พระเยซูคือใคร พระเจ้ามีจริงหรือ อยากรู้จักพระเจ้า เรามีคำตอบ
ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
1 โครินธ์ 13:13
Facebook Page   

> ศาสนาคริสต์สอนอะไร?

ศาสนาคริสต์สอนอะไร?

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

หลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกับคำว่า “คริสเตียน” หรือคำว่า “ศาสนาคริสต์” เพราะเป็นอีกศาสนาหนึ่งที่มีคนนับถือในประเทศไทย บางคนอาจจะเคยได้ยินคนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ “พระเจ้า” หรืออาจจะเคยเรียนรู้มาจากโรงเรียน แต่เรารู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว “ศาสนาคริสต์” สอนอะไร? ทำไม “คริสเตียน” จึงบอกว่า “ศาสนาคริสต์” ไม่เหมือนกับศาสนาอื่นๆ?

ศาสนาคริสต์สอนอะไร?

A. คำสอนของศาสนาคริสต์

คำสอนหลักของ “ศาสนาคริสต์” ก็คือ คำสอนเกี่ยวกับชีวิตของ “พระเยซูคริสต์” นั่นเอง แล้วพระเยซูคริสต์คือใคร?

“พระเยซูคริสต์” ทรงเป็น “พระบุตรของพระเจ้า” สำหรับ “ศาสนาคริสต์” นั้นจะนับถือ “พระเจ้า” ที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียว แต่พระเจ้าของศาสนาคริสต์นั้นประกอบไปด้วย พระเจ้าพระบิดา พระเยซูคริสต์พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาค นี้เป็นพระเจ้าคนละองค์ แต่ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งคริสเตียนเรียกว่า “ตรีเอกานุภาพ”

การอธิบาย “ตรีเอกานุภาพ” นั้นเป็นเรื่องยากและไม่มีใครเข้าใจหรือสามารถอธิบายได้ทั้งหมด แต่ตัวอย่างที่พอจะให้เห็นภาพก็คือ “น้ำ” ในอุณหภูมิปกติจะเป็น “ของเหลว” แต่ในอุณหภูมิต่ำ ๆ ที่จุดเยือกแข็งก็เป็น “น้ำแข็ง” และที่จุดเดือดก็กลายเป็น “ไอ” แต่ไม่ว่าจะเป็นสภาวะไหนก็ตาม ต่างก็เป็น H2O เหมือนกัน

แล้วพระเจ้าคือใคร? พระเจ้าคือผู้ที่สร้างโลก สร้างฟ้าสวรรค์และจักรวาล ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งมวล พระเจ้าทรงดำรงอยู่ก่อนแล้ว พระองค์ทรงอยู่เหนือกาลเวลา แต่พระเจ้าทรงสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้อยู่ภายใต้ “เวลา” ทำให้ทุกสิ่งที่ทรงสร้างมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด เหมือนกับการเล่น “เกมบันไดงู” เราจะเห็นตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดว่าแต่ละช่องจะต้องเผชิญกับอะไร มีช่องไหนได้รับโบนัสเดินไปข้างหน้า ช่องไหนเจองูต้องเดินถอยหลังหรืออาจจะต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้น พระเจ้าทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบแม้ว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นจะยังไม่เกิดขึ้น เหมือนกับที่เราเห็นสิ่งต่าง ๆ ใน “เกมบันไดงู” นั่นเอง

ในชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงเห็นทุก ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์ แม้ว่าจะมีมรสุมพัดผ่านเข้ามาในชีวิตของเรารุนแรงแค่ไหน พระเจ้าทรงสัญญากับผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่า “จะไม่ละหรือทอดทิ้งเขา” พระเจ้า “ทรงเป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก” และพระเจ้าทรงสัญญาว่า “จะช่วยให้ผู้ที่รักพระองค์เกิดผลดีในทุกสิ่ง”

การทรงสร้างของพระเจ้า

พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์ สร้างโลกและสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในโลกใบนี้ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คู่แรก คือ อาดัมและเอวา พระเจ้าประทานสวนเอเดนให้มนุษย์ได้อยู่อาศัย โดยมีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวคือ ห้ามกินผลไม้จากต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว เพราะถ้ากินเมื่อได เขาจะต้อง “ตาย” (หมายถึง ถูดตัดขาดจากพระเจ้า) คำถามคือ ทำไมพระเจ้าถึงตั้งเงื่อนไขนี้? ถ้าไม่มีกฏ มนุษย์ก็ไม่ทำบาป!! คำตอบ คือ พระเจ้าไม่ต้องการ “สร้างหุ่นยนต์” การมีตัวเลือกทำให้เกิด “การตัดสินใจ” หุ่นยนต์ไม่ต้องตัดสินใจ แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าต้องการ พระเจ้าจึงให้มนุษย์สามารถเลือกเองว่าจะเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่

