพระทัยของพระเจ้าจะมีการทดสอบว่าเราจะเป็นคนที่ใช้การได้หรือไม่ หรือว่าเราจะเอาแต่รับพระพร? เราจะยอมเป็นท่อพระพรเพื่อส่งต่อพรให้คนอื่นหรือไม่? เราจะมีคุณค่าต่ออาณาจักรของพระเจ้าก็ต่อเมื่อเราใช้มัน เหมือนทรายที่อยู่บนชายหาด มันไม่มีคุณค่าอะไร แต่เมื่อเอาทรายมาติดกาวบนกระดาษ มันก็กลายเป็นกระดาษทรายที่มีมูลค่า ทรายเหมือนกัน แต่แตกต่างตรงการใช้งาน ราคาเลยต่างกัน เช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะดูดีเพียงใด เราจะเป็นคริสเตียนที่ไปโบสถ์เป็นประจำ เป็นคริสเตียนที่อ่านพระคัมภีร์และศึกษาพระคำพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าชีวิตเราไม่มีผลต่อแผ่นดินของพระเจ้า ไม่มีผลต่ออาณาจักรของพระองค์ สิ่งที่เรามีก็เปล่าประโยชน์ เราต้องให้พระเจ้ามาเป็นที่หนึ่ง ให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้า และเวลาเราจะมาถึงเมื่อเราค้นพบว่าพระเจ้าจะใช้เราให้เป็นท่อพระพรได้อย่างไร

ใน ข้อ 13 โมรเดคัยให้คนกลับไปบอกเอสเธอร์ว่า อย่าคิดว่าอยู่เฉย ๆ แล้วจะรอดได้ ถ้าเธอไม่ทำ พระเจ้าก็มีทางออกทางอื่นเสมอ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่พระเจ้าหาทางออกได้แน่ ถ้าพระเจ้าใช้เธอไม่ได้ ก็จะหาคนอื่นเพื่อใช้ต่อไป เช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะดีแค่ไหน รวยแค่ไหน เก่งแค่ไหน พระเจ้าไม่เคยจำกัดพระองค์อยู่กับคน ๆ เดียว พระเจ้ามีทางเลือกอื่นเสมอ หยุดหลงตัวเองว่ามีความสามารถอยู่คนเดียว หยุดหลงตัวเองว่าพระเจ้าใช้เราได้แค่คนเดียว พระเจ้าให้ตำแหน่ง หน้าที่การงาน ฐานะ และสิ่งต่าง ๆ แก่เรา ก็เพื่อที่เราจะใช้มันในงานของพระองค์ ถ้าเราไม่ยอม เราก็เปล่าประโยชน์ และพระเจ้าก็จะทรงให้คนอื่นแทน ทำไมพระองค์อยากใช้เรา? ในเมื่อพระเจ้ามีทางเลือกอื่นเสมอ? เมื่อพระเจ้าให้โอกาสเรา อย่าให้เราพลาดจากน้ำพระทัยพระเจ้า ให้เราสำแดงตัวต่อพระองค์ว่าเป็นคนที่ใช้การได้ ให้เราบอกพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ขอทรงใช้ข้าพระองค์เถิด”

ใน ข้อ 15 - 17 เอสเธอร์บอกให้อดอาหาร 3 วัน เพื่อเธอจะเข้าไปหากษัตริย์ ถ้าฉันต้องพินาศก็พินาศ เราจะรู้ได้ยังไงว่าถึงเวลาแล้ว เรารู้เมื่อเราเห็นว่าพระเจ้าเตรียมเรายังไง และพระเจ้าจะให้เราถึงจุดที่ต้องเสี่ยงเพื่อความเชื่อ ความเชื่อเป็นธุรกิจที่เสี่ยง เพราะเรามองไม่เห็น และเป็นการกระทำในสิ่งที่เรามองไม่เห็น ความเชื่อเป็นการกระทำที่ไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์ได้ เอสเธอร์บอกว่า “ถ้าต้องพินาศก็พินาศ” นั่นคือจะมีเวลาที่พระเจ้าให้เราก้าวออกไปด้วยความเชื่อ แต่ก็ไม่รู้ว่าผลจะเป็นยังไง แต่นี่คือสิ่งที่มีผลกระทบต่อแผ่นดินของพระเจ้า เช่นเดียวกับคนในพระคัมภีร์ หลาย ๆ คนเสี่ยงเช่นนี้เสมอ โดยที่ไม่รู้ว่าผลจะออกมาดีหรือร้าย

โมรเดคัยเสี่ยงเพื่อความเชื่อโดยไม่ยอมกราบฮามาน ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ดาเนียลและเพื่อนก็เช่นเดียวกัน เสี่ยงเพื่อความเชื่อโดยไม่ยอมกินอาหารสูงของพระราชา คนอิสราเอลเมื่อหนีกองทัพของอิยิปต์มาถึงทะเลแดง ก็เสียงเพื่อความเชื่อ เดินลงไปบนทะเลแดงโดยไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร และนี่คือความเชื่อ ต้องทำก่อนถึงจะได้เห็น เป็นธุรกิจที่เสี่ยง แล้วเราจะยอมเสี่ยงเพื่อความเชื่อหรือไม่?

