เว็บสยามคริสเตียน > บทความคริสเตียน > เผยอนาคต เส้นทางชีวิตมนุษย์และอวสานของโลกใบนี้ หน้า 5
หน้า 1 | หน้า 2 | หน้า 3 | หน้า 4 | หน้า 5 | หน้า 6 | หน้า 7 | หน้า 8
เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์
ในวิวรณ์ 13:1 – 2 บอกว่า “และข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีสิบเขาและเจ็ดหัว และมีมงกุฎสิบอันอยู่บนเขาเหล่านั้นของมัน และมีชื่อต่างๆ ที่หมิ่นประมาทพระเจ้าจารึกไว้ที่หัวทั้งหลายของมัน สัตว์ร้ายที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นเหมือนเสือดาว ตีนของมันเหมือนอย่างตีนหมี และปากของมันเหมือนอย่างปากสิงโต และพญานาคให้ฤทธิ์เดช บัลลังก์ และสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่ของมันแก่สัตว์ร้ายนั้น”
ที่มา : https://www.freebibleimages.org/
“สัตว์ร้ายตัวแรก” ที่ขึ้นมาจากทะเล (ทะเล หมายถึงคนต่างชาติ) ก็คือ “ปฏิปักษ์พระคริสต์” หรือ “Antichrist” ผู้ที่จะมาเป็นผู้นำโลก ผู้ที่อ้างว่ามาทำสัญญาสันติภาพกับโลก 7 ปี พระธรรมตอนนี้บอกว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังสัตว์ร้ายตัวแรกก็คือ “พญานาค” ซึ่งในพระคัมภีร์หมายถึง มารซาตาน นั่นเอง
มีคนกล่าวเปรียบเทียบว่าถ้า “พระเยซูคริสต์” ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ลงมาบังเกิดบนโลกเพื่อช่วยโลกให้รอด “ปฏิปักษ์พระคริสต์” (Antichrist) ก็คือลูกของมารที่มาเกิดบนโลกนี้เพื่อล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไปนั่นเอง พระเยซูขณะที่อยู่บนโลกนั้นทรงมีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า แต่ในเวลากลียุคนั้น “ปฏิปักษ์พระคริสต์” (Antichrist) ก็มีฤทธิอำนาจของมารซาตานอย่างเต็มที่ด้วยเช่นเดียวกัน ในปัจจุบันอำนาจของซาตานมีแค่ “คำล่อลวง” มันไม่มีอำนาจอื่นใดอีก (“พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรกและไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา” ยอห์น 8:44) เพราะพระเจ้าอนุญาตให้มันทำได้เท่านี้ แต่หลังจากที่ผู้เชื่อถูกรับขึ้นไปสู่สวรรค์ (Rapture) หลังจากที่การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์หายไปจากโลกนี้แล้ว ไม่มีผู้ยับยั้งมันแล้ว เมื่อนั้นมารซาตานจึงมีอำนาจอย่างเต็มที่ สามารถทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ ได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ยอห์นบอกว่าอย่าเชื่อทุก ๆ วิญญาณเพราะมีวิญญาณที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าด้วย “ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อทุกๆ วิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้เผยพระวจนะเท็จจำนวนมากได้ออกมาในโลก 2พวกท่านก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้าโดยข้อนี้ คือวิญญาณทุกดวงที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า 3และวิญญาณทุกดวงที่ไม่ยอมรับพระเยซู วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า วิญญาณนั้นแหละเป็นศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งพวกท่านได้ยินว่าจะมา และขณะนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว” 1 ยอห์น 4:1 - 3