ความบาปเข้ามาในโลก

เมื่อมนุษย์คู่แรกไม่เชื่อฟัง เขาได้กินผลไม้ต้องห้ามนั้น การไม่เชื่อฟังพระเจ้านี้เป็น “บาป” เมื่อทำ “บาป” ก็ต้องถูกลงโทษ และบาปนี้ได้ตกทอดมาสู่ลูกหลานด้วย ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงเป็นคนบาปและต้องถูกลงโทษในบึงไฟนรก

ทำผิดต้องรับโทษ

ทำไมทำบาปแล้วต้องถูกลงโทษ? การจะตอบคำถามนี้ได้ เราต้องรู้จักพระลักษณะของพระเจ้าก่อน พระเจ้าของศาสนาคริสต์นั้นทรงเป็นพระวิญญาณ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ความยุติธรรม ทรงบริสุทธิ์ ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง ทรงสมบูรณ์แบบ ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณ ทรงฤทธานุภาพ ฯลฯ

การที่พระเจ้า “ทรงสมบูรณ์แบบ” เมื่อมนุษย์ทำผิด ก็ไปไม่ถึงมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนด พระเจ้า “ทรงบริสุทธิ์” พระองค์ไม่สามารถอยู่ร่วมกับความบาปได้ พระเจ้า “ทรงยุติธรรม” ดังนั้น เมื่อทำผิดก็ต้องถูกลงโทษไม่สามารถละเว้นได้ ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์บอกไว้ว่า “เพราะว่าค่าจ้างของบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (โรม 6:23) ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจะต้องถูกลงโทษในบึงไฟนรกเป็นนิจนิรัดนร์

พระเยซูคริสต์เป็นทางรอดจากบาป

พระเจ้า “ทรงเป็นความรัก” เพราะความรักที่มีต่อมนุษย์ทุกคนและไม่อยากให้ใครสักคนต้องพินาศ แต่พระเจ้าจะไม่ลงโทษก็ไม่ได้ เพราะจะขัดกับพระลัษษณะของพระองค์ ทางออกเดียว ก็คือ ต้องหาคนมารับโทษแทน นั่นก็คือ องค์พระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าผู้ไม่มีบาป พระองค์จะต้องลงมาเกิดบนโลกเพื่อตายไถ่บาปมนุษย์ทุกคน “เพราะว่าคนจำนวนมากเป็นคนบาปเพราะคนคนเดียวที่ไม่เชื่อฟังอย่างไร คนจำนวนมากก็เป็นคนชอบธรรม เพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟังอย่างนั้น” โรม 5:19 และคำสอนของศาสนาคริสต์จึงเป็นเรื่องราวการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์นั่นเอง ซึ่งหลักข้อเชื่อของอัครทูตสามารถสรุปความเชื่อของศาสนาคริสต์ได้อย่างดีที่สุด ดังนี้

       ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้า พระบิดาผู้ทรงฤทธิ์ที่สุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และโลก

       ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา ทรงปฏิสนธิ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์สาวพรหมจารี ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัสปิลาตปกครอง ทรงถูกตรึงที่กางเขนแล้วมรณา ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์ เสด็จลงสู่แดนมรณา ในวันที่สามทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ที่สุด จากที่นั่นพระองค์จะเสด็จมาพิพากษาคนเป็นและคนตาย

       ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเชื่อมั่นในสากลคริสตจักรบริสุทธิ์ ในการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน การอภัยโทษบาป การที่กายคืนชีพและสมบูรณ์ชีพนิรันดร์ อาเมน

ศาสนาคริสต์สอนอะไร?

B. ทำไมศาสนาคริสต์จึงไม่เหมือนศาสนาอื่น ๆ?

สาเหตุหลักที่ศาสนาคริสต์แตกต่างจากศาสนาอื่น ๆ ก็คือ ศาสนาคริสต์มีการสื่อสาร 2 ทาง ในขณะที่ศาสนาอื่น ๆ เป็นการสื่อสารทางเดียว นั่นคือมนุษย์อธิษฐาน “ร้องทูลขึ้นไป” ต่อพระเจ้าของเขา แต่ไม่มีเสียงใด ๆ “ตรัสลงมา”