การเสี่ยงเพื่อความเชื่อนั้นมีผลอยู่แค่ 2 อย่าง คือ ดีกับร้าย เมื่อพระเจ้าต้องการใช้เรา เมื่อพระเจ้าอวยพรเรา พระองค์ต้องการให้เราทำเพื่อแผ่นดินของพระองค์ เป็นการทำโดยความเชื่อที่เสี่ยงเพราะเราไม่รู้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น แล้วเราพร้อมที่จะบอกกับพระองค์หรือไม่ว่า ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ เราพร้อมจะเสี่ยงเพื่อแผ่นดินของพระองค์ เพราะนี่คือเวลาของเรา

เวลาของเรามาถึงแล้ว

เมื่อหลายปีก่อนมีหนังเรื่องหนึ่งชื่อ The Matrix เป็นเรื่องราวของสงครามระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร มนุษย์ได้ทำลายท้องฟ้าตัดพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ให้มีพลังงานไปป้อนเครื่องจักร แต่เหล่าเครื่องจักรก็พบว่ามนุษย์เรานี่แหละเป็นแหล่งพลังงานชั้นเยี่ยม เพราะมนุษย์เรามีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะในสมอง จึงได้จองจำให้มนุษย์อยู่ใน The Matrix เพื่อสร้างชีวิตหลอก ๆ ให้สมองมนุษย์สร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นมา เพื่อป้อนพลังงานให้เครื่องจักร

มีมนุษย์อยู่กลุ่มหนึ่งที่หลุดพ้นจากการจองจำ และลุกขึ้นมาต่อต่านเหล่าเครื่องจักร โดยมีแหล่งพำนักอยู่ใน “ไซออน” การจะต่อกรกับเหล่าเครื่องจักรนั้นเป็นไปได้ยากแสนยาก แต่เทพพยากรณ์ที่อยู่ใน Matrix ได้ให้คำทำนายไว้แก่มอเฟียซว่า จะมี The One หรือผู้ปลดปล่อยที่จะช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้นจาก Matrix ได้ คนนั้นก็คือ นีโอ นั่นเอง

The Matrix เปรียบเสมือนโปรแกรม ซึ่งผู้คนที่ถอดปลั๊กออกจาก Matrix มาสู่โลกแห่งความจริง จะสามารถกลับเข้าไป Matrix ใหม่ได้ เพียงแต่ครั้งนี้คุณจะป้อนโปรแกรมอะไรเข้าไปก็ได้ ทั้งการต่อสู้ การขับขี่ยานพาหนะ หรือแม้กระทั่งการทำอะไรที่เหนือธรรมชาติอย่างการกระโดดข้ามตึกได้ เพราะสิ่งที่อยู่ใน Matrix ไม่ใช่ความเป็นจริง แต่อย่างไรก็ตาม คนทั่ว ๆ ไปอย่างมอเฟียซ หรือแม้กระทั่งทรินิตี้ ไม่สามารถทำแบบนี้ได้ ยกเว้นนีโอ ผู้ที่ถูกทำนายว่าจะเป็นผู้กอบกู้เหล่ามนุษย์

นีโอถูกท้าทายด้วยยา 2 เม็ด คือสีน้ำเงิน และสีแดง ถ้าหากเลือกกินสีน้ำเงิน ทุกอย่างก็กลับไปเหมือนเดิม เขาจะตื่นขึ้นบนเตียงและกลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าหากเขาเลือกกินสีแดง เขาก็จะอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง สามารถไป ๆ มา ๆ ระหว่างโลกจริง กับโลก The Metrix ที่เป็นโลกเสมือนในคอมได้ แต่การกินสีแดงนั้นมีความเสี่ยง เพราะคุณจะถูกตามล่าโดยสายลับระดับหัวหน้าอย่างสมิธ เพราะถือว่าคุณคือโปรแกรมไวรัสที่ต้องกำจัด เราไม่รู้ผลลัพธ์ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าคุณจะสามารถเดินไปได้ไกลแค่ไหน และคุณอาจจะต้องตายก็เป็นได้ ถ้าคุณเลือก คุณต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นนั้น

เวลาของเรามาถึงแล้ว

แล้วในชีวิตของเรา เราจะเลือกกินยาเม็ดไหน สีแดงหรือสีน้ำเงิน ถ้าหากเราเลือกกินยาสีน้ำเงิน เมื่อเราตื่นขึ้นมา เราก็ดำเนินชีวิตตามปกติ ไปเรียนหนังสือ ไปทำงาน สร้างฐานะ สร้างครอบครัว มุ่งมั่นทำตามความฝันเพื่อจะได้มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ มีตำแหน่ง มีฐานะ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป

แต่ถ้าหากเราเลือกที่จะกินยาเม็ดสีแดง นั่นคือ เรายอมรับว่ามีอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ เราจะดำเนินชีวิตท่ามกลางสงครามฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ยาเม็ดสีแดงเป็นยาที่เสี่ยง เพราะเราต้องดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ ไม่ใช่ตามที่ตามองเห็น เราไม่สามารถคาดการผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้ เป็นการดำเนินชีวิตเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า และเราอาจจะต้องประสบกับปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าคุณจะสามารถเดินไปได้ไกลแค่ไหน

คำถามคือ วันนี้เราจะเลือกกินยาเม็ดสีอะไร?

แล้วข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะส่งผู้ใดไป? และใครจะไปเพื่อเรา?” ข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ขอทรงส่งข้าพระองค์ไปเถิด!” อิสยาห์ 6:8


ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com