ในวิวรณ์ 13:11 – 15 บอกว่า “แล้วข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน มันมีสองเขาเหมือนลูกแกะ และพูดเหมือนอย่างพญานาค มันใช้สิทธิอำนาจทั้งหมดของสัตว์ร้ายตัวแรกต่อหน้าสัตว์ร้ายนั้น มันทำให้โลกและคนที่อยู่ในโลกบูชาสัตว์ร้ายตัวที่มีบาดแผลฉกรรจ์ซึ่งได้รับการรักษาแล้ว มันทำหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ถึงขั้นทำให้ไฟตกจากฟ้าลงมายังแผ่นดินโลกต่อหน้าคนทั้งหลาย มันล่อลวงคนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลกด้วยหมายสำคัญต่างๆ ที่ทรงอนุญาตให้มันทำต่อหน้าสัตว์ร้ายตัวแรกนั้น และมันสั่งให้คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก สร้างรูปจำลองรูปหนึ่งให้กับสัตว์ร้ายตัวที่มีบาดแผลจากดาบแต่ยังมีชีวิตอยู่นั้น และทรงอนุญาตให้มันสามารถให้ลมหายใจแก่รูปของสัตว์ร้าย เพื่อให้รูปสัตว์ร้ายนั้นพูดได้ และทำให้พวกที่ไม่ยอมบูชารูปสัตว์ร้ายนั้นถึงแก่ความตาย”
“สัตว์ร้ายตัวที่สอง” ที่ขึ้นมาจากแผ่นดิน (แผ่นดินหมายถึงอิสราเอล) ก็คือ ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ ซึ่งจะเป็นคนยิว หน้าที่ของมันคือ ทำให้คนทั้งโลกกราบไหว้บูชาและยกย่อง “ปฏิปักษ์พระคริสต์” (Antichrist) ว่าเป็นพระเจ้า ในช่วงเวลาแห่งกลียุคนั้น “ปฏิปักษ์พระคริสต์” (Antichrist) จะเป็นผู้นำโลก เป็นผู้นำด้านการทหาร ผู้นำด้านการเมือง ผู้นำด้านศาสนา และผู้นำด้านเศรษฐกิจ ในวิวรณ์ 13:16 – 18 บอกว่า “และมันยังบังคับทุกคน ทั้งคนเล็กน้อยและคนใหญ่โต คนมั่งมีและคนยากจน เสรีชนและทาสให้รับเครื่องหมายไว้ที่มือขวาหรือที่หน้าผากของพวกเขา เพื่อไม่ให้ใครสามารถซื้อหรือขายได้ ถ้าหากไม่มีเครื่องหมายที่เป็นชื่อของสัตว์ร้าย หรือเป็นตัวเลขของชื่อมัน ในเรื่องนี้ต้องใช้สติปัญญาให้ดี ถ้าใครมีความเข้าใจ ก็จงคิดคำนวณเลขของสัตว์ร้ายตัวนั้น เพราะว่าเป็นเลขของคนผู้หนึ่ง เลขของมันคือหกร้อยหกสิบหก” ถ้าใครไม่บูชามัน ถ้าใครไม่ยอมรับเครื่องหมายของมัน คน ๆ นั้นก็ไม่สามารถทำการซื้อขายสิ่งของต่าง ๆ บนโลกนี้ได้ ถ้าหากเราดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในช่วง 7 ปี แห่งกลียุคนี้ มีทั้งโรคระบาด ภัยพิบัติต่าง ๆ และการกันดารอาหารเกิดขึ้น ในภาวะเช่นนี้หากไม่มีเครื่องหมายของมารก็ไม่สามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจได้ นี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของผู้ที่เชื่อในพระคริสต์จริง ๆ
ถ้าหากเรามองดูโลกในปัจจุบัน ดูการพัฒนาการของเทคโนโลยีต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวเลย การที่คน ๆ หนึ่งจะเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกได้ก็แสดงว่าโลกทั้งโลกต้องเป็นระบบเศรฐกิจเดียว มีการใช้เงินสกุลเดียวกัน เมื่อเกิดการระบาดของโรคโควิด 19 ผู้คนต่างหันมาโอนเงินแทนการจับต้องเงินจริง ๆ เพื่อลดการสัมผัส เมื่อโลกแห่งการเงินตอนนี้อยู่ในรูปของดิจิตตอล ไม่ใช่กระดาษ การจะทำให้เป็นเงินสกุลเดียวกันทั่วโลกจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หากย้อนกลับไปเมื่อ 10 – 15 ปี ก่อน เราอาจจะมองไม่เห็นภาพ เพราะการซื้อขายของออนไลน์ยังไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ในปัจจุบันทุกอย่างเป็นดิจิตอลหมด การชำระเงินผ่านการสแกน ผ่านการรูดบัตร ผ่านทาง app ต่าง ๆ มีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ เรื่องการที่โลกมีเศรษฐกิจเดียวและสกุลเงินเดียวจึงเป็นไปได้ไม่ยาก