สำหรับศาสนาคริสต์นั้น พระเจ้าของคริสเตียนเป็นพระเจ้าที่เริ่มต้น “ตรัสลงมา” หามนุษย์ก่อน จากนั้นมนุษย์จึงตอบสนองต่อพระองค์โดยการอธิษฐาน “ร้องทูลขึ้นไป” เป็นการสื่อสาร 2 ทางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เราจะเห็นความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ตัวอย่างเช่น ในสวนเอเดน เมื่อมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้าและหลบซ่อนตัวเพราะความเกรงกลัว พระเจ้าเป็นผู้เริ่มต้น “ตรัสลงมา” ถามหาว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน” จากนั้นอาดัมจึงได้ “ร้องทูลขึ้นไป” เพื่อพูดคุยกับพระเจ้า

ในสมัยพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เราเห็นพระเจ้าเป็นผู้เริ่มต้น “ตรัสลงมา” ผ่านคนกลาง นั่นก็คือ ผ่านผู้เผยพระวจนะ ผ่านปุโรหิต หรือ ผ่านผู้รับใช้ทั้งหลาย จากนั้นคนกลางเหล่านี้ก็นำข้อความของพระเจ้าไปบอกแก่ผู้เชื่อ แล้วจึง “ร้องทูลขึ้นไป” หาพระเจ้า แต่ในสมัยพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เรามีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นคนกลางระหว่างเรากับพระเจ้า ดังนั้นผู้ที่เชื่อในพระองค์จึงสามารถพูดคุยสื่อสาร 2 ทางกับพระเจ้าได้ เพียงแค่อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องผ่านคนกลางที่เป็นมนุษย์อีกต่อไป เป็นการพูดคุยเหมือนกับลูกที่อยู่เบื้องล่าง พูดคุยกับพระบิดา พระเจ้าที่อยู่เบื้องบน ความสัมพันธ์แบบนี้ไม่มีในศาสนาใด นี่จึงทำให้ศาสนาคริสต์แตกต่างจากศาสนาอื่น ๆ เพราะเราเชื่อในพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ เป็นพระเจ้าที่ “ตรัสลงมา” หาเรา และเราสามารถพูดคุย “ร้องทูลขึ้นไป” หาพระเจ้าได้ในทุก ๆ เรื่อง

ศาสนาคริสต์สอนอะไร?

C. ทำไมคริสเตียนถึงเชื่อว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาเดียวที่ถูกต้อง เป็นของจริง?

ศาสนาคริสต์บอกว่าทุกคนเป็น “คนบาป” และจะต้อง “ตกนรก” พระเยซูคริสต์เป็นเพียง “ทางเดียว” ที่จะช่วยทุกคนให้พ้นนรกได้ เพียงแค่เรา “เชื่อ” ในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเจ้าที่ลงมาตายเพื่อรับโทษบาปแทนเรา และทรงฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่ 3 จากนั้นเสด็จกลับสู่สวรรค์ และวันหนึ่งจะ “กลับมา” รับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ไปอยู่บนสวรรค์ร่วมกับพระองค์เป็นนิจนิรันดร์

การพิสูจน์ว่า “ศาสนาคริสต์” เป็นศาสนาที่แท้จริงหรือไม่จึงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แค่พิสูจน์ให้ได้ว่าเรื่องราวของพระเยซูคริสต์เป็นเท็จแค่เพียงเรื่องเดียว ก็สามารถล้มล้างศาสนาคริสต์ได้

1. พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์จริงหรือ?

1.1 คำพูดของพระเยซูคริสต์

ความจริงอย่างหนึ่งก็คือ “พระเยซูคริสต์ไม่เคยพูดว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า” แต่ ทำไมคริสเตียนถึงเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าละ?

แม้ว่าพระเยซูคริสต์จะไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แต่ “คำพูด” ในหลาย ๆ ครั้งของพระองค์บอกได้ว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า เช่น

- ยอห์น 1:1 ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า (พระวาทะ หมายถึง พระเยซูคริสต์)

- ยอห์น 8:58 ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว (“เราเป็น” คือพระนามของพระเจ้าที่บอกไว้ในพระธรรมอพยพ คำพูดนี้พระเยซูคริสต์จะบอกคนอิสราเอลว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า)

- ยอห์น 10:30 เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

- ยอห์น 14:13 – 14 สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น

- ยอห์น 16:15 ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา

- มัทธิว 28:20 นี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค

- มาระโก 2:5 – 7 พระเยซูคริสต์สามารถอภัยบาปได้

ในยอห์นบทที่ 8 พระเยซูบอกว่า “เราเป็น” เป็นการสื่อให้คนยิวเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ผลก็คือคนยิวพยายามจะเอาหินขว้างพระองค์ให้ตาย ต่อมาในยอห์นบทที่ 10 พระเยซูคริสต์ทรงบอกอีกว่า “เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” คนยิวก็จะเอาหินขว้างพระองค์ให้ตายอีก เพราะพระเยซูคริสต์ทรงบอกเป็นนัยว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า

1.2 การกระทำของพระเยซูคริสต์

แล้วพระเยซูคริสต์ “ทรงกระทำ” อะไรไหมเพื่อแสดงว่าเป็นพระเจ้า?

หลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้านั้น ถูกบันทึกอยู่ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ หลายคนอาจจะถามว่า แล้วมีบันทึกอื่น ๆ นอกเหนือจากพระคัมภีร์ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่? คำตอบคือ ไม่มี พระคริสต์ธรรมคัมภีร์เป็นเพียงแหล่งข้อมูลเดียวที่เป็นตัวอักษรที่ทำให้มนุษย์ได้รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นผู้ดลใจมนุษย์ให้เขียนพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ขึ้น พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ “ตรัสลงมา” ก่อน เพื่อให้มนุษย์ได้รู้จักพระองค์

สิ่งที่พระเยซูคริสต์ “ทรงทำ” บนโลกนี้มีมากมาย เช่น พระเยซูคริสต์ทรงรักษาคนง่อยให้เดินได้ คนตาบอดมองเห็น คนหูหนวกได้ยิน คนไม่สบายได้รับการรักษา ทรงขับผีออกจากผู้คนมากมาย และทรงทำให้คนตายแล้วฟื้น เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นการอัศจรรย์ที่คนในยุคพระเยซูได้เห็น คำถามคือ แล้วในปัจจุบันเราเห็นการอัศจรรย์อะไรบ้างไหม?

หนึ่งในการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงกระทำและยังคงเห็นได้ในปัจจุบันก็คือ “การทรงสร้าง” พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์และโลก นักวิทยาศาตร์ค้นพบว่าจักรวาลนี้มีการ “ขยายตัว” อออกไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นถ้าหากเรามองในมุมกลับกัน แสดงว่าจักรวาลจะต้องมี “จุดเริ่มต้น” บางคนเชื่อว่าเหตุการณ์ “บิกแบงค์” คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง แต่มันสมเหตุสมผลหรือ? โลกที่ถูกออกแบบมาอย่างดี มีระบบนิเวศที่ดี มีอากาศที่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิต ร่างกายมนุษย์ที่สลับซับซ้อน สมองมนุษย์ที่ฉลาดสามารถคิดทำสิ่งใดก็ได้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญจริงหรือ? เราเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ต้องมีผู้ออกแบบ ไม่มีใครสักคนเชื่อว่าโทรศัพท์ที่สลับซับซ้อนนั้นเกิดขึ้นเองได้ แต่โลกและร่างกายมนุษย์ที่ถูกออกแบบมาอย่างดี ทำไมเราถึงเชื่อว่าไม่มีผู้ออกแบบ ทำไมเชื่อว่าสามารถเกิดขึ้นได้เองเพราะความบังเอิญ เพราะการระเบิด “บิกแบงค์”?

ทั้งจากคำพูดและการกระทำของพระเยซูคริสต์ ทำให้เราสรุปได้ว่า พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนแล้วและทรงมีส่วนในการสร้างสรรพสิ่งต่าง ๆ แม้ว่าการทรงสร้างจะเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มาก แต่สิ่งที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือ การที่พระเจ้า “ทรงทำงานในจิตใจ” ของคนจำนวนมาก มีคนมากมายเมื่อมาเชื่อพระเยซูคริสต์ ชีวิตได้รับการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น มีการเปลี่ยนนิสัยใหม่ เปลี่ยนท่าที เปลี่ยนความคิดและทัศนคติต่าง ๆ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้น นี่จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่พิสูจน์ว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า

ศาสนาคริสต์สอนอะไร?

2. พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงตายบนไม้กางเขนจริงหรือ?

มีหลายคนไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน แม้ว่าจะมีหลักฐานต่าง ๆ มากมายรวมทั้งนักประวัติศาตร์ในสมัยนั้นที่ได้บันทึกเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ เช่น โจซีฟัส (Josephus) นักประวัติศาสตร์ชาวยิวที่ได้บันทึกประมาณปี คศ. 93 – 94 ว่าพระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงตายบนกางเขนในสมัยปอนทิอัสปีลาตปกครอง หรือ ทาซิทุส (Tacitus) นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันก็ได้บันทึกถึงการตรึงกางเขนพระเยซูคริสต์ในสมัยสมัยปอนทิอัสปีลาตปกครองเช่นเดียวกัน