สำหรับเรื่องการรับเครื่องหมายที่มือขวาหรือหน้าผากนั้น ปัจจุบันบริษัท Biohax International สามารถฝังชิปไว้ที่มือขวาเพื่อใช้ระบุตัวตน ใช้ทำการสแกนสิ่งต่าง ๆ หรือชำระเงิน เทคโนโลยีที่เรามีในปัจจุบันสามารถทำให้คำทำนายต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นเรื่องเพ้อฝันหรือนิยายอีกต่อไป นี่ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเวลาแห่งการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์นั้นใกล้เข้ามามากแล้ว
พระวิหารแห่งแรกของอิสราเอล เกิดขึ้นในสมัยของกษัตริย์ซาโลมอน สร้างเสร็จประมาณปี 957 ก่อน ค.ศ. และได้ถูกทำลายไปเมื่อกษัตริย์เนบูคัสเนสซาร์บุกมาโจมตีอิสราเอล
พระวิหารแห่งที่ 2 ของอิสราเอล เกิดขึ้นเมื่อไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียประกาศให้สร้างพระวิหารขึ้น และพระวิหารได้เริ่มสร้างในตำแหน่งเดิมของพระวิหารแห่งแรกเมื่อประมาณปี 536 ก่อน ค.ศ. (“ไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียตรัสดังนี้ว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบรรดาราชอาณาจักรแห่งแผ่นดินโลกแก่เรา และพระองค์ทรงกำชับให้เราสร้างพระนิเวศให้พระองค์ที่เยรูซาเล็ม ซึ่งอยู่ในยูดาห์” เอสรา 1:2) ในปี 20 ก่อน ค.ศ. กษัตริย์เฮโรดมหาราชได้ทำการบูรณะพระวิหารแห่งนี้ใหม่อีกครั้งจนได้ชื่อว่า “พระวิหารของเฮโรด” อย่างไรก็ตาม พระวิหารแห่งที่ 2 นี้ได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงโดยการรุกรานของพวกโรมันในปี ค.ศ. 70 ตามที่พระเยซูทรงพยากรณ์ไว้ (มัทธิว 24:1 – 2) พระวิหารถูกทำลายลงเหลือแต่ซากกำแพงซึ่งเป็นที่มาของ “กำแพงร้องไห้” ในปัจจุบัน
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=IelIJnv8YHA&t=835s
พระวิหารแห่งที่ 3 ของอิสราเอล ชาวยิวปรารถนาจะสร้างพระวิหารแห่งที่ 3 เป็นอย่างมาก แต่ปัญหาก็คือที่ตั้งเดิมของพระวิหารที่มีมาตั้งแต่สมัยกษัตริย์ซาโลมอนนั้นอยู่บนภูเขาโมริยาห์ (2 พงศวดาร 3:1) ปัจจุบันเป็นมัสยิดอัลอักซอของชาวมุสลิมซึ่งถือเป็นมัสยิดที่มีความสำคัญมากที่สุดเป็นลำดับ 3 ของศาสนาอิสลาม ภูเขาโมริยาห์ถือเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของคนอิสราเอล เป็นภูเขาที่อับราฮัมพาอิศอัคไปถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า (ปฐมกาล 22:2) ชาวยิวต้องการจะสร้างพระวิหารแห่งที่ 3 ให้สำเร็จเพราะพระเจ้าสัญญาว่าจะประทับในวิหารแห่งนี้ ที่นี่เป็นที่ที่มนุษย์จะได้พบกับพระเจ้า “แล้วให้พวกเขาสร้างสถานนมัสการสำหรับเรา เพื่อเราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขา” อพยพ 25:8 “และต่อมาเมื่อพวกปุโรหิตออกมาจากวิสุทธิสถาน เมฆก็เต็มพระนิเวศของพระยาห์เวห์ จนพวกปุโรหิตไม่อาจยืนปรนนิบัติอยู่ได้เพราะเมฆนั้น เพราะพระสิริของพระยาห์เวห์เต็มพระนิเวศของพระยาห์เวห์” 1 พงศ์กษัตริย์ 8:10 – 11
ปัจจุบันชาวยิวได้ออกแบบพระวิหารแห่งที่ 3 นี้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้เตรียมสิ่งต่าง ๆ ที่จะต้องทำในพระวิหารอย่างครบถ้วน เหลือเพียงแค่รอเวลาที่จะได้ลงมือก่อสร้างนั่นเอง เราสามารถดูแบบแปลนพระวิหารรวมทั้งการเตรียมการต่าง ๆ ได้ตาม Link นี้ นี่เป็นการยืนยันว่าใกล้เวลาที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาแล้วจริง ๆ เพราะทุกอย่างที่สำคัญได้ก่อเป็นรูปเป็นร่างแล้วนั่นเอง
ทั้ง ๆ ที่พระคัมภีร์ได้ทำนายเอาไว้ว่าในยุคสุดท้าย “ปฏิปักษ์พระคริสต์” (Antichrist) จะปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นคนของมารซาตาน และบั้นปลายของคน ๆ นี้ก็คือความตาย คำถามคือ แล้วจะยังมีคนที่กล้าประกาศตัวว่าเป็น “ปฏิปักษ์พระคริสต์” (Antichrist) อีกหรือ?