แม้แต่ศาสนาอิสลามเองก็ยังบอกว่าพระเยซูคริสต์ถูกจับและถูกลงโทษจริง จะแตกต่างตรงที่อ้างว่าบนกางเขนนั้นไม่ใช่พระเยซูคริสต์ แต่เป็นคนที่หน้าตาคล้ายกันถูกตรึงตายแทน อย่างน้อยคำกล่าวนี้ก็เป็นหลักฐานยืนยันที่อยู่นอกเหนือพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ว่าพระเยซูเป็นคนที่มีชีวิตอยู่จริง ๆ เมื่อประมาณ 2,000 ปี ที่ผ่านมา พระองค์ประกาศเรื่องราวของพระเจ้าและถูกชาวโรมันลงโทษ แล้วพระเยซูถูกตรึงบนกางเขนจริงหรือ?

ถ้าหากเราดูบันทึกเกี่ยวกับการถูกตรึงของพระเยซูคริสต์ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ เราจะพบว่าหนังสือต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระธรรมมัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์นนั้น เขียนหลังจากพระเยซูคริสต์ถูกตรึงประมาณ 35 – 65 ปี มีพยานมากมายที่อยู่ในเหตุการณ์นี้และยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นหากเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เราคงเห็นหลักฐานโจมตีหรือการโต้แย้งจากงานเขียนอื่น ๆ ของนักประวัติศาสตร์ในสมัยนั้น แต่จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่พบหลักฐานใดที่ขัดแย้งกับพระคริสต์ธรรมคัมภีร์เลย

เป็นไปได้ไหมที่จะมีใครมาตายแทนพระเยซูคริสต์? ศาสนาอิสลามอ้างว่าพระเยซูถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์โดย “อัลลอฮ์” คนบนไม้กางเขนเป็นคนหน้าคล้ายพระเยซูที่มาตายแทน คำถามก็คือ ทำไมต้องใช้เวลากว่า 600 ปี ถึงมาบอกว่าคนบนกางเขนไม่ใช่พระเยซูคริสต์? เราจะเชื่อใครระหว่าง “พยานที่เห็นเหตุการณ์” กับ คำกล่าวอ้างของ “คนที่เกิดหลังจากนั้นอีก 600 ปี” ?

ถ้าหากเราดูกองทัพโรมันในสมัยนั้นที่มีความเข้มงวดวินัยมาก หากทหารปล่อยให้นักโทษหนีไป โทษที่ทหารคนนั้นจะได้รับอาจมีหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการรับโทษแบบเดียวกับโทษของนักโทษที่หนีไป หรืออาจจะต้องถูกประหารชีวิต คำถามคือ เป็นไปได้หรือที่จะมีการแอบปล่อยพระเยซูคริสต์ให้หลบหนีไปได้? โดยเฉพาะพระองค์เป็นนักโทษที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของคนจำนวนมากโดยเฉพาะคนยิว และการแบกไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ไปยังจุดที่ถูกตรึงนั้นเป็นการทำในที่โล่งแจ้ง ท่ามกลางการมองดูของประชาชนเป็นจำนวนมาก จุดที่ถูกตรึงก็อยู่บนเนินเขา ผู้คนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และหากผู้นำทางศาสนาที่ใส่ร้ายพระเยซูคริสต์จนถึงแก่ความตายเห็นว่าคนบนกางเขนไม่ใช่ตัวจริง ผู้นำทางศาสนาเหล่านี้จะยอมปล่อยให้คนอื่นมาตายแทนหรือ? ไม่ว่าจะมองในมุมไหนก็จะเห็นได้ว่าไม่มีโอกาสที่จะหาคนมาตายแทนพระเยซูคริสต์ได้ นี่จึงพิสูจน์ได้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงตายจริง ๆ

ศาสนาคริสต์สอนอะไร?

3. พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นขึ้นจากตายจริงหรือ?

มีหลักฐานมากมายแสดงถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นอุโมงค์ที่ว่างเปล่า หรือพยานกว่า 500 คน ที่เห็นพระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ซึ่งไม่มีทางที่คนจำนวนมากขนาดนี้จะเห็นภาพลวงตาพร้อม ๆ กันตามที่หลายคนกล่าวอ้าง นอกจากนี้เรายังเห็นชีวิตสาวกพระเยซูคริสต์ที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่หนีกระจัดกระจายและซ่อนตัวตามที่ต่าง ๆ เพราะกลัวจะถูกลงโทษ แต่หลังจากการตายของพระเยซูคริสต์ 3 วัน สาวกเหล่านี้กลับออกมาประกาศเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์โดยไม่เกรงกลัวใด ๆ สาวกหลาย ๆ คนยอมถูกฆ่าตายเพราะยืนยันว่าพระเยซูคริสต์ฟื้นจากความตายจริง ๆ คำถามคือ ใครจะยอมตายเพื่อเรื่องโกหกที่ตนเองแต่งขึ้น? สาวกเหล่านี้พิสูจน์คำพูดของตนเองว่าเป็นความจริงโดยเอาชีวิตเข้าแลก บางคนโดนตัดหัว บางคนโดนเอาหินขว้างตาย บางคนถูกตรึงเหมือนกับพระเยซูคริสต์ ก็เพราะเป็นพยานยืนยันว่าพระเยซูคริสต์ยังทรงพระชนม์อยู่

แม้กระทั่งปัจจุบัน คนจำนวนมากมายยืนยันได้ว่าพระเยซูคริสต์ยังทรงพระชนม์อยู่ พิสูจน์ได้จากชีวิตหลังจากที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วมีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะพยายามทำด้วยกำลังตนเองเท่าไรก็ไม่สำเร็จ และนี่คือเหตุผลที่คริสเตียนประกาศเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ให้คนรอบข้างได้ฟัง เพราะไม่อยากให้สักคนเดียวพลาดความจริงที่ยิ่งใหญ่นี้ และไม่อยากให้ใครสักคนต้องพินาศในบึงไฟนรกเพียงแค่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซูคริสต์

4. คำพยากรณ์ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์

ตลอดพระคริสต์ธรรมคัมภีร์มีคำพยากรณ์มากมายเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูคริสต์และการเสด็จกลับมาของพระองค์ ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้ยกเว้น “พระเจ้า” เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนือกาลเวลา ทรงเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังนั้นหากคำพยากรณ์ต่าง ๆ ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์เป็นจริง ย่อมแสดงว่าผู้ที่เขียนคือพระเจ้า และสิ่งที่ศาสนาคริสต์สอนนั้นเป็นความจริงทุกประการ ศาสนาคริสต์จึงเป็นศาสนาเที่ยงแท้เพียงศาสนาเดียวที่สามารถพิสูจน์ได้

4.1 คำพยากรณ์ที่สำเร็จแล้ว

มีคำพยากรณ์มากกว่า 300 คำพยากรณ์เกี่ยวกับการเสด็จมาครั้งแรกของพระเยซูคริสต์

ตัวอย่างคำพยากรณ์ที่พูดถึงพระเยซูคริสต์

ศาสนาคริสต์สอนอะไร?

อีกคำพยากรณ์หนึ่งที่สำคัญก็คือ คำพยากรณ์เกี่ยวกับประเทศอิสราเอล ประมาณปี คศ. 70 อิสราเอลถูกโรมันทำลาย ทำให้คนยิวกระจัดกระจายไปที่ต่าง ๆ ไม่มีประเทศอิสราเอลอีกต่อไป อย่างไรก็ตามพระเจ้าสัญญาว่าหากคนยิวกลับใจใหม่และหันมาหาพระเจ้า พระเจ้าจะประทานแผ่นดินให้เขาอีกครั้งหนึ่ง ในอิสยาห์ 66:8 บอกว่า

“ใครเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้? ใครเคยได้เห็นสิ่งที่เป็นเหมือนสิ่งนี้? แผ่นดินจะเกิดขึ้นในวันเดียวหรือ? ประชาชาติจะคลอดออกมาในครู่เดียวหรือ? แต่พอศิโยนเริ่มปวดครรภ์ เธอก็คลอดบุตรทั้งหลายของเธอ”

พระธรรมอิสยาห์เขียนเมื่อประมาณ 700 – 800 ปี ก่อน คศ. และคำพยากรณ์นี้ก็สำเร็จในวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 มีการประกาศการกำเนิดของประเทศใหม่ คือ “ประเทศอิสราเอล” ซึ่งตรงกับคำพยากรณ์ที่ได้กล่าวไว้ว่าแผ่นดินจะเกิดขึ้นในวันเดียว “พระเจ้า” ผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงรู้อนาคตและได้บอกให้คนยิวได้รู้ก่อนที่วันนั้นจะมาถึงนับพันปี นี่คืออีกหลักฐานหนึ่งที่พิสูจน์ว่าศาสนาคริสต์เป็น “ของจริง”

4.2 คำพยากรณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์มีการพยากรณ์ว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมายังโลกนี้เป็นครั้งที่ 2 เพื่อมาเป็นกษัตริย์ปกครองโลกนี้พร้อมกับผู้ที่เชื่อในพระองค์ ก่อนพระเยซูคริสต์จะกลับมานั้นจะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นเพื่อเป็น “สัญญาณ” เตือนว่าเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว และหลายคำพยากรณ์กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