คำตอบอยู่ที่ “ศาสนาอิสลาม” เรารู้หรือไม่ว่าศาสนาอิสลามก็มีความเชื่อในเรื่องวันสิ้นโลกด้วยเหมือนกัน อิสลามมองว่ายุคสุดท้ายจะมีคน 3 คน ปรากฏตัว
1. มะฮ์ดี (Mahdi)
คนอิสลามส่วนใหญ่เชื่อว่าในยุคสุดท้าย “มะฮ์ดี” จะปรากฏตัวและจะนำสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองมาให้ เขาเป็นเหมือนพระเมสสิยาห์ เป็นคนนำทาง เป็นผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าจะส่ง “มะฮ์ดี” มาก่อนวันสิ้นโลกเพื่อที่จะฟื้นฟูความชอบธรรมใหม่ “มะฮ์ดี” จะเป็นผู้นำโลก “7 ปี” จากหนังสือ ของอิบนิ ก็อยยิม ได้กล่าวไว้ว่า “อิหม่าม มะห์ดีนั้น เป็นผู้ที่อยู่ในสายตระกูลของท่านนบี เขาจะมาทำหน้าที่เป็นผู้นำถึง 7 ปี จะมาทำให้คุณธรรมเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินนี้ ขณะเดียวกัน ท่านนบี อีซา ก็จะลงมาจากฟากฟ้า ท่านจะมาช่วยอิหม่ามมะห์ดีย์ กำจัดดัจญาลและท่านนบีอีซา จะละหมาดตามหลังอิหม่ามมะห์ดีย์” ในช่วงการปกครองของ “มะฮ์ดี” นี้ เขาจะเรียกร้องให้ทุกคนติดตามตนเองและพระอัลเลาะห์ เขาจะเป็นผู้นำโลกและจะให้โลกนี้มีเพียงศาสนาเดียวคือ “ศาสนาอิสลาม” เขาจะฆ่าทุกคนที่ไม่นมัสการพระอัลเลาะห์ และไม่เปลี่ยนศาสนามาเป็นอิสลาม ศูนย์กลางการปกครองของเขาจะอยู่ที่วิหารในกรุงเยรูซาเล็ม มุสลิมเองก็ต้องการพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนกัน !!! ดังนั้นวิหารแห่งที่ 3 ของอิสลาเอลจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญในยุคสุดท้ายของทั้งของยิว คริสเตียน และอิสลาม
“มะฮ์ดี” จะนำจีฮัดหรือสงครามศักดิ์สิทธิ์ของมุสลิม โดยมีกองทัพใหญ่เป็นของตัวเอง กองทัพของ “มะฮ์ดี” จะถือธงดำ ซึ่งตอนนี้กองทัพของ ISIS ก็ถือธงดำนี้อยู่ และแน่นอนว่าหาก “มะฮ์ดี” ปรากฏตัวขึ้นเมื่อไร คงมีชาวมุสลิมจำนวนมากมาเข้าร่วมกับกองกำลังนี้อย่างแน่นอน เพราะนี่คือสงครามศักดิ์สิทธิ์ เพราะนี่คือการเป็นจริงตามคำพยากรณ์ที่ได้บันทึกไว้ตามความเชื่อของพวกเขา
2. นบีอีซา (พระเยซู)
ชาวอิสลามเชื่อว่าอีซาเป็นนบีคนหนึ่งซึ่งเกิดจากพระนางมัรยัมหญิงพรหมจารีย์ พระเจ้าทรงเป่าวิญญาณจากพระองค์เข้าไปในร่างพระนางมัรยัมทำให้ท่านตั้งครรภ์ ซึ่งเหมือนกับคริสเตียนที่เชื่อว่ามารีย์สาวพรหมจารย์ตั้งครรภ์โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์และให้กำเนิดพระเยซูขึ้น จะแตกต่างกันตรงที่คนอิสลามไม่เชื่อว่านบีอีซาเป็นพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์และถูกตรึงตายบนกางเขน อิสลามเชื่อว่าคนที่ถูกตรึงกางเขนนั้นเป็นคนที่หน้าเหมือนกับนบีอีซา เพราะพระเจ้าทรงรับนบีอีซาขึ้นไปบนสวรรค์ก่อน นบีอีซาถูกรับขึ้นไปเหมือนกับเอลียาห์ที่ขึ้นไปบนสวรรค์ทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่