“ท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงเรื่องสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง เพราะประชาชาติจะลุกขึ้นต่อสู้ประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อสู้ราชอาณาจักร ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและโรคระบาดอย่างร้ายแรงและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก” มัทธิว 24:6 - 8

ปัจจุบันเราเห็นสงครามต่าง ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอิสราเอลกับฮามาส อิสราเอลกับฮูตี อิสราเอลกับอิหร่าน หรือสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ข่าวลือเรื่องสงครามระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ จีนกับใต้หวัน เป็นต้น

เราเห็นการกันดารอาหาร การเกิดโรคคระบาดอย่างร้ายแรง เช่น โควิด 19 รวมทั้งการเกิดแผ่นดินไหวตามที่ต่าง ๆ แม้แต่ในประเทศไทยเอง หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 40 – 50 ปี ก่อน ไม่มีใครเชื่อว่าประเทศไทยจะเกิดแผ่นดินไหวได้ แต่ก็ได้เกิดขึ้นในปัจจุบัน นี่คือคำพยากรณ์เกี่ยวกับยุคสุดท้ายที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

ศาสนาคริสต์สอนอะไร?

4.3 คำพยากรณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

มีคำพยากรณ์ต่าง ๆ มากมายที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เช่น

1. รัสเซียจะมาบุกอิสราเอล (การรุกรานของมาโกก)

เอเสเคียล 38:1 - 6

“พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าของเจ้าต่อสู้โกกแห่งแผ่นดินมาโกก (รัสเซีย) เจ้านายองค์สำคัญของเมเชคและทูบัล และจงเผยพระวจนะกล่าวโทษเขา จงกล่าวว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า โอ โกก นี่แน่ะ เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้าผู้เป็นเจ้านายองค์สำคัญของเมเชคและทูบัล เราจะให้เจ้าหันกลับ และเอาเบ็ดเกี่ยวขากรรไกรของเจ้า แล้วเราจะนำเจ้าออกมาพร้อมกับกองทัพทั้งหมดของเจ้า ทั้งพวกม้าและบรรดาพลม้า ทุกคนสวมเครื่องยุทธภัณฑ์ครบถ้วน เป็นพรรคพวกใหญ่โต ทุกคนถือดาบ มีโล่และดั้ง เปอร์เซีย (อิหร่าน) คูช (เอธิโอเปีย - ซูดาน) และพูต (ลิเบีย) อยู่กับพวกเขาด้วย ทุกคนมีโล่และหมวกเหล็ก โกเมอร์ (ตุรกี) และกองกำลังทั้งหมดของเขา เบธโทการมาห์ (ตุรกี) จากเหนือสุด”

แล้วรัสเซียจะมาบุกอิสราเอลเมื่อไร?

ในเอเสเคียล 38: 14 – 16 บอกว่า “เพราะฉะนั้น บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเผยพระวจนะและกล่าวกับโกกว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า ในวันนั้นเมื่ออิสราเอลประชากรของเราอาศัยอยู่อย่างปลอดภัยแล้ว เจ้าจะเร้าใจเจ้าเอง เจ้าจะมาจากที่ของเจ้าทางเหนือสุด ทั้งเจ้าและชนชาติทั้งหลายจำนวนมากที่อยู่กับเจ้า ทุกคนขี่ม้า เป็นพลพรรคทรงพลังยิ่ง เป็นกองทัพมหึมา เจ้าจะขึ้นมาต่อสู้อิสราเอลประชากรของเรา เหมือนอย่างเมฆคลุมแผ่นดิน โอ้ โกก ในเวลาภายหน้า เราจะนำเจ้ามาต่อสู้กับแผ่นดินของเรา เพื่อประชาชาติทั้งหลายจะรู้จักเรา เมื่อเราสำแดงความบริสุทธิ์ของเราต่อหน้าต่อตาพวกเขาผ่านตัวเจ้า”

รัสเซียจะมาบุก “ในวันนั้นเมื่ออิสราเอลประชากรของเราอาศัยอยู่อย่างปลอดภัยแล้ว” ซึ่งคงไม่ใช่ในเร็ววันนี้ เพราะปัจจุบันอิสราเอลยังคงมีสงครามอยู่ แต่วันนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน และพระเจ้าจะทรงอยู่กับอิสราเอลในสงครามนี้ตามที่ได้บอกไว้ในเอเสเคียล 38: 21 – 23 ว่า

“แล้วเราจะเรียกดาบมาต่อสู้กับโกกบนภูเขาทุกแห่งของเรา และดาบของแต่ละคนจะต่อสู้กับพวกของเขาเอง” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ เราจะพิพากษาโทษเขาด้วยโรคระบาดและด้วยโลหิตตก เราจะให้ฝนที่ตกหนัก ก้อนลูกเห็บ ไฟ และกำมะถันถูกเทลงใส่เขาและกองทัพของเขา รวมทั้งบรรดาชนชาติจำนวนมากที่อยู่กับเขา ดังนั้นเราจะสำแดงความยิ่งใหญ่และความบริสุทธิ์ของเรา และทำให้เราเป็นที่รู้จักในสายตาของประชาชาติมากมาย แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์””

2. การเกิดขึ้นของวิหารแห่งที่ 3

วิหารแห่งแรก สร้างโดยกษัตริย์ซาโลมอนถูกทำลายโดยบาบิโลน

วิหารแห่งที่ 2 ถูกทำลายโดยชาวโรมัน

ดังนั้นคนยิวจึงปรารถนาที่จะสร้างวิหารแห่งที่ 3 ขึ้น ปัญหาก็คือ สถานที่ตั้งพระวิหารปัจจุบันเป็นมัสยิดอัลอักซอของชาวมุสลิม ซึ่งเราไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี่จะเกิดขึ้นเมื่อไรและจะเป็นไปได้อย่างไร แต่เราเชื่อว่าคำพยากรณ์นี้จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน

3. ผู้เชื่อจะได้พบพระเยซูคริสต์บนท้องฟ้า

พระเยซูคริสต์ทรงสัญญาว่าจะกลับมารับผู้เชื่อทุกคนทั้งคนที่ตายแล้วและมีชีวิตอยู่จะได้พบกับพระองค์บนท้องฟ้า และจะมีงานฉลองการสมรสของพระเมษโปดกเป็นเวลา 7 ปี ในขณะที่แผ่นดินโลกจะเกิดกลียุค เกิดความทุกข์ลำบากครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งนี้ก็เพื่อผู้ที่เชื่อพระเยซูคริสต์จะไม่ต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบาก

ศาสนาคริสต์สอนอะไร?

4. พระเยซูจะเสด็จมายังโลกนี้เป็นครั้งที่ 2

ในมัทธิว 24:33 - 34 พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เช่นเดียวกัน เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งทั้งหมดนี้แล้วก็ให้รู้ว่า พระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว เราบอกความจริงกับท่านว่า คนในยุคนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนทุกสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น” นี่หมายความว่าคนในรุ่นที่เห็นการเกิดเป็นประเทศของอิสราเอลจะได้เห็นการเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูคริสต์ จึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นหมายสำคัญต่าง ๆ สำเร็จตามคำพยากรณ์เพราะเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมานั้นใกล้เข้ามาทุกที

การเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูคริสต์นี้จะเป็นการเสด็จมาเพื่อจัดการกับมารซาตาน และปกครองโลกนี้ร่วมกับผู้เชื่อทุกคนเป็นเวลา 1 พันปี หลังจากนั้นจะเกิดสงครามครั้งสุดท้าย ซึ่งพระเยซูคริสต์เป็นฝ่ายชนะ และจะมีการพิพากษา “ผู้ที่เชื่อ” ในพระองค์จะได้อยู่ใน “สวรรค์” ร่วมกับพระองค์เป็นนิจนิรันดร์ ส่วน “ผู้ที่ไม่เชื่อ” ผู้ที่มีบาป จะต้อง “ตกนรก” เป็นนิจนิรันดร์

จะเห็นว่าคำสอนของศาสนาคริสต์นั้นเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูคริสต์ เกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ “ทรงเป็น” และ “ทรงกระทำ” เพื่อมนุษย์ทุกคน พระเยซูคริสต์ทรงรับโทษบาปแทนเราบนไม้กางเขนแล้ว ภาระกิจแห่งการทรงไถ่ “สำเร็จ” แล้ว และสิ่งต่าง ๆ ที่บันทึกไว้ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ล้วนได้รับการพิสูจน์ว่า “เป็นความจริง” คำถามที่สำคัญต่อจากนี้คือ เราอยากจะมีอนาคตแบบไหน? เราอยากอยู่สวรรค์เป็นนิตย์ หรือจะตกนรกนิรันดร์? เรามีโอกาสตัดสินใจเฉพาะเมื่อยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เท่านั้น รีบตัดสินใจวันนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

“พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” ยอห์น 14:6

 

ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com

ค้นหาความจริง

เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน

เกี่ยวกับเรา

เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com