คนอิสลามเชื่อว่าตอนนี้นบีอีซาอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้าและจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งในวันสุดท้าย คำถามคือ มีนบีมากมายในพระคัมภีร์ แล้วทำไมต้องเป็นนบีอีซาที่กลับมา? คำตอบก็คือ อิสลามเชื่อว่ายิวและคริสเตียนมีความเชื่อที่บิดเบือน ในวันนั้นนบีอีซาจะมาบอกยิวว่าพระอัลเลาะห์คือพระเจ้าที่เที่ยงแท้ และจะมาหักไม้กางเขนเพื่อบอกคริสเตียนว่าพระเยซูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ใช่พระเจ้าและไม่ได้ตายบนไม้กางเขน ดังนั้นจึงไม่มีการยกโทษบาป คริสเตียนเข้าใจผิดทั้งสิ้น
“อัลลอฮฺ -ซุบฮานะฮู วะตะอาลา- ได้ตรัสไว้ในคัมภีร์ของพระองค์อย่างชัดเจนว่า ท่านนบีอีซา-อลัยฮิสสลาม-มิได้ถูกพวกยะฮูดีย์(ยิว) ฆ่า หรือตรึงไม้กางเขน แต่ทว่าอัลลอฮฺ -ซุบฮานะฮู วะตะอาลา- ทรงยกท่านขึ้นสู่ฟากฟ้าทั้งร่างกายขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตราบจนถึงทุกวันนี้ท่านก็ยังคงมีชีวิตอยู่และจะกลับลงมาอีกครั้งในห้วงเวลาสุดท้ายของโลกนี้เพื่อฆ่าอัดดัจญาล ฆ่าหมู หักไม้กางเขน ท่านจะปฏิบัติและตัดสินชี้ขาดด้วยบทบัญญัติของท่านนบีมุฮัมมัด -ศ็อลลัลลอฮุ อลัยฮิ วะซัลลัม” (จากบทความของ อ.ฮาซัน เจริญจิตต์ https://www.islammore.com/view/5035)
หน้าที่ของนบีอีซาบนโลกในยุคสุดท้ายนี้ก็คือการมาฆ่า “ดัจญาล” ที่มาหลอกลวงคนว่าเป็นพระเจ้า และนบีอีซาก็ทำสำเร็จ หลังจากนั้นก็เข้าไปในวิหารและ “จะละหมาดตามหลังอิหม่ามมะห์ดีย์” นั่นคือการยกย่อง “มะฮ์ดี” ว่าเป็นผู้ที่ใหญ่กว่าตน
(มีหะดีษบทหนึ่ง จากท่านอิหม่ามมุสลิม ได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า มีรายงานจากท่าน ญาบิร ได้ยินท่านร่อซูล ได้กล่าวว่า )
“จะมีชนกลุ่มหนึ่งจากประชาชาติของฉันที่ยังคงสู้ต่อไป เพื่อให้สัจธรรมปรากฏขึ้น จะกระทั่งถึงวันกิยามะห์ ท่านนบี ได้กล่าวต่อไปอีกว่า และอีซา อิบนิ มัรยัม ก็จะลงมาจากฟากฟ้า และผู้นำของพวกเขา ก็จะกล่าวแก่ นบีอีซา ว่าเชิญท่านมาเป็นอิหม่ามนำละหมาดพวกเราเถิด ท่านนบีอีซา ตอบว่า ไม่ได้หรอก เพราะพวกท่านทั้งหลายนั้นต่างก็มีผู้นำอยู่แล้ว ที่อัลลอฮฺ ได้ทรงให้เกียรติ สำหรับประชาชาตินี้” (จากเว็บ https://www.islammore.com/view/3000)
คำว่า “ผู้นำ” ที่ถูกระบุในหะดีษนี้ ก็คือ อิหม่ามมะฮ์ดี นั่นเอง หลังจากนั้นนบีอีซาก็จะแต่งงานมีครอบครัว นบีอีซาจะอยู่ในโลกนี้ทั้งหมด” 7 ปี” และก็ตายลง ศพของท่านจะถูกฝังไว้ข้าง ๆ นบีมุฮัมมัด
3. ดัจญาล
ดัจญาล มาจากรากศัพท์ในภาษาอาหรับว่า ดะ-ญะ-ละ แปลว่า " เขาได้ปกปิด...หรือปิดบัง" อีกความหมายก็คือ "พูดเท็จ ผู้หลอกลวง"
“ดัจญาล” ก็คือ คนที่มาอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้าและหลอกลวงมนุษย์ให้ติดตามมัน “ดัจญาล” เปรียบได้กับ “ปฏิปักษ์พระคริสต์ (Antichrist)” ของคริสเตียน ซึ่งสุดท้ายจะถูกนบีอีซาฆ่าตาย
“ดัจญาลเป็นมนุษย์เพศชาย ซึ่งจะปรากฏตัวในวาระสุดท้ายของโลก มันจะอ้างตนเองว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้า โดยจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ เมืองคุรอาซาน(ปัจจุบันอยู่ในอิหร่าน ) จากนั้นมันจะเดินทางเข้าไปยังทุกหนแห่ง ยกเว้น มัสยิดบัยตุลมักดิส(มัญยิดโดมทอง-ปาเลสไตน์) มัสยิดอัฏฏูร (แหลมซีนาย ประเทศอียิปต์) เมืองมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ” (จากเว็บ https://islamhouse.muslimthaipost.com/article/19980)
ทั้ง “คริสเตียน” และ “อิสลาม” เชื่อว่าในวันสุดท้ายจะมีบุคคล 3 คน ปรากฏตัว รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วทั้ง 3 คนนี้เป็นคน ๆ เดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราเชื่ออะไร!!!
มะฮ์ดี (Mahdi) = ปฏิปักษ์พระคริสต์(Antichrist)
นบีอีซา = ผู้เผยพระวจนะเท็จ
ดัจญาล = พระเยซูคริสต์
ดาเนียลผู้ที่เขียนคำพยากรณ์เรื่อง 70 สัปดาห์ (ในดาเนียลบทที่ 9) มีชีวิตประมาณปี 620 - 538 ก่อน ค.ศ. พระเยซูทรงพยากรณ์ว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จในยุคสุดท้าย (มัทธิว 24:23 – 24) เมื่อประมาณ ค.ศ. 32 ในขณะที่ศาสนาอิสลามถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 610 นี่ก็หมายความว่าดาเนียลได้พยากรณ์ว่าจะมี ”ปฏิปักษ์พระคริสต์” และ ผู้เผยพระวจนะเท็จก่อนที่จะเกิดศาสนาอิสลามประมาณ 1,200 ปี ในขณะที่พระเยซูกล่าวว่าจะมีคนอ้างว่าเป็นพระองค์ก่อนศาสนาอิสลามเกิดเกือบ ๆ 600 ปี แม้ว่าคำพยากรณ์นี้ยังไม่เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ แต่ในทางทฤษฎีได้สำเร็จลงแล้ว นี่เป็นการยืนยันว่าทุกคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ต้องสำเร็จอย่างแน่นอน พระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถใช้ทุกสิ่งให้สำเร็จตามพระประสงค์ของพระองค์... อ่านต่อ
หน้า 1 | หน้า 2 | หน้า 3 | หน้า 4 | หน้า 5 | หน้า 6 | หน้า 7 | หน้า 8
ถ้าหากสนใจอยากรู้เรื่องราวของการเป็นคริสเตียน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ เริ่มต้นการเป็นคริสเตียน หรือถ้าหากมีคำถามก็สามารถเมลมาสอบถามได้ที่ christiansiam@gmail.com
เว็บสยามคริสเตียน (Siam Christian) เป็นเว็บส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นกับองค์กรหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู คริสเตียน หรือคริสตจักรต่าง ๆ ในประเทศไทย หากท่านมีคำถามหรือมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถอีเมลมาพูดคุยกับเราได้ที่ christiansiam@gmail.com